Exclusively4Mom
เป็นแม่ทั้งที ไม่มีคำว่าเบื่อ! เรื่องคันๆ ฮาๆ ในการเลี้ยงลูกสี่คน จากเรื่องจริงนำมาเล่าสู่กันฟัง และเป็นเกร็ดความรู้ในการเลี้ยงลูกในยุคนี้

#ความวิตกจริตของคนเป็นแม่
อีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างระหว่างคุณแม่ กับคุณพ่อ อย่างเห็นได้ชัดที่สุด ก็คือความวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องลูก จะแตกต่างกันอย่างมหาศาล คุณแม่ทุกคนที่เลี้ยงลูกเองช่วงลาคลอด แล้วต้องกลับไปทำงาน คงเคยมีความรู้สึก ของความเป็นห่วงลูกอย่างมากมาย กลัวไปหมดทุกเรื่อง กลัวลูกร้องไห้ไม่อยุด กลัวพี่เลี้ยงชงนมร้อนไป กลัวพี่เลี้ยงชงนมไม่สะอาด กลัวพี่เลี้ยงทำลูกลื่นจมน้ำ กลัวพี่เลี้ยงโขมยลูกเราไป แม้แต่ให้คุณแม่ของเราเองเลี้ยงก็ยังอดกังวลไม่ได้ กลัวคุณยายจะลืมเวลานมของหลาน กลัวคุณยายจะทำหลานตก สารพัด สารพัน ที่จะกลัวต่างๆ นาๆ
ในขณะที่คุณพ่อ จะไม่เป็นแบบคุณแม่ สามารถตื่นเช้าไปทำงานได้อย่างสบายใจ ไม่เคยมีความคิดระหว่างวันว่าใครจะทำลูกตก หกล้ม จมน้ำ เนื่องจากธรรมชาติของผู้ชายจะไม่คิดมากในรายละเอียด อันนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณพ่อไม่ดีกว่าคุณแม่นะคะ ไม่เกี่ยวกัน เพียงแต่ว่าธรรมชาติให้มาไม่เหมือนกัน งานเลี้ยงลูกถึงได้เหมาะกับคุณแม่มากกว่า เพราะความระมัดระวังในความปลอดภัยของลูกจะมีมากกว่าคุณพ่อ ดิฉันเคยเจอคุณแม่ ที่วิตก กลัวลูกเป็นหวัด ไม่ยอมเปิดแอร์ให้ลูกตอนนอนหลับกลางคืน แม้แต่พัดลมก็ไม่ยอมให้เปิด มิหนำซ้ำ ห้องนอนลูกก็ไม่มีหน้าต่างระบายอากาศแต่อย่างใด พอพี่เลี้ยงขอพัดลมบอกว่านอนไม่ได้ร้อนมากจริงๆ คุณแม่ก็ยื่นพัดลมที่ใช้มือพัดให้ แหม ถ้ากังวลขนาดนี้ก็อาจจะมากเกินเหตุนะคะ สรุปว่าพี่เลี้ยงกี่คนก็ขอบ๊ายบายค่ะ เพราะนอนไปต้องใช้มือพัดไป เป็นอันอยู่ไม่ได้ค่ะ
แม้แต่ตัวดิฉันเองที่หลายครั้ง หลายครา เวลาออกไปข้างนอก ก็กลัวลูกจะตกหน้าต่างคอนโด ซึ่งอยู่ชั้น 19 นึกถึงทีไร สยองทุกที ต้องรีบบึ่งกลับบ้านทุกที ไม่รู้เป็นกรรมของคนเป็นแม่รึปล่าวนะ ในขณะที่คุณพ่ออยากจะทำอะไร ก็ทำได้ไม่ต้องกังวลอะไร ไปตีกอล์ฟ ทั้งวันก็สบาย แถมไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เฮ้อเห็นแล้วอิจฉาเล็กๆ มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกดิฉัน อยู่สองครั้งที่สะท้อนความไม่คิดมาก (เท่าไร) ของคนเป็นพ่อ
ครั้งแรก ลูกชายคนโตกับคนที่สอง ตอนนั้นอายุประมาณ ห้าขวบ กับเกือบสองขวบ คุณพ่ออาสาจะพาลูกไปห้างเพียงสามคนพ่อลูก ดิฉันก็กังวลอยู่ว่าคุณพ่อจะจัดการลูกได้รึปล่าว เพราะไม่เคยไปไหน สามคนแบบนี้ และลูกก็ยังเล็ก ต้องดูแลใกล้ชิด แต่ด้วยความดีใจที่คุณพ่ออาสาจะดูแลลูก บอกให้เราพักผ่อนอยู่ที่บ้าน หายไปกันนานพอสมควร ซึ่งแทนที่คุณแม่จะได้พักผ่อนกลับวิตก เป็นห่วง เหนื่อยกว่าไปเองซะอีก พอกลับบ้านกันมา คุณพ่อก็เข้ามาเล่าให้ดิฉันฟังว่า เมื่อตะกี้นะ ลูกคนที่สองมันเดินไม่ดูเราเลย เดินๆ อยู่มันหายไปใหนก็ไม่รู้ ผมหาเท่าไรก็ไม่เจอ
ฟังมาถึงตอนนี้ดิฉันก็ตกใจ ว้าย ลูกหายในห้าง แต่แทนที่คุณพ่อจะตกใจ แต่ไม่ใช่เลย เขาบอกว่า นี่นะ อุตสาห์หาจนเหนื่อยแล้วไม่เจอ กะว่าจะกลับบ้านแล้ว แต่พอดีมีคนประกาศออกไมค์ว่า พบเด็กอายุประมาณ สองขวบ หลงกับผู้ปกครอง ให้ผู้ปกครองมารับที่จุดประชาสัมพันธ์ด้วย ก็เลยเจอกันได้
มิหนำซ้ำ คุณพ่อคนดี ยังบอกอีกว่าพอไปรับ ลูกชายกลับนั่งดื่มโค๊ก กับสาวๆ สวยๆประชาสัมพันธ์อยู่ สบายดีนี่ไม่รู้เหรอว่าผมเหนื่อยหา ตั้งนาน แบบนี้ก็ไม่ได้เรียนรู้ซิว่าต้องคราวหลังต้องเดินตามผมให้ดีๆ แหม ดั๊นมาโทษเด็กอีก คุณพ่อ นะ คุณพ่อ ตั้งแต่วันนั้นดิฉันเลิกคิดที่จะให้ลูกไปกับคุณพ่อเพียงลำพังอีกต่อไปเลย
ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ดิฉันกังวลจนนั่งไม่ติด ตอนที่ลูกชายคนโต อยู่ชั้นป.ห้า ต้องเขียนแผนที่รอบบ้าน (ในที่นี้หมายถึงคอนโดที่พักของเรา) ว่าทิศเหนือมีอะไร ทิศใต้ตะวันออก ตก มีอะไร ลิฟท์อยู่ตรงไหน เขาออกจากห้องไปตั้งแต่บ่ายโมงครึ่ง จนเกือบห้าโมงเย็นยังไม่เห็นกลับ แถมข้างนอกฝนก็ตกหนัก ลูกชายดิฉันยิ่งความจำไม่ค่อยดีเท่าไหร่บางครั้งก็ขี้ลืม ดิฉันก็กังวล กลัวเขาหลงทางบ้าง กลัวคนร้ายจับ กลัว กลัว ไปหมด จนคุณพ่อกลับมาจากตีกอล์ฟ ก็เล่าให้ฟัง ไปหาก็แล้วไม่เจอเลย จะเป็นอะไรรึปล่าว คำพูดที่คุณพ่อของลูกพูดออกมาทำให้อึ้งไปพักนึง
เขาบอกว่า แหมคุณ เรามีลูกชายตั้งสามคน ถ้าจะหายไปสักคนนึง ก็คงไม่เป็นไรหรอก เหลืออีกตั้งสองแนะ นี่แหละข้อดีของการมีลูกเยอะๆ ว่าแล้วก็นอนดูทีวีอย่างสบายใจเฉิบ เฮ้อ... แต่สุดท้ายลูกชายก็กลับมาอย่างเรียบร้อยดี แต่ดิฉันแทบไม่เป็นอันทำอะไร นี่แหละความวิตกจริตของแม่เองแหละลูก

#ครอบครัวในฝัน กับความจริงอันแตกต่าง
การที่คนเราสองคนจะมาใช้ชีวิตร่วมกันให้ยั่งยืนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันไม่เหมือนตอนเราเด็กๆ ได้ดูนิทาน เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องซินเดอริลลา เจ้าหญิงนิทรา ที่ตอนจบมักจะจบว่า เจ้าหญิง กับเจ้าชาย ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป, แหม ช่างเป็นนิยายหลอกเด็กให้มีความฝันเกี่ยวกับ การสร้างครอบครัวที่น่าเจ็บใจ จริงๆ เพราะว่าชีวิตคู่ นั้นมันผสมปนเป ทั้งความสุข ทุกข์ เจ้าผู้ชายที่นอนข้างๆ เราเนี่ย บางครั้งก็เหม็นเหล้ากลับมา ตัวก็ใหญ่คับเตียง แถมยังนอนกรนเสียงดังให้รำคาญ อีกต่างหาก ยังไม่รวมเวลาอารมณ์ไม่ดี พูดจาไม่เข้าหู เฮ้อ มันไม่เห็นจะรูปงาม อ่อนโยนเหมือน ตอนจีบกันใหม่ๆ เลย
ตอนคบกันก็เป็นเจ้าชาย แต่พอแต่งแล้ว ดั้นกลายเป็นเจ้านายหน้ายักษ์อยู่ในบ้านเรา นี่หากคุณได้แต่งงานกับคนชาติเดียวกัน ก็ยังมีปัญหาเรื่องความเข้าใจกัน ผู้ชายมักไม่ค่อยสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กลับมองเป็นเรื่องจุกจิก หากแต่ผู้หญิงเรากลับสนใจในรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นคำพูดเล็กๆ น้อยๆ สีหน้า หรือความรู้สึกต่างๆ ที่อยากให้เขาสนใจ และเข้าใจ แต่คุณผู้หญิงขาาา หากคุณจะหาคนที่เข้าใจคุณ รักคุณ ทนุถนอมคุณจนวันสุดท้ายของชีวิต ละก็ ชาตินี้ก็หาไม่ได้ ต่อให้ชาติหน้าก็เถอะค่ะ ลองถามตัวคุณเองก่อนเถอะค่ะ ว่า คุณเข้าใจตัวคุณเองดีหรือยัง ก่อนที่จะให้คู่ชีวิตคุณมาเข้าใจคุณ ยิ่งถ้าแต่งข้ามชาติกันยิ่งเข้าใจยากขึ้นไปอีก ผู้หญิงเราจะเข้าใจ หรือไม่ว่า ผู้ชาย เป็นอย่างไร ต้องการอะไร เชื่อเถอะค่ะ ผู้หญิงกับผู้ชายนั้น ธรรมชาติสร้างมาให้แตกต่าง ไม่เพียงแต่สรีระ แต่รวมถึงสมอง และวิญญาณ เราไม่มีทางที่จะเข้าใจเขาได้ทั้งหมด และเราคงไม่จำเป็นต้องให้เขามาเข้าใจเราทั้งหมดหรอกค่ะ
เมื่อชีวิตครอบครัวคุณเริ่มขึ้น นั่นหมายความว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คุณจะได้เจอสิ่งอะไรมากมาย ที่มันอาจทำให้คุณ ทุกข์ใจ โศกเศร้า เหงา แต่บางครั้งก็สุข บางครั้งก็สงบ ในขณะที่บางครั้งจะวุ่นวาย มันคือนิยายอีกเรื่องที่กำลังจะเริ่มขึ้น แต่คุณผู้หญิงคะ ครึ่งนึง ของความทุกข์ สุข เศร้า เหงา ทั้งหลาย คุณเป็นตัวละครอยู่ในนั้น คุณเป็นคนทำให้เกิดขึ้น อย่าคาดหวังมากเกินไปว่า ต่อไปนี้ชีวิตคุณจะมีแต่สิ่งที่ดีๆ แต่ขอให้เตรียมพร้อม กับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่กำลังจะเกิด และคุณนี่แหละ เป็นตัวทำให้มันเกิดขึ้น จงแสวงหาแต่สิ่งที่ดีๆ ให้ตัวคุณเองและคู่ของคุณ แต่ไม่ต้องหวังให้เขาทำอะไรให้คุณมากมาย จงให้ ให้ และก็ให้ คุณจะสามารถอิ่มใจได้กับการให้ และอีกไม่นานคุณก็จะเป็นแม่คน ซึ่งความวุ่นวายอีกอย่างก็จะเริ่มขึ้นอีก แต่จงภูมิใจเถอะค่ะ ที่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง คุณมีโอกาสทำอะไร ได้เยอะแยะมากมาย เลยค่ะ และ จงภูมิใจว่าเราได้เกิดมาเป็นผู้หญิงทั้งที ขอได้เทำหน้าที่ของความเป็นผู้หญิงให้สมบูรณ์เถอะ ก็คือการได้เป็น เมีย และ แม่นี่เหละ สุดแสนจะคุ้มกับการที่ได้เกิดมาตั้งชาตินึง
แหม อุตส่าห์เกิดมาพร้อมกับ รังใข่ และมดลูกที่ธรรมชาติให้เรามา จะไม่ใช้มันให้มีประโยชน์ก็กะไรอยู่นา จะขึ้นคานกันอยู่ใย เรามาแต่งงานและมีลูกกันดีกว่านะคะ คุณแม่ และว่าที่คุณแม่ทั้งหลาย…..

#อาหารเสริม ของลูก ทำไงให้เป็นเรื่องง่าย
พอลูกเริ่มโตขึ้น นมแม่อย่างเดียวไม่พอสำหรับลูกแล้ว คุณแม่ต้องมาเรียนรู้เรื่องอาหารเสริมให้ลูกแล้วหล่ะ แม่บางคนก็เริ่มกังวล เฮ้ย ทำอาหารให้ตัวเองยังไม่เป็นเลย แล้วจะทำให้ลูกกินได้ไหมน๊า... เอาละซิต้องสวมวิญญานแม่ครัวมือโปรให้ได้ทั้งๆที่ไม่เคยเข้าครัวมาก่อนเลย ดิฉันก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะตอนเด็กๆ คุณแม่เรียกให้มาช่วยในครัว ดิฉันก็ทำบ่ายเบี่ยง อ้างว่าต้องทำการบ้านบ้างหล่ะ ต้องเตรียมสอบบ้างหล่ะ โชคดีว่าที่บ้านของฉันสนับสนุนเรื่องเรียนมาก พออ้างเรื่องเรียนปั๊บ คุณแม่ก็เลยไม่บังคับให้มาช่วยทำอาหาร แหะๆ ผ่านไปจนได้.. แต่เวลานี้ต้องมาเป็นแม่เอง พี่เลี้ยงเด็กก็เพิ่งออกไป..ตายละซี จะปล่อยให้ลูกเราอดได้อย่างไร ว่าแล้วก็ไปขนซื้อตำราอาหารเด็กมา ค่อยๆหัดทำไป เอ..ก็พอได้อยู่นะ ลูกก็ยอมกินแถมยังโตวันโตคืน แหมมันภูมิใจอย่าบอกใครเลยนะคะ
จากประสบการณ์ลูกสี่คนของดิฉัน ดิฉันมีเทคนิคมาแบ่งปันคุณแม่ๆกันค่ะ ก่อนอื่นเลยคุณแม่ต้องทราบก่อนว่า ลูกเราไม่ควรให้อาหารเสริมจนกว่าอายุ หกเดือนเต็ม พูดง่ายๆ กินนมแม่อย่างเดียวหกเดือนค่ะ ไม่ต้องให้น้ำตามด้วยนะคะ เพราะนมแม่มีปริมาณน้ำ ที่เหมาะสมอยู่แล้วค่ะ น้ำส้ม น้ำผลไม้ก็ยังไม่ต้องให้จนกว่าจะหกเดือนค่ะ มาถึงตรงนี้คุณแม่อาจจะเจอกระแสต้านจากคุณยาย คุณย่า ที่จะพยายามเอาอาหารเสริมมาให้ลูกคุณแม่กิน ไม่ว่าจะเป็นกล้วยครูด หรือ ผลไม้ต่างๆ ซึ่งตรงนี้คุณแม่ต้องไปตกลงกันให้เรียบร้อยก่อน อย่าทะเลาะกันเรื่องเลี้ยงหลานนะคะ เพราะคุณย่าคุณยายเขาก็รักหลานเขามากมายค่ะ เพียงแต่วิทยาการทางการเลี้ยงเด็กมันปรับเปลี่ยนไป และความรู้ใหม่ๆ ก็เข้ามาแทน คุณแม่ต้องพยายามอธิบายให้คุณย่าคุณยายเข้าใจนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณยาย มักจะพูดว่า “ก็ชั้นเลี้ยงพวกแกให้โตมาจนทุกวันนี้ก็ใช้วิธีนี้แหละ ทำไมจะใช้กับหลานชั้นไม่ได้” แหะๆ บ้านไหนก็บ้านนั้นเจอคำพูดแบบนี้ประจำ บางบ้านถึงขนาดย้ายบ้านไปอยู่อีกหมู่บ้านนึงเลยทีเดียว
ซึ่งจริงๆแล้วคุณแม่พยายามอธิบายคุณยายนะคะ ว่า องค์การอนามัยโลกเขาประกาศไว้ตั้งแต่ปี คศ.1995 ว่าเด็กทารกควรได้รับนมแม่ล้วนเป็นเวลาหกเดือนค่ะ ทีนี้พอลูกเริ่มอาหารเสริมตอนหกเดือนแล้ว คุณแม่อาจจะเหนื่อยที่จะทำอาหารแต่ละมื้อให้ลูกกินแค่ 3-4 คำเอง แหมต้องไปจ่ายตลาด ซื้อผักมาล้างแล้วล้างอีก ล้างจนมือซีดเซียว ต้มจนเละก่อนจะเอามาบด โอยล่อไปครึ่งวัน แล้วลูกก็กินแค่สามคำเอง.. ดิฉันแนะนำคุณแม่ให้ทำอาหารเตรียมไว้เลยทั้งสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ก็ได้ค่ะ ที่สำคัญคือต้องมีน้ำซุป.. โดยเคี่ยวกระดูกหมูให้น้ำเข้มข้นเลยแล้วใส่พิมพ์ทำน้ำแข็งไว้ รอให้แข็งแล้วนำมาห่อฟรอยไว้ พอจะใช้ก็หยิบมาสักก้อนสองก้อนมาตั้งไฟอุ่นเติมน้ำหน่อยนึง ก็เป็นน้ำซุปให้ลูกได้ทุกมื้อเลยค่ะ
ส่วนอาหารหลักคุณแม่ก็ใช้หลักการเดียวกัน ต้มข้าวให้เปื่อยบดแล้วใส่พิมพ์ไว้ ผักแต่ละชนิดก็ทำแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นแครอท ฟักทอง ผักโขม คุณแม่ก็จะมีผักหลากหลายชนิดที่ต้มและบดแล้วอยู่ในพิมพ์ เวลาจะใช้ก็แกะมาทีละก้อน เช่นวันนี้จะให้ลูกทานข้าวบดฟักทอง ก็เอาก้อนข้าวมาผสมกับก้อนฟักทองมาตั้งไปอุ่น ตามด้วยน้ำซุปที่เตรียมมาจากพิมพ์ ก็จะประหยัดเวลาคุณแม่ได้มากมายเลยค่ะ
คุณแม่บางคนบอกว่าม่ายด้ายม่ายด้าย ลูกชั้นต้องทำสด กินสดทุกมื้อ จริงๆแล้วแช่แข็งแค่ 1-2 สัปดาห์ไม่ได้ทำให้คุณค่าอาหารลดลงไปเลยค่ะ ที่ประเทศญี่ปุ่นมีอาหารเสริมเด็กแบบ กล่องและซองซึ่งแค่นำมาอุ่นหรือใส่น้ำลงไปก็ป้อนเด็กได้เลยและแม่แม่บางคนก็ใช้แต่อาหารสำเร็จรูปตลอดก็มีค่ะ ดังนั้นไม่ต้องกังวลนะคะ เอาแบบที่ประหยัดเวลาคุณแม่และลูกก็ได้สารอาหารครบถ้วนนี่แหละค่ะ ดีที่สุด ทั้งแม่และลูก ไม่ต้องเครียดกันนะคะ

#เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ #นมแม่
แปลกดีนะ มนุษย์เรานี่ บางครั้งมีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่รู้ กลับไปเอาสิ่งที่ไม่ดีเข้าหาตัว.. ถ้าใครคิดจะเลี้ยงลูกด้วยนมผสมขอให้คิดดีๆ หลายๆตลบเลยนะคะ.. ถ้าจะเปรียบให้เห็นชัดๆ ก็คือ หากบ้านของคุณมีทะเลอยู่ตรงหน้า แล้วทุกวันมีกุ้ง ปลาว่ายเข้ามาให้จับกินได้อย่างง่ายดาย.. คุณจะขับรถไปอีกสิบกิโล เพื่อเข้าซุปเปอร์มาเก็ตแล้วซื้อกุ้งปลาแช่แข็ง (ซึ่งอาจจะแช่มาแล้วเป็นเดือน) มาทำอาหารไหมคะ?
การที่คุณแม่ชงนมผสมให้ลูกกินทั้งๆที่ เต้าคุณแม่ก็อยู่กับตัวนี่.. มันก็เหมือนกันนั่นแหละ... แม่บางคนที่ไม่มีความมั่นใจก็บอกว่า “แม่ไม่มีน้ำนมค่ะ” แม่ที่รักความงามอาจจะพูดว่า “แม่กลัวนมหย่อนค่ะ” แม่ที่รักการงานมากก็อาจจะกล่าวว่า “ต้องฝึกไว้เผื่อแม่ไปทำงานค่ะ” ส่วนแม่ช่างคำนวณก็พูดว่า “ให้นมแม่ก็ไม่รู้ว่าลูกดื่มไปเท่าไหร่” ดิฉันอยากจะบอกว่า ไม่มีแม่คนไหนที่มีนมให้ลูกไม่พอแน่นอนค่ะ ธรรมชาตินั้นสร้างมาให้มีความสมดุลในชีวิต.. สังเกตซิคะ ช้างป่า, วัว, แมว หรือ แม้แต่สุนัข ยังมีนมเพียงพอให้ลูกเลย.. และมนุษย์ในสมัยโบราณ ที่ไม่มีนมผง ก็เลี้ยงลูกเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นบรรพบุรุษของเราได้จนทุกวันนี้ เขาก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องนมแม่ไม่พอเลยค่ะ...
ดิฉันมีเทคนิคการให้นมแม่มาแบ่งปันกันในที่นี้ค่ะ
1. อย่ากังวลกับขนาดนม.. นมเล็ก นมใหญ่ นมไข่ดาว.. ไม่เกี่ยวกับการสร้างน้ำนมเลยค่ะ..
2. ต้องให้ลูกดูดบ่อยๆเพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนม ช่วงเดือนแรกอาจจะดูเหมือนน้ำนมน้อย ก็ไม่ต้องกังวล ให้ลูกดูดไปเรื่อยๆ ทุกๆ สองสามชั่วโมง ร่างกายจะปรับตัวผลิดน้ำนมให้เพียงพอแน่นอนค่ะ
3. ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักลูกลดลงในช่วงสองสัปดาห์แรก เพราะการที่น้ำหนักลูกลดลง เป็นธรรมชาติของเด็กที่ต้องปรับตัวในการออกมาจากครรภ์มารดา ไม่ใช่เพราะนมแม่ไม่พอค่ะ หลายคนเข้าใจผิดว่านมไม่พอ ลูกเลยน้ำหนักลด.. พาลจะไปชงนมอยู่เรื่อยค่ะ
4. ไม่ต้องสลับการให้นมระหว่างนมแม่กับนมผสม เพราะยิ่งสลับ ยิ่งไม่ดี กับทั้งแม่และลูก ไม่ดีกับแม่ในแง่การผลิตน้ำนมจะลดลง เพราะ มื้อที่ให้นมผสม ลูกจะไม่ได้ดูดกระตุ้นนมแม่ ไม่ดีกับลูกในแง่การย่อยโปรตีน ที่ไม่เหมือนกัน ร่างกายลูกต้องปรับตัวมากมายในการย่อยโปรตีนนมในนมผสม
5. รับประทานอาหารดีๆ ยิ่งกว่าช่วงตั้งครรภ์อีก เพราะสารอาหารจะเข้าไปอยู่ในน้ำนมของคุณแม่
6. ดื่มน้ำมากๆ เน้นนะคะ ว่ามากจริงๆ ปรกติดิฉันเป็นคนไม่ค่อยดื่มน้ำ แต่ช่วงที่ให้นมลูกดิฉันดื่มน้ำ แทบจะตลอดวัน คือนึกออกก็ดื่ม นึกออกก็ดื่ม โดยเฉพาะน้ำอุ่นๆ ค่ะ เป็นตัวเร่งและเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำนมคู่กับอาหารที่คุณแม่รับประทาน
หากคุณแม่ทำตามหกข้อนี้รับรองได้ค่ะ น้ำนมต้องพอแน่นอน.. อดทนช่วงแรกนิดนึง พอเลยเดือนนึงไปแล้วน้ำนมจะมาแบบที่ว่า เอาไปบริจากให้ลูกคนอื่นได้ด้วยหล่ะค่ะ
ถ้าคุณแม่จะถามเรื่องการปั้มนม.. ดิฉันอยากจะบอกว่าถ้าไม่จำเป็นไม่ควรปั้มค่ะ.. ถ้าคัดจริงๆ แล้วลูกดูดไม่ทันอาจจะใช้วิธีบีบออกมาก็ได้ค่ะ..
ส่วนเรื่องที่กลัวลูกจะติดนมแม่ ไม่ยอมดูดขวดเวลาแม่ไปทำงาน.. คุณแม่ก็อาจจะบีบนม ใส่ขวดฝึกให้ลูกดูดดูบ้างก็ได้ค่ะ แต่ควรจะเป็นนมคุณแม่ที่อยู่ในขวดนะคะ อย่าไปเอานมผสมมาให้ลูกดื่มเลยค่ะ...
ทำไมถึงไม่อยากให้คุณแม่ให้นมผสมกับลูกทราบไหมคะ.. เพราะว่านมผสมทุกยี่ห้อ เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะผลิตนมให้ใกล้เคียงกับนมแม่มากที่สุด แต่รู้ไหมคะ ไม่มีแม้แต่ยี่ห้อเดียวที่ผลิตได้เหมือนกับนมแม่.. พูดง่ายๆ นมคนก็เอาไว้เลี้ยงคน.. นมวัว( ส่วนใหญ่นมผสมจะสกัดโปรตีนมาจากนมวัว) ก็ควรเอาไปเลี้ยงวัวนะคะ ปัจจุบันยิ่งอาการหนักเข้าไปอีก มีการผลิตนมแพะ นมแกะ นมหมู นมหมา ( อันนี้ดิฉันเติมไปเองนะคะ) ระวังเลี้ยงลูกไปจะกลายเป็น แพะ แกะ ไปนะคะ (ฮา...) สำหรับดิฉันนะคะ ตัวดิฉันอยู่ตรงนี้ นมก็อยู่กับตัวที่นี่ อย่านะ ใครอย่าบังอาจ เอาสารสังเคราะที่ไร้ชีวิตชีวา มาใส่ในปากลูกชั้นเป็นอันขาด...ฮึ่มม....

#ความรู้สึกของความเป็นแม่ครั้งแรก ( #กำเนิดลูก #กำเนิดแม่)
คุณๆทั้งหลายที่ไม่ได้เป็นแม่ นะคะโดยเฉพาะคุณพ่อ.. อาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าก่อนที่จะเป็นคุณแม่นั้น คุณแม่ผ่านความกลัว กังวล และตื่นเต้นมามากมาย.. ไม่มีใครเคยเป็นแม่มาก่อนนี่คะ..อยู่มาวันนึง มารู้ตัวว่ามีใครก็ไม่รู้มาอยู่ในท้องของเรา.. ไม่ได้อยู่เฉยๆด้วย.. มากินอาหารด้วยกัน..ทุกวันทุกวันก็โตขึ้นเรื่อยๆอยู่ในท้อง แถมวันดีคืนดี มาเตะท้องเราเล่นซะอีก... พออยู่มาวันนึงก็ออกมาจากท้องเรา แล้วทุกคนก็มาตราหน้าว่าเราเป็นแม่.. แง.. แล้วฉันจะทำไงล่ะเนี่ยะ.. แถมมีความคาดหวังมากมายจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะคุณพ่อ (อีกแล้ว) ว่าเป็นแม่ต้องหยั่งโง้น หยั่งงี้.. หรือแม้แต่ตัวลูกเอง..
ลูกอาจจะคิดว่า ก็ผมไม่ได้อยากเกิดมานี่ แม่กับพ่อเป็นคนให้ผมเกิดมา.. ทำไมผมจะต้องรับผิดชอบด้วย ทำไมสังคมจะต้องคาดหวังให้ผมจะต้องกตัญญู และเชื่อฟัง ด้วย.. หนอยแน่ะ.. ไอ้ลูกชาย.. พอโตขึ้นมันรู้มาก.. มาบอกกับแม่ว่า “แม่ครับ แม่บอกผมว่าการเกิดในศาสนาพุทธ มันเป็นทุกข์ ผมไม่ได้อยากเกิดมานะครับ...แม่กับพ่อต่างหากที่ทำให้ผมเกิดมา ทำให้ผมมีทุกข์ แล้วทำไมทุกคนถึงบอกว่าพ่อแม่มีบุญคุณ.. จะมีบุญคุณได้ยังไงครับก็เอาทุกข์มาให้ผม.. ทั้งๆที่ผมไม่ได้เลือก” ลูกรัก..ใจหนึ่งแม่ก็อยากเตะลูกเหลือเกินกับคำพูดนี้ แต่อีกใจนึงก็คิดว่าลูกช่างหลักแหลมเหลือเกิน.. สิ่งที่แม่อยากจะบอกกับลูกในวันนี้อยากให้ลูกฟังดีๆนะจ๊ะ..
แม่ก็ไม่รู้และไม่ได้กำหนดการเกิดมาของลูก ทั้งนี้ พ่อกับแม่ตกลงปลงใจจะอยู่ด้วยกัน นอนเตียงเดียวกัน และก็ แฮะแฮ่ม.. มีกิจกรรมอะไรกัน แล้วอยู่ๆลูกก็จุติลงมาในท้องแม่.. แม่ก็กลัวเหลือเกิน. ว่าแม่จะเป็นแม่ได้ไหม..แม่จะทำหน้าที่ได้ไหม..แม่จะดูแลลูกได้ไหม..แม่มีความกังวลมากมายเหลือเกิน..... ในวันที่แม่ให้กำเนิดลูกนั้น..เป็นวันที่แม่ได้เกิดเป็นแม่.. เพราะก่อนหน้านั้นไม่มีใครเรียกว่าแม่.. ดังนั้นวันที่ลูกเกิดมา แม่ก็ได้กำเนิดขึ้นมาเหมือนกัน.. เราเกิดมาพร้อมกัน ลูกได้กำเนิดมาเป็นหนึ่งชีวิต ส่วนแม่จากเป็นผู้หญิงคนหนึ่งก็ได้กำเนิดมาเป็นแม่.. อยากให้ลูกเข้าใจว่าแม่ก็เพิ่งเริ่มชีวิตของการเป็นแม่ เราต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน.. เรียนรู้กันและกัน..
แม่ต้องเรียนรู้จากลูกว่าลูกกิน นอน อยู่ เล่น อย่างไร ลูกต้องการอะไร ลูกร้องไห้ทำไม ลูกไม่อึเพราะอะไร ลูกตัวร้อนต้องทำอย่างไร.. แม่ก็อาจมีบุญคุณกับลูกในแง่เลี้ยงดูลูกมา.. ลูกเองก็มีบุญคุญกับแม่ในการให้โอกาสที่ผู้หญิงคนหนึ่งได้กำเนิดความเป็นแม่ขึ้นมา..นะลูกนะ
ลูกจ๋า..แม่จะบอกว่าเราเผชิญชะตากรรมด้วยกัน..ที่จะต้องเป็นแม่เป็นลูกกันจนชีวิตจะหาไม่.. ลูกไม่สามารถปฎิเสธแม่ได้ และแม่ก็ไม่สามารถปฎิเสธลูกได้เช่นกัน.. ดังนั้น เราจะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ไปอย่างนี้ตลอดไป... รักลูกเสมอ..

#ประสบการณ์ในห้องคลอด 4
ลูกคนที่ 4
หลังจากผ่าท้องคลอดมา 3 ครั้ง และครั้งที่สามก็เป็นการทำคลอดที่ระทึกเช่นกัน เนื่องจากผังผืดที่มดลูกจนเป็นเหตุให้ครั้งที่สามก็ยากเย็นแสนเข็ญ กับการคลอดในต่างแดนแล้ว.. ครั้งนี้ครั้งที่ 4 ดิฉันเลือกโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพ และ หมอที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในการผ่าท้องคลอด.. คุณหมอก็น่ารักมากซักประวัติดิฉันซะพรุนเลย แถมยังแสดงความกังวลอย่างออกนอกหน้า หลังจากทำการอุลตร้าซาวด์ช่วงท้องแก่เพื่อจะดูทางหนีทีไล่ เอ้ยไม่ใช่ดูรายละเอียดว่าจะผ่าท้องกันยังไง.. ปัญหาคือ ดิฉันต้องเดินทางช่วงท้องแก่ 8 เดือน คุณหมอก็ยอมเซ็นอนุญาตให้เดินทางได้ ก่อนเดินทางกลับเมืองไทย 1 วัน คุณสามีก็อยากพาลูกๆ ทั้งสามคน ไปดิสนีย์แลนด์ โดยเฉพาะลูกสาวอายุ 3 ขวบ ยังไม่เคยไปก็เลยจัดเต็ม.. คุณแม่ก็ต้องเดินทั้งวัน บางครั้งวิ่งตามลูก ลืมตัวไปว่าตัวเองท้องแก่.. เหนื่อยพอดูเลยล่ะ
วันรุ่งขึ้นก็ขึ้นเครื่องบิน บินกลับกรุงเทพฯ เที่ยวบินนี้ใช้เวลาประมาณ 6 ช.ม. บินไปได้ประมาณสองชั่วโมงเศษๆ ดิฉันรู้สึกเหมือนกับมีน้ำออกมาทางช่องคลอด.. “โอ้....อย่านะ..อย่าเพิ่งนะ..” ดิฉันก็พยายามคิดในแง่ดีเข้าไว้.. “ยังน่า... ตามกำหนดอีกตั้งเกือบเดือนแน่ะ.. น่าจะเป็นฉี่ที่อาจจะเล็ดลอดออกมา..” ว่าแล้วดิฉันก็นั่งนิ่ง ไม่กล้าขยับตัว..ไม่กล้าลุกไปห้องน้ำด้วย.. 4 ชั่วโมงแห่งความลุ้นระทึก.. เมื่อเครื่องบินลงจอด พอดิฉันลุกขึ้นจากที่นั่งก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ฉี่แน่นอน.. มันเป็นน้ำที่ออกมาจากมดลูกแน่นอน ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าน้ำเดิน.. ดิฉันแจ้งคุณสามีว่า “สงสัยต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะค่ะ”
และแล้ว จากสนามบินก็ตรงไปที่ ร.พ.โดยทันที ถึงโรงพยาบาลช่วงเย็นๆ ของวันที่ 5 มกราคม ปัญหาก็คือ ดิฉันดันเป็นหวัด มีน้ำมูกมากมายอีกด้วย “แล้วตรูจะผ่าตัดได้เหรอเนี่ยะ“ คุณหมอเข้ามาตรวจดิฉันแล้วบอกว่า พรุ่งนี้เช้าจะทำการผ่าตัดคลอดตั้งแต่เช้ามืดประมาณหกโมงเช้า..คืนนี้ให้พยายามพักผ่อน..
ก่อนผ่าตัดคุณหมอมีอาการตื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด คุณหมอเอาเอกสารมาให้เซ็น ในเอกสารนั้นเขียนว่า หากระหว่างการผ่าตัดมีอะไรที่ไม่ปรกติ ดิฉันยินยอมให้คุณหมอเอามดลูกออกได้เลย.. ดิฉันก็เลยถามคุณหมอว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่จะต้องเอามดลูกออก คุณหมอตอบว่าเคสของคุณน่าจะผ่ายากมากๆ หมอจะพยายามรักษามันไว้ไม่เอาออก แต่ถ้าจำเป็นจริงๆเท่านั้น ดิฉันจึงยอมเซ็นชื่อไปให้แต่โดยดี.. ในห้องผ่าตัดโดยการบล็อกหลังครั้งนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นดี โดยไม่ต้องตัดมดลูกแต่อย่างใด แต่ดิฉันสังเกตเห็นพยาบาลเดินเข้าออกก่อนทำการผ่าตัด พร้อมชาร์ทแบตมือถือในห้องผ่าตัด ยังกะห้องพักผ่อนแน่ะ..... อืมม.. ดูแล้วไม่ค่อยโปรเลยนะคะคุณพยาบาล.. และแล้วหลังจากนั้นไม่นาน ลูกชายคนเล็กของดิฉันก็ลืมตาดูโลกมาในวันที่ 6 มกราคม อย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งดิฉันไม่ได้เอะใจเลยว่าการผ่าตัดครั้งนั้นมันมีผลตามมาอีกมากมายกับร่างกายของฉัน.... ซึ่งจะเล่าต่อในบทต่อๆไป
อย่างน้อยที่สุดฉันก็ยังมีอวัยวะครบถ้วน รวมถึงมดลูกที่ทำงานหนักมาหลายครั้งในการอุ้มท้อง แต่ แผลผ่าตัดครั้งนี้คุณหมอได้ทำการผ่าแบบบนลงล่าง ซึ่งแผลเก่านั้นผ่าแบบซ้ายไปขวา.. พอดิฉันเห็นท้องของตัวเอง ก็อยากจะร้องไห้เพราะ มันเหมือนมีเครื่องหมายบวก ใหญ่ๆ อยู่บนหน้าท้องอันไม่ค่อยจะงดงามของดิฉัน ราวกับจะให้จดจำเหตการณ์สำคัญนี้ตลอดไป “ เออ ชั่งมันเหอะ..ชาตินี้คงไม่ได้โชว์หน้าท้องให้ใครเห็นแล้วหล่ะ..ชั้นคงไม่ไปเข้าคลาสเต้นระบำหน้าท้อง ( belly dancing) อย่างแน่นอน“😘😘😘😘

#ประสบการณ์ในห้องคลอด 3
ลูกคนที่สาม
สำหรับการคลอดลูกในครั้งนี้.. เป็นประสบการณ์ที่สุดยอดที่สุดของความเจ็บปวด และ ดิฉันคลอดลูกคนนี้ที่ต่างประเทศ (ญี่ปุ่น) ห้อมล้อมด้วยความอบอุ่นของครอบครัว.. สามี ลูกชายทั้งสองคน 8 ขวบและ 5 ขวบ ดิฉันรู้สึกอบอุ่น จิตใจแข็งแกร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน.. อีกทั้ง หมอทำอุลตร้าซาวด์แล้ว บอกไว้ก่อนแล้วว่าจะเป็นลูกสาว...... กำลังใจมาเป็นที่หนึ่ง... ชั้นกำลังจะมีลูกสาว.. มีลูกสาว..ว้าว.. เป็นอะไรที่รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก.. มีกังวลอยู่นิดนึงว่า หมอที่นี่มีประสบการณ์ส่วนใหญ่คลอดธรรมชาติ.. จะผ่าคลอดเราได้มั้ยเนี่ยะ... อีกอย่างหมอที่ทำคลอดลูกคนที่สองเคยเตือนว่า มดลูกดิฉันมีผังผืดเยอะมาก..จนผ่าท้องยากมากๆ.. ดิฉันก็ได้แจ้งข้อมูลนี้กับคุณหมอต่างชาติคนนี้.. แต่ดูเหมือนเขาไม่ค่อยสนใจข้อมูลที่ดิฉันบอกสักเท่าไหร่.. เออน่า.. ประเทศที่ เจริญแบบนี้คงไม่น่ามีปัญหาน่า... ปลอบใจตัวเอง... ตอนพบหมอครั้งสุดท้ายก่อนวันผ่าคลอด สามีมาด้วย ดิฉันให้สามีแจ้งคุณหมอว่าต้องการทำหมันเลย.. เพราะทราบมาว่า ทำหมันสามารถทำคู่ไปกับการผ่าท้องได้เลย.. และเราก็มีตั้งสามคนแล้ว คนนี้ก็เป็นผู้หญิงด้วย น่าจะพอได้แล้ว.. วันนั้นหลังจากบอกหมอไปว่าจะทำหมัน.. ก่อนวันผ่าคลอดไม่กี่วันคุณหมอขอพบสามีดิฉัน และดิฉันก็อยู่ในห้องด้วย.. คุณหมอบอกว่าถ้าจะทำหมัน ต้องให้สามีเซ็นยินยอมก่อน.. และนี่คือสาเหตที่คุณหมอต้องการคุยกับสามี.. วันนั้นดิฉันนั่งนิ่งอยู่ในห้องตรวจ คุณหมอเริ่มการสนทนาด้วยภาษาของสามีดิฉัน.. ถึงแม้ดิฉันจะไม่เข้าใจ 100% ในภาษานี้ แต่ดิฉันบอกได้เลยว่า วันนั้น.. ดิฉันเข้าใจอย่างชัดเจนในสิ่งที่เขาสนทนากัน....
“ภรรยาคุณบอกว่าต้องการทำหมัน ตอนผ่าตัดคลอด นะครับ.... “ “ใช่ครับ” คำตอบสั้นๆ ของสามี... คุณหมอนิ่งไปพักนึง มองหน้าดิฉันแวบนึง แล้วหันไปหาสามีดิฉัน.. ทำหน้าขึงขัง.... และเริ่มคำพูดที่ดิฉันจดจำได้ไปตลอดชีวิต... “คือ.. ผมไม่ทราบว่าภรรยาคุณมาจากที่ไหน... แต่... ในประเทศที่ศิวิไลซ์ อย่างเรา.. เราจะไม่แนะนำให้ทำหมันครับ” ประเทศที่ศิวิไลซ์????? ดิฉันมีความรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงไปเหลือ 1 ฟุต.. และรู้สึกร้อนขึ้นมาบนใบหน้าโดยทันที “เพราะเราไม่รู้ว่า ในระยะยาว จะเกินผลกระทบอย่างไรบ้างในคนที่ทำหมัน… ผมก็เลยอยากให้คุณคิดอีกครั้งก่อนที่จะเซ็นใบยินยอม” ภายในหัวดิฉันในตอนนั้น... มีความรู้สึกว่า มันมองตรูยังกะตรูมาจากหลังเขา ไม่รู้เรื่องอะไรในโลกนี้เลย.. ฮึม... ประเทศตรูก็มีอารยธรรม นะเฟ้ย.. ทำไมมาพูดจาดูแคลนกันแบบนี้..
สุดท้าย..สามีก็ไม่เซ็นชื่อในใบยินยอมให้ทำหมัน... โอเค.. ทำตามประเทศที่ศิวิไลซ์แบบเธอก็แล้วกัน..
ในวันที่เข้ามาพักในโรงพยาบาล คืนแรก ก่อนที่จะทำการผ่าท้องคลอด.. สามีที่แสนดี ก็ไม่ได้จองห้องส่วนตัว.. แต่เป็นห้องรวมที่มีคุณแม่ 6 คนอยู่รวมกัน และ แน่นอน ดิฉันเป็นคนต่างชาติคนเดียวใน 6 คน.. ตอนนั้นเริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มหนาว แต่ในห้องพัก โรงพยาบาล เปิดเครื่องทำความร้อน จนดิฉันรู้สึกว่าร้อนเกินไป วัดอุณหภูมิได้ 29 องศาเซ็นเซียส สามีบอกว่า ค่าห้องเดี่ยวแพงมาก อีกอย่าง ดิฉันจะได้ฝึกพูดภาษาของเขา กับบรรดาแม่ๆ ที่พักอยู่ห้องเดียวกัน.. เหอเหอ.. ตรูมาคลอดลูกนะ ไม่ได้มาเรียนภาษาต่างด้าว.. ยังไงก็ตามยังมีห่วงหลายอย่าง ทั้งลูกชายสองคนต้องอยู่กับผู้ช่วยที่บ้าน และ ดิฉันต้องอยู่ที่โรงพยาบาลตามกำหนดถึง 10 วัน เพราะที่นี่เขาให้พักฟื้นนานหน่อย เพราะต้องการแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีหลังผ่าคลอด
วันนั้นในห้องคลอด วันที่ 3 ตุลาคม ปี... อย่าไปพูดถึงมันเลย.. การคลอดลูกครั้งที่สามในชีวิต บล็อกหลังครั้งที่ 2 ห้องคลอดค่อนข้างกว้างขวาง มีคนใส่ชุดผ่าตัด 2 -3 คนในห้อง หนึ่งในนั้นเป็นคุณหมอที่ดิฉันไปพบเป็นประจำและเป็นคนเดียว กับที่แนะนำไม่ให้ทำหมัน... ดิฉันเรียกเขาว่าหมอใหญ่ก็แล้วกัน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง ดิฉันไม่เคยเจอมาก่อน หลังจากนั้นดิฉันทราบมาว่า เธอน่าจะเป็นแพทย์ฝึกหัด เพราะ โรงพยาบาลที่นี้เป็นที่ที่สอนนักเรียนแพทย์ด้วย.. ดิฉันมองเห็น ไฟบนเพดาน ตรงหน้าอกมีม่านกั้นไม่ให้ดิฉันมองเห็นท้องตัวเอง คุณหมอ กับพยาบาล ยืนอยู่อีกด้านของม่าน.. จนเขาแน่ใจว่ายาได้ออกฤทธ์สมบูรณ์ เพราะดิฉันไม่มีความรู้สึกต่ำกว่าเอวลงไป.. พูดตรงๆ คนใกล้คลอดอย่างดิฉันคงจะหาตำแหน่งเอวค่อนข้างยากอยู่ แต่เอาเป็นว่า คุณหมอชาวต่างประเทศกำลังเอามีดกรีดท้องดิฉันอยู่... ดิฉันเหลือบมองนาฬิกา.. แหม.. ดีนะที่เราไม่ได้ถือเรื่องฤกษ์ยาม ไม่งั้นคง ยุ่งยากกว่านี้.. ดิฉันได้ยินเสียงคุยกันของหมอ.. เริ่มเสียงดังขึ้น..
เอ... ทำไม มันนานจัง.. เหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง.. นี่มันเลยครึ่ง ช.ม ไปแล้ว.. ดิฉันจำได้ว่าครั้งแรกของดิฉันในการผ่าคลอดใช้เวลาประมาณ ยี่สิบนาทีนิดหน่อยเท่านั้นเอง.. ฮืม.. มันเป็นยังไงนะ.. ดิฉันมีความรู้สึกว่า ตึงๆที่ท้องแต่ลูกก็ยังไม่ออกจากท้อง.. และแล้วดิฉันก็ได้ยินเสียงหมอทะเลาะกัน.. “เธอจะบ้า..เหรอ.. ใครสอนให้เธอทำแบบนี้.. บ้าจริงๆ..” นั่นคือเสียงหมอใหญ่พูด ค่อนข้างเสียงดัง จนฟังเหมือนตวาด.. หมออีกคนพูดอะไรพึมพำ ดิฉันไม่เข้าใจ .. แต่เสียงหมอใหญ่ชัดมากและ เข้าใจได้ชัดว่า เขาหัวเสีย และ เอ็ดตะโร ด้วยความหงุดหงิดปนโกรธ.. โอ้.. ตกลง ลูกดิฉันจะได้ออกมาปลอดภัยไหมเนี่ยะ.. เหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง.. มันเกิน 40 นาทีแล้วนะ.. มันนานเกินไปแล้ว.. ดิฉันเริ่มกังวลว่าพวกเขาไม่สามารถทำให้ลูกดิฉันคลอดออกมาได้... หลังจากเสียงเอ็ดตะโรอีก ดิฉันมีความรู้สึกว่า หมอใช้แรงค่อนข้างมากเพื่อที่จะดึงลูกออกจากท้องดิฉัน และแล้ววินาทีนั้น พรึบ.. รู้สึกได้เลยว่าลูกถูกดึงออกจากท้อง.. ไม่นานก็ได้ยินเสียงทารกร้องไห้... ดิฉันเกือบจะร้องไห้ไปด้วย.. พยาบาลล้างตัวเด็กและอุ้มมาให้ดิฉันดู... นี่ลูกสาวของฉัน.. ทำไมช่างน่ารักอะไรขนาดนี้.. ปิติ ปลาบปลื้มอย่างบอกไม่ถูก.. แต่รู้สึกว่าเพลียมาก จนหลับไปตอนที่ถูกเข็นกลับห้องพัก..
ตอนคลอดยังไม่เท่าไร.. ประสบการณ์กำลังจะเกิดขึ้นตอนที่อยู่ที่ห้องพักนี่แหละ... ที่นี่ประเทศที่ศิวิไลซ์แล้วอย่างเขา.. เขาจะเข็นคลิปเด็ก (เป็นภาชนะที่ใส่เด็กหลังคลอด ทำด้วยแก้วใส มองเห็นได้ และ มีล้อที่สามารถเข็นไปมาได้) มาวางไว้ที่ข้างเตียงของแม่.. และให้แม่ดูแลเอง 24 ชม. ไม่มีพยาบาลคอยช่วยใดๆทั้งสิ้น.. นั่นหมายความว่า แม่ต้องดูแลลูก ให้ลูกกินนม อุ้ม เอาลูกนอน ทั้งๆที่เพิ่งถูกผ่าท้องมา.. ลุกขึ้นยังแทบไม่ได้เลย.. แต่ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเอง..ทั้งของแม่และของลูก.. อาหารแม่จะถูกเข็นมาหน้าห้อง ต้องเดินไปหยิบถาดที่มีชื่อด้วยตัวเอง.. (ความรู้สึกเหมือนอยู่ในคุกไงก็ไม่รู้ อาหารก็ต้องมาหยิบเอง มาหาชื่อตัวเอง) ดิฉันให้ลูกกินนมแม่ ของใช้ลูกก็เลยไม่ยุ่งยากมากนัก แต่ ที่สำคัญ 6 แม่ลูกอยู่ในห้องเดียวกัน เวลานอนมีผ้าม่านกั้นระหว่างเตียง ซึ่งน่าจะไม่เกิน 2 เมตรระหว่างแต่ละเตียง
ที่นี่ ย้ำอีกทีประเทศที่ศิวิไลซ์แล้ว.. เขาจะไม่ใช้ยาแก้ปวดถ้าไม่จำเป็น.. เขาบอกว่ายาอาจปะปนในน้ำนม ทำให้ลูกได้รับสารเคมีจากนมแม่.. ดิฉันเข้าใจและยอมรับได้และคิดว่าน่าจะดีที่สุดสำหรับลูก..ซึ่งจะต้องแลกกับความเจ็บแผลผ่าตัดอย่างสุดซึ้ง..
คืนแรกที่อยู่กับลูกสาว เป็นอะไรที่ภูมิใจมาก ลูกแม่ไม่ร้องงอแงเลย.. แค่ร้องแอ๊ะๆ ตอนหิวนม เท่านั้น.. ตอนนี้ดิฉันรู้สึกเหมือนเป็นแม่มืออาชีพ.. แหม.. ประสบการณ์ครั้งนี้ครั้งที่ 3 แล้ว และ ดิฉันพบว่า เลี้ยงลูกก็ไม่ได้ยากอะไรเท่าไร มองหน้าลูกตอนดูดนมตัวเองก็ช่างมีความสุขอย่างลึกซึ้ง.. ยิ่งตอนลูกนอนหลับตาพริ้มนี่ มีความสุขอย่างอธิบายไม่ได้.. ว่าแล้วพอลูกหลับ ดิฉันก็พยายามนอนหลับเพราะรู้ดีว่าอีก 2 ชม. ไม่เกิน 3 ชม.ลูกจะตื่นมากินนมอีก เราจะมีเวลาหลับแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น และ เราจะปล่อยให้ตัวเองเพลียไม่ได้เพราะร่างกายต้องพยายามสร้างน้ำนม .. ว่าแล้วก็พยายามจะนอนให้หลับ.. ทันใดนั้น... “ว๊าก....ว๊าก...ว๊าก...” เสียงทารก จากเตียงข้างๆ แผดเสียงแหลมๆ ดังขึ้นมา.. ดิฉันก้มลงมองลูกตัวเอง.. ดีนะ ลูกเราไม่ตื่น ไม่สนใจเสียงร้องของทารกข้างเตียง.. ดิฉันพยายามข่มตาหลับ ปวดแผลผ่าดัดมาก ถึงมากที่สุด... ความเจ็บปวดมันเริ่มพิ่มขึ้นมา จนรู้สึกว่า ครั้งนี้แผลมันเจ็บอย่างสาหัสสากัน เชียวละ.. และแล้ว “ว๊าก....ว๊าก...ว๊าก...” เสียงเด็กเตียงข้างๆ ซึ่งห่างไปเพียง 2-3 เมตร ดังขึ้นมาอีก ทุกครั้งที่ลูกเขาร้องเสียงแหลมๆ ความเจ็บปวดของดิฉันก็เพิ่มทวีคูณ ปวดร้าวเข้าไปถึงกระดูกทุกชิ้นในร่างกาย... อ้อ.. ไอ้ที่เขาบอกว่า “เจ็บเข้ากระดูกดำ” นี่เป็นอย่างนี้เอง... และแล้วคืนนั้น ดิฉันก็นอนไม่หลับ ใจก็คิดถึงตอนที่อยู่ในห้องผ่าตัด ที่ใช้เวลานานกว่าปรกติ และ หมอสองคนนั้นทะเลาะกันเพราะอะไร.. ทำไมถึงเอ็ดตะโรกันขนาดนั้น.. เกิดอะไรขึ้นในการทำคลอดครั้งนี้..... นึกถึงก็ ทำให้ข่มตาหลับไม่ลง.... แล้ว “ว๊าก....ว๊าก...ว๊าก...” เด็กข้างเตียงแผนเสียงขึ้นมาอีก.. ความเจ็บปวดมันซอกซอนเข้าไปทุกส่วนของร่างกาย.. มันเจ็บลึกเข้าถึงกระดูกข้างใน... โอย... ทำไมช่างเจ็บปวดอะไรเช่นนี้.. ชั้นไม่อยากได้ยินเสียงร้องนี้อีกแล้ว... หันกลับมามองลูกตัวเอง.. ลูกสาวของแม่ หลับพาพริ้ม เหมือนฝันดี.. โอ..ลูกแม่เพิ่งมีชีวิตในโลกนี้แค่ สามวัน... ลูกยังต้องเติบโต ต้องพบเจออะไรอีกมากมาย... แม่จะอดทน ผ่าน เวลา ที่แสนเจ็บปวดนี้ไปให้ได้.. ขอบคุณลูกแม่ที่ช่างเลี้ยงง่าย กินง่าย น่ารักเหลือเกิน....
จนถึงวันที่ หมอมาตรวจลูกของแม่ครั้งสุดท้าย ก่อนจะให้กลับบ้าน... ไม่ทันจะดีใจ.. หมอเรียก สามีมาฟังผลที่ โรงพยาบาล.. “ลูกคุณมีปัญหาที่ ลิ้นหัวใจ นิดหน่อย.. หมอต้องขอ แอดมิท ลูกคุณ เพื่อตรวจให้แน่ใจ” สามีเริ่มทำหน้าเครียด.. ตกลง เรา แม่ลูก จะได้กลับบ้านหรือปล่าวนี่.. แล้ว ความผิดปรกติของลูก จะมีผลอะไรกับชีวิตลูกของแม่ไม๊... ว่าแล้วเราก็เริ่มมีความกังวลใจเกิดขึ้นมา.. หักมามองหน้าลูกอีกครั้ง.. ลูกสาวแม่ช่างน่ารัก และ เลี้ยงง่าย อารมณ์ดีอะไรเช่นนี้.. คงไม่เป็นอะไรน่า... ลูกแม่จะต้องแข็งแรง มีชีวิตที่ มีความสุข.. และแล้วคืนนั้นเราก็ผ่านไปอย่าง เรียบร้อยแม้จะยังเจ็บแผลก็ตาม... วันรุ่งขึ้นคุณสามีจอมกวนของดิฉันก็เริ่มจะเอ็ดตะโรกับคุณหมอเกี่ยวกับเรื่องการแอดมิทของลูกสาวตัวน้อยของเรา.. เพราะโรงพยาบาลจะมีเก็บค่าเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเงินก้อน หรือค่าแอทมิท.. สามีก็เริ่มโวยวายตามสไตล์อันเป็นแบบฉบับที่หาใครเหมือนได้ยาก..
เขาบอกว่า.. ตอนนี้ลูกผมก็อยู่โรงพยาบาลอยู่แล้ว.. ยังไม่ได้กลับบ้านเลย.. แล้วจู่ๆ คุณก็บอกว่าต้องตรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวใจ จะเก็บค่าเข้าพักในโรงพยาบาล.. มันฟังดูแปลกๆนะหมอ.. เพราะตอนนี้ลูกผมก็อยู่ที่นี่อยู่ดี.. ใช่เนอะ.. ค่าเข้าพักโรงพยาบาล มันก็น่าจะเป็นค่าที่ต้องใช้ที่ในโรงพยาบาล คล้ายๆกับค่าแรกเข้า.. แต่ลูกเราก็ต้องอยู่ที่นี่อยู่แล้วเพราะเพิ่งคลอดและยังไม่ได้ออกเลยทำไมต้องเข้าอีก.. เออนะ.. มันก็ดูแปลกๆจริงๆ.. สุดท้ายหลังจากหมอตรวจอะไรอะไรหลายอย่างก็สรุปว่า เป็นปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ ซึ่งถ้าเด็กโตขึ้นอาจจะเป็นปรกติได้เอง.. อืม... ยังไงก็เป็นห่วงลูกอยู่ดี.. คุณสามีบอกว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงหร๊อก.. สมัยนี้เอะอะอะไรก็ตรวจเช็คละเอียดเกิ้น.. จริงๆ เราก็อาจจะผิดปรกติเหมือนกัน แต่สมัยนั้นหมอก็ไม่มีเครื่องมือเช็คละเอียดแบบนี้หรอก.. ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” สุดท้ายเมื่อครบ สิบวัน แม่ก็ได้อุ้มลูกสาวกลับบ้านอย่างอิ่มเอิบใจเป็นที่สุด...

#ประสบการ์ณในห้องคลอด 2
ลูกคนที่สอง
สำหรับลูกคนที่สอง เนื่องจากปัญหาระหว่าง ดิฉันกับพ่อของลูกช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้ดิฉันต้องเผชิญกับการคลอดลูกโดยลำพัง... ครั้งนี้ สภาพจิตใจช่างย่ำแย่.. ไม่มีแม้แต่ที่รักที่จะมาให้กำลังใจ.. แต่ดิฉันยังโชคดี มีคุณพ่อและคุณแม่ของดิฉันอยู่เคียงข้างเมื่อมีปัญหากับคู่ชีวิต.. ดิฉันต้องอุ้มท้องลูกคนที่สองมาคลอดที่โรงพยาบาลรัฐบาลที่ต่างจังหวัด ที่คุณพ่อคุณแม่ดิฉันอยู่.. ดิฉันจำได้ดี.. เพราะคุณหมอนัดผ่าท้อง เมื่อสัปดาห์ที่ 38 ก่อนกำหนดคลอดจริงเพราะ เป็นขั้นตอนในการผ่าท้องคลอดสำหรับท้องที่ไม่ใช่ท้องแรก..
ดิฉันขับรถมาโรงพยาบาลก่อนวันผ่าตัดจริง 1 วัน คืนนั้นจิตใจว้าวุ่นมาก.. สงสารตัวเอง และ สงสารลูก.. ที่อาจจะไม่ได้เจอหน้าพ่อ.. แต่ความจริงแล้วเด็กคงไม่รู้เรื่องหรอก.. เพิ่งคลอดก็คงยังไม่เข้าใจอะไร.. แต่ดิฉันเองแหละ.. มโนไปเองว่า ลูกน่าสงสาร... ตรูขับรถมาคลอดเองโว้ย.. คิดบวกเข้าไว้ คงไม่มีเยอะหรอกนะ ที่ จะขับรถมาคลอดเองแบบนี้.. แหม.. เก่งจริงๆ แม่ของใครก็ไม่รู้...
ปัญหาของโรงพยาบาล ต่างจังหวัด คือ ไม่มีหมอ วิสัญญี.. ดังนั้นหมอสูติ จึงต้องวางยาสลบ เพื่อจะได้ผ่าคลอดได้.. โอ้ว.. สลบเลยเหรอ.. อืม.. ทำไงได้ เอาไงก็เอากัน.. ว่าแล้ววันรุ่งขึ้นหมอเข้ามาในห้องผ่าตัดที่ดิฉันนอนรออยู่ หมอครอบจมูก แล้วบอกว่า เดี๋ยวคุณจะค่อยๆ หลับไปนะครับ.. ว่าแล้วแป๊ปเดียวดิฉันก็รู้สึกว่าสติมันล่องลอย และหายไป... รู้ตัวอีกที คล้ายๆ ตื่นนอน.. จับท้องตัวเอง ว้าย.. ท้องยุบ...ลูกหายไปจากท้องแล้ว.... แล้วพยาบาลก็เข็นเด็กคนนึงมาให้ดู.. ดิฉันมองเด็กทารก... จมูกก็แบนๆ หน้าก็แบนๆ แวปแรกก็ความรู้สึก คือ “ใช่ลูกเราหรือนี่.. ใช่เหรอ.. พยาบาลหยิบเด็กมาผิดรึปล่าว... ทำไมหน้าแบนแต๊ดแต๋ เช่นนี้ ไม่เห็นเหมือนเราเลย.. “
หลังจากนั้นดิฉันก็เริ่มเข้าใจ ว่า เพราะเราไม่ได้มีสติเหมือนกับการบล๊อคหลัง เราไม่ได้เห็นและ รู้ตอนที่เขาออกมาจากท้องเราเหมือนกับท้องแรก.. ความรู้สึกไม่แน่ใจ ว่าเป็นลูกเราจึงเกิดขึ้น... “เพี้ยงขอให้พยาบาล ไม่หยิบผิดเถอะ... คงไม่น่า... แต่ทำไมหน้าแบน จมูกแบนแบบนี้ ไอ้ลูกชาย”

#ประสบการ์ณในห้องคลอด (1)
ถ้าจะพูดในแง่ของประสบการ์ณ แล้ว จะบอกว่า โชคดีรึปล่าวที่ ดิฉันได้มีโอกาส 4 ครั้ง 4 คราในห้องคลอดที่สภาพเวดล้อมแตกต่างกันทั้ง 4 ครั้ง.. สามารถพูดได้เลยว่า หนังคนละ ม้วน ต่างสถานที่ ต่างโรงพยาบาล ต่างหมอ ต่างอารมณ์ ต่าง สภาพแวดล้อม.. อยากบอกใครๆ ว่า โชคดีฉิบ ได้มีประสบการณ์สุดยอดขนาดนี้.. ว่าแล้ว ตามกันมาดูว่า แต่ละครั้งเป็นอย่างไร
ลูกคนแรก... คลอดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร... ความจริงแล้วฝากท้องกับอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงในกรุงเทพ.. แต่คุณหมอคนไข้เยอะมาก.. เจอกันครั้งนึง ไม่ถึง 5 นาที ครั้งสุดท้ายก่อนกำหนคลอดประมาณ 3 สัปดาห์ คุณหมอจับๆ ท้อง แล้วบอกว่า “คุณคลอดเองไม่ได้หรอก ต้องผ่าอย่างเดียว, นัดมาได้เลย สะดวกวันไหน ที่จะผ่าท้อง” ดิฉันกลับบ้านไปด้วยความสับสน เพราะมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะคลอดธรรมชาติ.. แหม.. อ่านหนังสือมาก็เยอะ มีทั้งคลอดในน้ำ คลอดที่บ้าน คลอดแล้วยังไม่ตัดสายสะดือ... อะไรต่างๆ มากมาย.. ดิฉันต้องการอะไรที่ธรรมชาติที่สุด แต่คุณหมอตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว... “ต้องผ่าท้องหรือนี่???” ว่าแล้วก็ไปปรึกษากับสามีคนดี ก็ได้ความเห็นว่า “ไม่ดี ไม่ดี คลอดธรรมชาดิดีกว่า” “งั้นเราไปหา second opinion” ว่าแล้วเปลี่ยน โรงพยาบาล กะทันหัน ไปอีกที่นึง คุณหมอตรวจเสร็จก็บอกว่า “ผมว่าน่าจะมีโอกาส คลอดเองได้นะ ถึงแม้ เชิงกรานจะเล็กไปหน่อย แต่ก็ยังพอมีโอกาส ไม่ต้องผ่าท้อง” ลืมบอกไปว่าดิฉันสูง 154 ซม. น้ำหนักก่อนท้อง 45 กิโล นับว่าเป็นคนตัวเล็ก.. แต่ เจนเนอเรชั่นคุณยาย ก็ตัวเล็ก แต่มีลูกตั้ง 7 คน แถมคลอดกับหมอตำแยที่บ้าน ส่วนแม่ซึ่งตัวเล็กกว่าดิฉันก็มีลูก 4 คน ทั้งสองเจนเนอเรชัน ก็คลอดเองได้หมด ดิฉันก็เลยไม่เชื่อว่าจะคลอดเองไม่ได้
ว่าแล้วเราก็เปลี่ยนโรงพยาบาล เปลี่ยนหมอโดยฉับพลัน ก่อนคลอดเพียง 2 สัปดาห์กว่า.. ชีวิตก็ดำเนินต่อไป อย่าง ลุ้นทุกวัน กำหนดครบ 40 สัปดาห์วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.อย่าไปรู้เลย.. ไม่อยากบอก เพราะมันผ่านมานานแล้ว.. คุณสามีก็ทำงานหนัก กลับดึกเป็นประจำ เพราะเขาเพิ่งเปิดบริษัทใหม่ ก็เข้าใจว่างานเยอะ.. แต่ก็คิดหวั่นๆ ว่า ถ้าปวดท้องคลอดขึ้นมาแล้วสามีไม่อยู่จะทำยังไง...
ด้วยเดชะบุญอะไรก็ไม่รู้ จนถึงวัน ที่ 10 สิงหาคม ก็ยังไม่มีวี่แววที่ลูกจะอยากออกมาลืมตาบนโลก... วันนั้นสามี (ว่าที่ คุณพ่อ) กลับบ้านเร็ว.. หลังมื้ออาหารเย็นไม่นานก็เริ่มอาการ เจ็บท้องเป็นรอบๆ... โอะโอ้ว.. ลูกอยากออกมาแล้วหล่ะซิ.. ครั้งแรก คิดว่าปวดเตือน แต่ปรากฏว่า มันเริ่มถึ่ขึ้นเรื่อยๆ.. เอาหล่ะซิ.. ของจริงแล้วมั้ง.. ว่าแล้วก็เก็บข้าวของ เสื้อผ้า ไปโรงพยาบาล.. คุณหมอก็เข้ามาดูแล อย่างดี “ปากมดลูกเริ่มเปิดแล้วครับ” ยังไงรอให้เปิดมากกว่านี้นะครับ” “4เซ็นแล้วครับ” ว่าแล้วดิฉันก็ทนปวดซึ่งมันถึ่เรื่อยๆ เวลามันช่างยาวนานเหลือเกิน จนเกือบจะสว่างแล้ว หมอก็มาดูเป็นระยะ.. “ปากมดลูกเปิด 8 เซ็นแล้ว แต่เด็กยังหัวสูงอยู่เลยครับ” แล้วยังไงหล่ะคะหมอ.. ปวดจะแย่อยู่แล้ว “เดี๋ยวรออีกนิดนึง....” อูย.. ทำไงดีหล่ะเนี่ยะ ชั้นจะคลอดได้ไม๊เนี่ยะ... “เอางี้ หมอจะเจาะถุงน้ำคร่ำดูเผื่อหัวเด็กจะลงมา” ว่าแล้วหมอก็ทำอะไรกับ ดิฉันบางอย่าง.. น่าจะตัดหรือทำอะไรให้น้ำคร่ำมันออกมา แล้วคุณหมอก็หายไปอีก เวลาผ่านไปอีกเท่าไรก็ไม่รู้แต่สำหรับดิฉันประมาณ เหมือนชาตินึงเลย.. เพราะเจ็บมาก..แต่ก็ยังอดทน เพราะเห็นหน้าลูกน้อยลอยมาอยู่ตรงหน้า คุณหมอก็มาดูอีกครั้งแล้วพูดว่า “หัวเด็กยังไม่ลงเลย.. น้ำ ก็จะแห้งแล้ว มันจะแย่ทั้งลูกทั้งแม่ ผมว่า ผ่าดีกว่าครับ” และได้ยินหมอคุยกับสามี… ดิฉันก็เริ่มเบลอ.. แต่ความรู้สึก เสียใจ ผิดหวัง เพราะตั้งใจจะคลอดเอง แล้วอดทนเจ็บมาทั้งคืนแล้ว.. ตกลงตูต้องผ่าหรือนี่???
ว่าแล้วได้ยินคุณหมอบอกพยาบาลให้เตรียมผ่าคลอด ทันใดนั้นไอ้ความเจ็บปวดที่ตรูอดทนมาทั้งคืนก็เป็นอันไม่มีประโยชน์ใดๆ พอถึงตรงนี้.. ก็รู้สึกเจ็บท้องอย่างสุดซึ้ง แทบจะครวญครางออกมา...คูนน...หมอ...ว่าแล้ว สุดท้าย ก็ได้ผ่าจนได้... คุณหมอเตรียมอุปกรณ์ ฉีดยาชาเข้าสันหลัง (บล็อกหลัง) ดิฉันรู้สึกตัวทุกอย่าง ได้ยินเสียงมีดกระทบเนื้อ.. มีเพียงม่านที่กั้นระหว่าง อก กับท้องเป็นตัวกั้น ไม่ให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น.. เพียงไม่นาน ได้ยินเสียงทารกร้อง แง้วๆ .. โอ้ว.. เหมือนเสียงสวรรค์ของแม่.. ลูกแม่.... แม่ดีใจเหลือเกิน.. พยาบาลล้างตัวลูก..อุ้มมาให้ดิฉันดู ทารกน้องตัวแด้งแดง.. หลับตาอยู่.. แต่ปากร้องเสียงดังเหลือเกิน.... ในที่สุดลูกก็ออกมาแล้ว.. ลูกรักของแม่แม่จะดูแลเจ้าให้ดีที่สุด.. ดีใจที่สุดในชีวิต.. ลูกชายคนแรกของแม่.....
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?
ประเภท
ติดต่อ โรงเรียนนี้
เบอร์โทรศัพท์
เว็บไซต์
ที่อยู่
Wireless Road
Bangkok
10330