Beatrix

Beatrix

เทรดดิ้ง

22/08/2022

เงินบาทอ่อนค่า จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า การเมืองในปท.-ประชุมเฟด
เงินบาทพลิกอ่อนค่ากลับมาทดสอบแนว 35.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวรับสัญญาณคุมเข้มของสหรัฐฯ โดยเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าเงินเฟ้อจะอยู่ภายใต้การควบคุม หุ้นไทยปรับตัวลงช่วงปลายสัปดาห์ ขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นไทย จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า ตัวเลขส่งออกเดือนก.ค. การเมืองในประเทศ ประชุมเฟด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทอ่อนค่าทดสอบระดับ 35.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ท้ายสัปดาห์ โดยเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่า หลังตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่ 2/65 ของไทยขยายตัวเพียง 2.5% YoY ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาด ประกอบกับมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากสถานะขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติในช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์
นอกจากนี้สกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวอ่อนค่าลงตามค่าเงินหยวนท่ามกลางการคาดการณ์ว่า สัญญาณอ่อนแอของเศรษฐกิจจีนอาจทำให้ทางการจีนต้องออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม

ส่วนเงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นตามสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินของสหรัฐฯ หลังรายงานการประชุมเฟดและมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟด ตอกย้ำว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับลงมาอยู่ในระดับที่ควบคุม/ยอมรับได้ นอกจากนี้เงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยบวกจากตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงมากกว่าที่คาดด้วยเช่นกัน
ในวันศุกร์ที่ 19 ส.ค. 2565 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 35.19 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันพฤหัสบดีก่อนหน้า (11 ส.ค.) ขณะที่ระหว่างวันที่ 15-19 ส.ค. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องอีก 24,208 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น NET INFLOW เข้าตลาดพันธบัตรเพียง 410 ล้านบาท (แม้ซื้อสุทธิพันธบัตร 3,783 ล้านบาท แต่ก็มีตราสารหนี้ที่หมดอายุ 3,373 ล้านบาท)
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (22-26 ส.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ระดับ 35.20-36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของประธานเฟดจากงานสัมมนาประจำปีของเฟดที่ Jackson Hole สถานการณ์สหรัฐฯ-จีน และตัวเลขการส่งออกเดือนก.ค. ของไทย

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย และตัวเลข PCE/Core PCE Price Indices เดือนก.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์ของผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนส.ค. และจีดีพีไตรมาส 2/65 (ครั้งที่ 2)

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR ของธนาคารกลางจีน ผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซียและธนาคารกลางเกาหลีใต้ รวมถึงดัชนี PMI เดือนส.ค. (เบื้องต้น) ของยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ

20/08/2022

มาดามแป้ง ไล่เก็บหุ้น “เมืองไทยประกันภัย” 9 ครั้ง มูลค่า 31 ล้าน
มาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ ไล่เก็บหุ้น “เมืองไทยประกันภัย” เข้าพอร์ตรวม 9 ครั้ง มูลค่ากว่า 31 ล้านบาท จำนวน 2.6 แสนหุ้น

วันที่ 20 สิงหาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร(แบบ 59) บนเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ของบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI โดยนางนวลพรรณ ล่ำซำ(มาดามแป้ง) กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พบว่าตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 18 ส.ค.65 มาดามแป้งได้ไล่ซื้อหุ้น MTI ไปแล้วทั้งหมด 9 ครั้ง จำนวนหุ้นรวม 268,300 หุ้น คิดเป็นเงิน 31,381,055 บาท ประกอบด้วย
1.วันที่ 8 มี.ค. จำนวน 110,100 หุ้น ราคา 113.80 บาท คิดเป็นเงิน 12,529,380 บาท

2.วันที่ 9 มี.ค. จำนวน 5,900 หุ้น ราคา 116.23 บาท คิดเป็นเงิน 658,757 บาท

3.วันที่ 10 มี.ค. จำนวน 30,000 หุ้น ราคา 114.42 บาท คิดเป็นเงิน 3,432,600 บาท

4.วันที่ 8 เม.ย. จำนวน 14,500 หุ้น ราคา 112 บาท คิดเป็นเงิน 1,624,000 บาท

5.วันที่ 30 มิ.ย. จำนวน 62,500 หุ้น ราคา 120 บาท คิดเป็นเงิน 7,500,000 บาท

6.วันที่ 1 ก.ค. จำนวน 27,500 หุ้น ราคา 120.07 บาท คิดเป็นเงิน 3,301,925 บาท

7.วันที่ 4 ก.ค. จำนวน 1,500 หุ้น ราคา 120.50 บาท คิดเป็นเงิน 180,750 บาท

8.วันที่ 16 ส.ค. จำนวน 3,400 หุ้น ราคา 130.59 บาท คิดเป็นเงิน 444,006 บาท

9.วันที่ 17 ส.ค. จำนวน 12,900 หุ้น ราคา 132.53 บาท คิดเป็นเงิน 1,709,637 บาท

17/08/2022

หุ้นไทยดีดตัว 1,620-1,640 จุด แรงซื้อต่างชาติไม่แผ่ว
ฟิลลิป” ประเมินตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับขึ้นต่อในกรอบจำกัด 1,620-1,640 จุด แรงซื้อต่างชาติไม่แผ่ว 7 วันทำการมีมูลค่ารวมแล้วกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท ค่าเงินบาทแข็งยังคงหนุนฟันด์โฟลว์ หลังเศรษฐกิจฟื้นจากภาคท่องเที่ยวโตเด่น ระวังแนวต้านสำคัญ 1,640 จุด อาจมีแรงขายทำกำไร ด้านมหากาพย์โรงกลั่นจบแล้ว สรุปภาระตกที่ประชาชน

วันที่ 17 สิงหาคม 2565 บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า ดัชนี SET index คาดมีโอกาสปรับขึ้นต่อในกรอบที่จำกัดระหว่าง 1,620-1,640 จุด โดยยังคงได้แรงบวกเล็ก ๆ จากแรงซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยของต่างชาติที่ไหลเข้าต่อเนื่อง สอดรับภาพเศษฐกิจไทยที่ส่งสัญญาณฟื้นตัว ประเมินช่วงสั้นตลาดหุ้นไทยคาดมีโอกาสได้รับความน่าสนใจจากต่างชาติต่อเนื่อง หลังเครื่องมือชี้วัดเศรษฐกิจส่วนใหญ่ที่ออกมาพบการฟื้นตัวขึ้นในส่วนของภาคการท่องเที่ยวจากการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศ ที่ช่วยหนุนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นทั้งในแง่ของการเป็นแหล่งท่องเที่ยวปลายทาง
รวมถึงการเข้ามารักษาพยาบาลในไทย โดยแรงซื้อสุทธิต่างชาติช่วง 7 วันทำการมีมูลค่ารวมแล้วกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) กลับเข้ามาซื้อสุทธิใกล้ระดับ 1.5 แสนล้านบาท ขณะที่ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าเล็กน้อย 35.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐยังคงหนุนภาพฟันด์โฟลว์ต่อเนื่อง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำลงทุนในธีม 1.หุ้นกลุ่มโรงกลั่นรับข่าวปลดล็อกการเก็บภาษีกองทุนน้ำมัน เลือก TOP, SPRC 2.หุ้นกลุ่มเปิดเมืองและประเทศตามการกลับมาใช้ชีวิตปกติ เลือก CRC, CPN, HMPRO, ILM และ 3.หุ้นที่ผลประกอบการครึ่งแรกปี 65 ออกมาดี และอยู่ระหว่างปรับประมาณการขึ้น เลือก BDMS, LEO

ประเด็นมหากาพย์โรงกลั่นจบแล้ว สรุปภาระตกที่ประชาชน โดยวานนี้ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังค้ำประกันการชำระหนี้และการกู้ยืมเงินของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) วงเงินทั้งสิ้น 1.5 แสนล้านบาท โดยให้ สกนช.เป็นหน่วยงานในการหาแหล่งเงินกู้และกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ทางฝ่ายคาดเป็น Sentiment บวกต่อกลุ่มโรงกลั่นที่ได้ปลดล็อก Overhang

อย่างไรก็ดี แนวต้านสำคัญบริวณ 1,640 จุด อาจมีแรงขายทำกำไรออกมาได้เป็นระยะ ๆ หลังการปรับขึ้นต่อเนื่องมากกว่า 100 จุด ของตลาดหุ้นไทยในช่วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา
ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐส่งสัญญาณหดตัวกลับมาชัดเจนขึ้นอีกครั้ง หลังเปิดเผยตัวเลขข้อมูลใบอนุญาตก่อสร้างบ้าน และจำนวนที่อยู่อาศัยเริ่มสร้างเดือน ก.ค. 65 หดตัว 1.3% เทียบจากเดือนก่อนหน้า(m-m) และ 9.6% m-m ตามลำดับ

ทั้งนี้ส่วนหนึ่งคาดได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐที่มีต่อเนื่อง จึงส่งผลต่อต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น

ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามคืนนี้ 1.GDP ไตรมาส 2/65 กลุ่มยูโรโซน ตลาดคาดขยายตัว 4.0% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) 2.ตัวเลขค้าปลีกสหรัฐเดือน ก.ค. 65 ตลาดคาดส่งสัญญาณชะลอตัว และ 3.Fed Minutes รอบการประชุมวันที่ 26-27 ก.ค.65

16/08/2022

หุ้นไทยวันนี้ (16 ส.ค. 65) เปิดตลาด +4.66 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,630 จุด
ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (16 ส.ค. 65) ดัชนี SET Index เปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 1,629.91 จุด ปรับขึ้น +4.66 จุด หรือคิดเป็น +0.29% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 3,614 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.00.09 น.

ดัชนี SET50 ล่าสุดปรับขึ้น +1.92 จุด คิดเป็น +0.19% อยู่ที่ 988.57 จุด มูลค่าซื้อ-ขายรวม อยู่ที่ 2,051 ล้านบาท คิดเป็นราว 56.74% ของการซื้อ-ขายทั้งหมด
1. KBANK : 437.19 ล้านบาท ราคา +0.50 บาท (+0.33%)
2. PTTEP : 279.62 ล้านบาท ราคา -1.50 บาท (-0.97%)
3. DELTA : 267.13 ล้านบาท ราคา +12.00 บาท (+2.18%)
4. AOT : 193.09 ล้านบาท ราคา -0.50 บาท (-0.69%)
5. BH : 175.58 ล้านบาท ราคา +3.50 บาท (+1.86%)
6. CPH : 152.60 ล้านบาท ราคา +7.50 บาท (+18.07%)
7. CPALL : 112.71 ล้านบาท ราคา +0.25 บาท (+0.42%)
8. EA : 100.31 ล้านบาท ราคา +0.75 บาท (+0.87%)
9. SAWAD : 84.96 ล้านบาท ราคา +1.75 บาท (+3.41%)
10. BDMS : 84.68 ล้านบาท ราคา +0.50 บาท (+1.80%)

ขณะที่ตลาด mai ปรับขึ้น +2.59 จุด หรือคิดเป็น +0.42% ในทิศทางเดียวกัน อยู่ที่ระดับ 617.95 จุด มูลค่าซื้อขาย 227.27 ล้านบาท

หมายเหตุ – ข้อมูลเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน โปรดตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นทางการจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

15/08/2022

ค่าเงินบาทวันนี้ (15 ส.ค.) เปิดตลาดอ่อนค่าลงที่ 35.26 บาท บทวิเคราะห์ล่าสุด
ค่าเงินบาทวันนี้ (15 ส.ค.) เปิดตลาดอ่อนค่าลงที่ 35.26 บาท โดยกรอบแนวรับที่ 35.15 บาท แนวต้าน 35.40 บาท

วันที่ 15 สิงหาคม 2565 รายงานจากห้องค้าเงิน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้ (15 ส.ค.) เปิดตลาดอ่อนค่าลงที่ 35.26 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดสิ้นวันทำการก่อนหน้า โดยกรอบการเคลื่อนไหววันนี้คาดการณ์แนวรับที่ 35.15 บาท แนวต้านที่ 35.40 บาท
โดยปัจจัยขับเคลื่อนตลาดมาจากดัชนีราคาผู้ผลิตสหรัฐที่เพิ่มขึ้น 9.8% ต่อปี (YoY) น้อยที่สุดนับตั้งแต่ตุลาคม 2021 ขณะที่อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) อังกฤษหดตัว 0.1% เทียบไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) ในไตรมาสที่สองของปี เป็นการหดตัวครั้งแรกหลังวิกฤตโควิด-19 ในขณะที่จีดีพีญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 2.2% annualized QOQ น้อยกว่าคาดการณ์ที่ 2.6%

ส่วนปัจจัยในประทเทศ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าไทยไม่จำเป็นต้องมีการขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ (15-19 ส.ค.) ได้แก่ รายงานจีดีพีไทย กับยอดค้าปลีกจีนในวันนี้, รายงานการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลียในวันอังคาร, การประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ กับรายงานเงินเฟ้ออังกฤษ รายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธ, รายงานเงินเฟ้อยุโรป กับรายงานยอดขายบ้านมือสองสหรัฐในวันพฤหัส และรายงานเงินเฟ้อญี่ปุ่นในวันศุกร์

14/08/2022

หุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (8-11 ส.ค.) ยืนเหนือ 1,600 จุดได้ตลอดทั้งสัปดาห์ โดยปิดตลาดที่ 1,622.26 จุด

โดย “ชาญชัย พันทาธนากิจ” ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา โฟกัสหลักของ SET คือตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ออกมาค่อนข้างดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ ช่วยลดแรงกดดันที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.75% ลงมาที่ระดับ 0.5% ในการประชุมครั้งถัดไป ขณะที่ภาพดอกเบี้ยนโยบายของไทยเริ่มเห็นสัญญาณการปรับขึ้น ครั้งล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว 0.25%
เชื่อว่ารอบการประชุมที่เหลืออีก 2 ครั้งของปีนี้ น่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ทั้ง 2 รอบ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1.25% ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ และหนุนต่อทิศทางเงินทุนต่างชาติ (fund flow) ที่ไหลเข้ามา”

ขณะที่ทิศทางกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยช่วงไตรมาส 2/2565 ที่รายงานออกมาแล้ว คาดว่าไม่น่าจะสร้างดาวน์ไซด์ให้กับประมาณการกำไรทั้งปี เพราะฉะนั้นมองส่วนนี้เป็นอีกปัจจัยบวกหนึ่งช่วยหนุนตลาดขึ้นมาได้

มองไปในสัปดาห์ข้างหน้านี้ (15-19 ส.ค.) “ชาญชัย” วิเคราะห์ว่า SET Index มีโฟกัสหลักด้วยกัน 3 ประเด็น คือ 1.การรายงานกำไรไตรมาส 2/2565 ของ บจ.ไทยโค้งสุดท้าย ในวันที่ 15-16 ส.ค.

2.การรายงานตัวเลขอัตราขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไตรมาส 2/2565 ของไทย ในวันที่ 15 ส.ค. ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะกดดันตลาด และ 3.ติดตาม fed minutes ของการประชุมเฟดในรอบก่อนที่จะมีรายงานออกมา

“ภาพเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ แต่จะไม่เร่งขึ้นเหมือนสัปดาห์นี้ น่าจะประคองตัวบริเวณเหนือ 1,600 จุด ส่วนแนวต้านมองอยู่ในโซน 1,630-1,640 จุด”

13/08/2022

ราคาน้ำมันวันนี้ (13 ส.ค. 65) เช็กราคาดีเซล-แก๊สโซฮอล์ล่าสุด
ราคาน้ำมัน ประจำวันนี้ (13 ส.ค. 65) ตามข้อมูลจาก บมจ.บางจากฯ แก๊สโซฮอล์ 95 จำหน่ายที่ราคาลิตรละ 36.45 บาท ส่วนแก๊สโซฮอล์ 91 จำหน่ายที่ราคาลิตรละ 36.18 บาท

รายงานราคาดีเซลล่าสุด จำหน่ายที่ราคา 34.94 บาท ดีเซล B7 ราคา 34.94 บาท และดีเซลพรีเมี่ยม (Hi Premium Diesel S B7) อยู่ที่ 46.16 บาท ขณะที่ราคาน้ำมันพรุ่งนี้ ยังไม่มีประกาศเปลี่ยนแปลง ตามข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 06.44 น.ที่ผ่านมา
สรุปราคาน้ำมันวันนี้

เบนซิน-แก๊สโซฮอล์

• แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 36.45 บาท
• แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 36.18 บาท
• แก๊สโซฮอล์ E20 ลิตรละ 35.34 บาท
• แก๊สโซฮอล์ E85 ลิตรละ 32.34 บาท

ดีเซล

• ดีเซล B7 ลิตรละ 34.94 บาท
• ดีเซล B10 ลิตรละ 34.94 บาท
• ดีเซล B20 ลิตรละ 34.94 บาท
• ดีเซลพรีเมี่ยม ลิตรละ 46.16 บาท

หมายเหตุ : ราคาอ้างอิงจาก บมจ.บางจากฯ ควรตรวจสอบราคา ณ สถานีเติมน้ำมันอีกครั้ง ราคาข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องที่ กทม. ราคาพรุ่งนี้จะมีผลตั้งแต่เวลา 05.00 น.

12/08/2022

เจาะพอร์ตลงทุน ชัชชาติ 4.33 ล้านบาท ฟินโนมีนา ชี้ 7 กองทุนแกร่ง
“ฟินโนมีนา” วิเคราะห์พอร์ตกองทุน “ชัชชาติ” มูลค่า 4.33 ล้านบาท ชี้แข็งแกร่งสู้ภาวะตลาดผันผวนได้

วันที่ 11 สิงหาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งพบว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 42,852,349 บาท ไม่มีหนี้สิน
ทั้งนี้ พอร์ตกองทุนของนายชัชชาติ มีการซื้อทุนกองทุนรวม 4,338,623.87 บาท โดยมีรายการดังต่อไปนี้
1. กองทุนเปิด แอสเซทพลัส สมอล แอนด์ มิด แคป อิควิตี้ ชนิดเพื่อการออก ASP-SME-SSF มูลค่า 198,191.46 บาท คิดเป็นสัดส่วน 4.57% ของพอร์ตกองทุนทั้งหมด ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -3.36%

2. กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลเทคโนโลยีอิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ มูลค่า 101,756.89 บาท คิดเป็นสัดส่วน 2.35% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -45.02%

3. กองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน-สะสมมูลค่า 400.08 บาท คิดเป็นสัดส่วน 0.01% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี +0.22%

4. SCBLT1 หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 มูลค่า 2,480,345.02 บาท คิดเป็นสัดส่วน 57.17% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี +1.32%

5. RGHC โกลบอลเฮลธ์แคร์ เพื่อการเลี้ยงชีพ มูลค่า 1,550,680.70 บาท คิดเป็นสัดส่วน 35.74%

6. SCBSFF ตราสารหนี้ระยะสั้น มูลค่า 6,173.92 บาท คิดเป็นสัดส่วน 0.14% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี +0.14%

7. GOLDH โกลด์ THB เฮดจ์ มูลค่า 1,075.80 บาท คิดเป็นสัดส่วน 0.02%

ทั้งนี้ ทาง “ฟินโนมีนา” ชี้ด้วยว่า พอร์ตกองทุนของนายชัชชาติดังกล่าว เมื่อต้องเจอภาวะตลาดผันผวนก็เอาอยู่

12/08/2022

ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจไทย! ด้วยสัมมนา “ถอดรหัสลงทุน ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น” 17 ส.ค.นี้
เมื่อโลกกำลังเผชิญวิกฤตเงินเฟ้อ ธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลกส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย “เร็ว-แรง” กว่าที่คาดการณ์ และความกังวลกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก จนหลายประเทศเข้าสู่ “ภาวะตลาดหมี” การประเมิน วิเคราะห์ และคาดการณ์ล่วงหน้าด้วยความแม่นยำ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับธุรกิจทุกระดับ
“ประชาชาติธุรกิจ” และ “ประชาชาติธุรกิจออนไลน์” จึงได้จัดสัมมนา “ถอดรหัสการลงทุน ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น” เฟ้นหาโอกาสลงทุน เจาะลึกมุมมองความคิดเหล่านักธุรกิจชั้นนำ และกูรูตลาดทุนไทย

พบกับ คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษ “ทิศทางลงทุนไทย วัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้น” ตามมาด้วย คุณสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ ลงลึกเรื่องการลงทุนโดยเฉพาะกับการบรรยายพิเศษ ส่องเทรนด์ลงทุน…ฝ่าวิกฤตซ้อนวิกฤต

ไฮไลท์สำคัญของงานสัมมนายังมี เสวนาพิเศษ “หุ้นเมกะเทรนด์ …ไม่กลัวเงินเฟ้อ” จากผู้บริหาร 4 บริษัทชั้นนำของประเทศ คุณปาหนัน โตสุวรรณถาวร รองกรรมการผู้จัดการ บัญชีและการเงิน บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) คุณอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ (EA) คุณเสถียร เสถียรธรรมะ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. คาราบาวกรุ๊ป (CBG) ปิดเวทีด้วย คุณพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI)

11/08/2022

ราคาทองวันนี้ (11 ส.ค. 65) ร่วงลง 250 บาท ทองรูปพรรณ 30,450 บาท
ราคาทองวันนี้ (11 ส.ค. 2565) ร่วงลง 250 บาท เมื่อเทียบกับราคาปิดวานนี้ โดยราคาขายออกทองรูปพรรณ อยู่ที่ 30,450 บาท ตามข้อมูลล่าสุด จากเว็บไซต์ของสมาคมค้าทองคำ เมื่อเวลา 9.25 น.ที่ผ่านมา

ทองคำแท่งในประเทศ ราคารับซื้ออยู่ที่บาทละ 29,850 บาท ขายออกที่ราคาบาทละ 29,950 บาท ตามประกาศครั้งที่ 1 ของวันนี้
ด้านราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่บาทละ 29,319.44 บาท และมีราคาขายออกที่ 30,450 บาท ขณะที่ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 1,788.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สรุปราคาทองคำ วันที่ 11 ส.ค. 2565

ประกาศครั้งที่ 1

ทองแท่ง
• รับซื้อ บาทละ 29,850 บาท
• ขายออก บาทละ 29,950 บาท

ทองรูปพรรณ
• รับซื้อ บาทละ 29,319.44 บาท
• ขายออก บาทละ 30,450 บาท

11/08/2022

หุ้นไทยวันนี้ (11 ส.ค. 65) เปิดตลาด +6.71 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,624 จุด
ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (11 ส.ค. 65) ดัชนี SET Index เปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 1,623.92 จุด ปรับขึ้น +6.71 จุด หรือคิดเป็น +0.41% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 5,354 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.00.30 น.

ดัชนี SET50 ล่าสุดปรับขึ้น +3.00 จุด คิดเป็น +0.31% อยู่ที่ 986.12 จุด โดยมีมูลค่าซื้อขายรวม 3,045 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 56.88% ของ SET ทั้งหมด

วันสารทจีน 2565 ตรงกับวันไหน วิธีทำบุญ ของไหว้ ข้อห้าม ทุกเรื่องต้องรู้
ระเบิดเวลาลูกใหม่
ประกาศพายุโซนร้อนมู่หลาน ฉบับ 8 ฝนตกหนักมากใน 3 ภาค 25 จังหวัด
10 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าซื้อ-ขายโดดเด่นที่สุด
1. BH : 460.49 ล้านบาท ราคา +9.00 บาท (+4.95%)
2. BANPU : 373.00 ล้านบาท ราคา +0.10 บาท (+0.76%)
3. DELTA : 339.92 ล้านบาท ราคา +2.00 บาท (+0.37%)
4. KBANK : 306.67 ล้านบาท ราคา +0.50 บาท (+0.34%)
5. PTTEP : 207.81 ล้านบาท ราคา -0.50 บาท (-0.32%)
6. IVL : 202.89 ล้านบาท ราคา +0.25 บาท (+0.57%)
7. CPALL : 140.83 ล้านบาท ราคา -0.25 บาท (-0.41%)
8. PTTGC : 111.14 ล้านบาท ราคา -0.25 บาท (-0.53%)
9. TLI : 110.75 ล้านบาท ราคา +0.20 บาท (+1.37%)
10. BBL : 108.97 ล้านบาท ราคา +0.50 บาท (+0.37%)

ดัชนี mai ปรับขึ้น +5.89 จุด คิดเป็น +0.96% ในทิศทางเดียวกัน มาอยู่ที่ 622.53 จุด มูลค่าซื้อขาย 332.99 ล้านบาท

10/08/2022

หุ้นไทยวันนี้ (10 ส.ค. 65) ปิดตลาดภาคเช้า -8.87 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,610 จุด
การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (10 ส.ค. 65) ดัชนี SET Index ปิดตลาดภาคเช้า อยู่ที่ระดับ 1,609.93 จุด ปรับลง -8.87 จุด หรือคิดเป็น -0.55% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 30,243 ล้านบาท เคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1,606.09-1,616.53 จุด โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด ได้แก่ KCE KBANK และ BANPU

ดัชนี SET50 ปรับลง -4.54 จุด หรือคิดเป็น -0.46% อยู่ที่ 977.69 จุด มูลค่าซื้อ-ขายรวม อยู่ที่ 17,375 ล้านบาท เทียบเป็นราว 57.45% ของการซื้อ-ขายทั้งหมด

10 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าซื้อ-ขายสูงสุด
1. KCE : 1,383.60 ล้านบาท ราคา -4.25 บาท (-6.80%)
2. KBANK : 1,359.09 ล้านบาท ราคา +0.50 บาท (+0.33%)
3. BANPU : 1,136.77 ล้านบาท ราคา +0.30 บาท (+2.36%)
4. TOP : 923.52 ล้านบาท ราคา +1.25 บาท (+2.45%)
5. DELTA : 894.70 ล้านบาท ราคา -18.00 บาท (-3.35%)
6. IVL : 866.08 ล้านบาท ราคา +0.75 บาท (+1.74%)
7. PTTEP : 843.08 ล้านบาท ราคา +0.50 บาท (+0.32%)
8. SCB : 737.15 ล้านบาท ราคา -1.00 บาท (-0.94%)
9. ADVANC : 659.86 ล้านบาท ราคา -4.00 บาท (-1.95%)
10. AOT : 618.00 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

ตลาด mai ปรับลง -2.15 จุด หรือ -0.35% ในทิศทางเดียวกัน อยู่ที่ 619.39 จุด มูลค่าซื้อขาย 2,594.55 ล้านบาท

10/08/2022

หุ้นกู้ TRUE ดอกเบี้ยสูงสุด 4.90% ต่อปี จ่ายทุก 3 เดือน เปิดจองวันนี้
TRUE เปิดขายหุ้นกู้ 5 ชุด ดอกเบี้ย 3.00–4.90% ต่อปี ตั้งแต่ 10-11 และ 15 สิงหาคมนี้ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปและนักลงทุนรายใหญ่ ผ่าน 5 ธนาคารพร้อมจองซื้อผ่านแอปทรูมันนี่วอลเลต รวม17,000ล้านบาท

วันที่ 10 สิงหาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่เปิดจองซื้อหุ้นกู้ 5 ชุด ตั้งแต่วันที่ 10-11 และ 15 สิงหาคม 2565 โดยแบ่งเป็นหุ้นกู้ที่เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไปจำนวน 3 ชุด และ หุ้นกู้ที่เสนอขายนักลงทุนรายใหญ่และ/หรือสถาบัน 2 ชุด มูลค่าเสนอขายหุ้นกู้ TRUE รวมทั้งหมดไม่เกิน 17,000 ล้านบาท

วันสารทจีน 2565 ตรงกับวันไหน วิธีทำบุญ ของไหว้ ข้อห้าม ทุกเรื่องต้องรู้
ราคาน้ำมันวันนี้ (9 ส.ค. 65) เช็กราคาดีเซล-แก๊สโซฮอล์ล่าสุด
หุ้นกู้ TRUE ดอกเบี้ยสูงสุด 4.90% ต่อปี จ่ายทุก 3 เดือน เปิดจองวันนี้
หุ้นกู้จำนวน 3 ชุดที่เสนอขายนักลงทุนทั่วไป
ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00% ต่อปี
ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.25% ต่อปี
ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.90% ต่อปี
หุ้นกู้ 2 ชุดที่เสนอขายนักลงทุนรายใหญ่และ/หรือสถาบัน
ชุดที่ 4 อายุ 1 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี
ชุดที่ 5 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.25 % ต่อปี
ดอกเบี้ย
ขั้นต่ำ
กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท

อันดับเครดิตความน่าเชื่อถือ
หุ้นกู้ TRUE ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” (มุมมองเป็น “บวก”)
ช่องทางจองซื้อหุ้นกู้
ธนาคารกรุงเทพ
ธนาคารกสิกรไทย
ธนาคารไทยพาณิชย์
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
ธนาคารทหารไทยธนชาต
แอปพลิเคชั่นทรูมันนี่วอลเลต (สำหรับการจองซื้อรุ่นอายุ 3 ปี 3 เดือน)

09/08/2022

หุ้นไทยปิดตลาดวันนี้ (9 ส.ค. 65) +9.93 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,619 จุด
สรุปการซื้อขายหุ้นไทยวันนี้ (9 ส.ค. 65) ดัชนี SET Index ปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 1,618.80 จุด ปรับขึ้น +9.93 จุด หรือคิดเป็น +0.62% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 57,674 ล้านบาท เคลื่อนไหวในกรอบ 1,606.48-1,620.98 จุด โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด ได้แก่ AOT DELTA และ KBANK

ดัชนี SET50 ปรับขึ้น +3.17 จุด คิดเป็น +0.32% อยู่ที่ 982.23 จุด โดยมีมูลค่าซื้อขายรวม 33,213 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 57.59% ของ SET ทั้งหมด

ราคาน้ำมันวันนี้ (9 ส.ค. 65) เช็กราคาดีเซล-แก๊สโซฮอล์ล่าสุด
ทักษิณชนะแล้ว 3 คดี ก่อนศาลเพิกถอนเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ป 17,000 ล้าน
วันสารทจีน 2565 ตรงกับวันไหน วิธีทำบุญ ของไหว้ ข้อห้าม ทุกเรื่องต้องรู้
10 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าซื้อ-ขายสูงสุดประจำวันนี้
1. AOT : 2,790.73 ล้านบาท ราคา -0.25 บาท (-0.35%)
2. DELTA : 2,499.24 ล้านบาท ราคา +32.00 บาท (+6.32%)
3. KBANK : 2,074.46 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
4. PTTEP : 2,017.05 ล้านบาท ราคา +1.50 บาท (+0.97%)
5. SABUY : 1,709.80 ล้านบาท ราคา +0.30 บาท (+1.49%)
6. PTT : 1,708.14 ล้านบาท ราคา -0.25 บาท (-0.68%)
7. BBL : 1,688.42 ล้านบาท ราคา +0.50 บาท (+0.37%)
8. SCB : 1,596.51 ล้านบาท ราคา -0.50 บาท (-0.47%)
9. BDMS : 1,258.76 ล้านบาท ราคา +0.50 บาท (+1.89%)
10. KCE : 1,249.53 ล้านบาท ราคา -1.50 บาท (-2.34%)

ตลาด mai ปรับขึ้น +2.42 จุด หรือคิดเป็น +0.39% ในทิศทางเดียวกัน อยู่ที่ระดับ 621.54 จุด มูลค่าซื้อขาย 3,518.36 ล้านบาท

recommended by

09/08/2022

ต่างชาติพลิกกลับซื้อหุ้นไทย 7 เดือนแรก 1.13 แสนล้าน สวนทางวอลุ่มเทรดหดตัวต่อ

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยภาวะตลาดหุ้นไทยเดือน ก.ค. ต่างชาติพลิกกลับมาซื้อ 4,662 ล้านบาท หลังจาก มิ.ย.ขายสุทธิไปเกือบ 3 หมื่นล้านบาท หนุน 7 เดือนแรกนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 1.13 แสนล้านบาท สวนทางวอลุ่มเทรดหดตัวต่อ ก.ค.ติดลบ 27.5% เหลือ 61,857 ล้านบาท จับตาประชุม กนง. 10 ส.ค. ด้าน “ภากร” เชื่อเศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวเกือบ 50% จากภาคท่องเที่ยวคัมแบ็ก

วันที่ 8 สิงหาคม 2565 นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงภาพรวมภาวะตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในเดือนกรกฎาคม 2565 ว่า สิ้นเดือน ก.ค. 65 ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,576.41 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้า (MTD) เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค แต่เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 (YTD) ยังปรับตัวลดลง 4.9% ซึ่งขอเน้นย้ำว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bearish)
โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 61,857 ล้านบาท ลดลง 27.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องจากเดือน มิ.ย. 65 ที่มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 71,693 ล้านบาท ลดลง 26.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุเกิดจากปัจจัยความผันผวนที่เข้ามามาก ทำให้นักลงทุนหันไปถือครองเงินสดเพิ่ม แต่ทั้งนี้ตั้งแต่เดือน ก.ค. หลายปัจจัยที่ส่งสัญญาณมากขึ้น โดยเฉพาะการชะลอลงของเศรษฐกิจสหรัฐ สะท้อนมาตรการยาแรงอาจจะอยู่ตัวแล้ว แต่คงต้องติดตามต่อไปอีก 1-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งก็คาดหวังว่าถ้านักลงทุนเริ่มคุ้นชินกับ New Normal การลงทุนในตลาดหุ้นไทยอาจจะกลับเข้ามา

โดยใน 7 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ก.ค. 65) มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 83,958 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิในเดือน ก.ค.ที่ 4,662 ล้านบาท จากเคยขายสุทธิไปเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ในเดือน มิ.ย. 65 ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี ส่งผลให้ช่วง 7 เดือนแรกปีนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 113,730 ล้านบาท มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4

ปัจจัยหลัก ๆ ที่ก่อให้เกิดความผันผวนต่อตลาดหุ้นไทยยังคงมาจากภายนอก จากปัญหาห่วงโซ่อุปทานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลายประเทศเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูง ทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัว โดยได้ทยอยเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาเพื่อชะลอเงินเฟ้อ ซึ่งดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงจากจุดที่เคยอยู่ต่ำสุด แต่ยังไม่ได้ขึ้นไปสูงเหมือนในอดีต

โดยต้องจับตามองการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบวันที่ 10 ส.ค. 65 เพราะรอบการประชุมที่แล้วเสียงแตกมีมติ 4 : 3 ให้คงดอกเบี้ย แม้ว่าอาจไม่สามารถคาดเดาได้ แต่อยากให้ติดตามการส่งสัญญาณของ กนง.ว่าจะออกมาอย่างไรบ้าง เพราะรอบนี้มีความสำคัญมากต่อทิศทางดอกเบี้ยในครั้งต่อ ๆ ไป

“จุดเปลี่ยนต่อตลาดหุ้นในเดือน ก.ค.นั่นคือ ตัวเลขการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงไตรมาส 2/65 ที่ออกมาติดลบ ซึ่งคอนเฟิร์มชัดเจนว่าสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) เนื่องจากเศรษฐกิจมีการขยายตัวติดลบต่อเนื่อง 2 ไตรมาส แต่อย่างไรก็ดี กรณีดังกล่าวส่งผลต่อการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือน มิ.ย. 65 ก็มีการคาดการณ์เป็นจริงมากขึ้นว่าคงจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้

โดยล่าสุด FOMC ปรับขึ้นดอกเบี้ยแค่ 0.75% ต่ำกว่าที่ตลาดมองว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 1% ขณะที่เฟดส่งสัญญาณว่าสหรัฐเพิ่งเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคเท่านั้น เพราะตลาดการจ้างงานสหรัฐยังเข้มแข็งอยู่ แต่ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไป”

ขณะที่อีกหนึ่งปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยคือ ทิศทางราคาน้ำมันและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ทยอยลดลง (ผ่านจุดพีกไปแล้ว) และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าก็เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนภาคส่งออก รวมไปถึงตัวเลขภาคท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมา

“หุ้นแนะนำระยะสั้น คงเป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์ภาคท่องเที่ยวและเปิดประเทศ แต่กลุ่มที่น่าสนใจมาก ๆ ในระยะยาวคือ 1.หุ้นยั่งยืน โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันต่างประเทศสนใจหุ้นในกลุ่ม ESG และ THSI และ 2.หุ้น Well-being ที่เป็นจุดแข็งของไทยทั้งในด้านการบริการ ท่องเที่ยว และสุขภาพ” นายศรพลกล่าว

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ผลกระทบจากปัจจัยภายนอกในครั้งนี้รุนแรงมากซึ่งกระทบกับทุกประเทศ แต่ผลกระทบไม่เท่ากันทุกประเทศ โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่กระทบน้อยมาก เพราะอาหารผลิตเองในประเทศ ภาคการเงินค่อนข้างแข็งแกร่ง สะท้อนจากการระดมจากบริษัทต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้เงินไม่ค่อยเห็นปัญหา

แต่ปัญหาของไทยเกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่เคยทำได้ดีจากการพึ่งพานักท่องเที่ยวหรือจากปัจจัยภายนอก เช่น ธุรกิจโรงแรม, อาหาร เป็นต้น ยังคงได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด และยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้เต็มที่จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังไม่กลับมา แต่ภาคส่งออกสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้มาก

ทำให้โดยรวมไม่เห็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก แต่รายอุตสาหกรรมจะถูกกระทบไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นห่วงกับภาคอุตสาหกรรมบางแห่งที่โดนผลกระทบอยู่ แต่เชื่อว่าการฟื้นตัวตรงนี้จะเริ่มเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะตอนนี้ไทยอยู่ในจุดที่ค่อนข้างต่ำมาก ดังนั้นการฟื้นตัวน่าจะมีโอกาสฟื้นตัวได้อย่างน้อยเกือบ 50% ของเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับภาคท่องเที่ยวกลับมา

อยากฝากนักลงทุนว่าช่วงนี้เป็นช่วงเหตุการณ์ไม่ปกติ เพราะฉะนั้นเวลาเกิดข่าวดีและข่าวร้ายต่าง ๆ จะมีผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก เห็นได้ชัดเจนจากปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น แต่ทั้งนี้สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นมาตลอดคือตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแรงมากจากการระดมทุนที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน ๆ มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีความหลากหลายในอุตสาหกรรมเข้ามาระดมทุนต่อเนื่อง

08/08/2022

หุ้นไทยปิดตลาดวันนี้ (8 ส.ค. 65) +7.78 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,609 จุด
สรุปการซื้อขายหุ้นไทยวันนี้ (8 ส.ค. 65) ดัชนี SET Index ปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 1,608.87 จุด ปรับขึ้น +7.78 จุด หรือคิดเป็น +0.49% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 63,220 ล้านบาท เคลื่อนไหวในกรอบ 1,589.62-1,608.88 จุด โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด ได้แก่ KBANK PTT และ DELTA

ดัชนี SET50 ปรับขึ้น +9.65 จุด หรือคิดเป็น +1.00% อยู่ที่ 979.06 จุด มูลค่าซื้อ-ขายรวม อยู่ที่ 38,556 ล้านบาท เทียบเป็นราว 60.99% ของ SET ทั้งหมด
10 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าซื้อ-ขายสูงสุดประจำวันนี้
1. KBANK : 3,231.59 ล้านบาท ราคา +2.50 บาท (+1.70%)
2. PTT : 2,903.21 ล้านบาท ราคา +1.00 บาท (+2.82%)
3. DELTA : 2,670.39 ล้านบาท ราคา -34.00 บาท (-6.30%)
4. PTTEP : 2,147.78 ล้านบาท ราคา +3.00 บาท (+1.99%)
5. SCB : 2,117.66 ล้านบาท ราคา +3.50 บาท (+3.38%)
6. BDMS : 1,981.03 ล้านบาท ราคา -0.50 บาท (-1.85%)
7. BANPU : 1,933.25 ล้านบาท ราคา -0.20 บาท (-1.56%)
8. CPALL : 1,725.03 ล้านบาท ราคา +0.75 บาท (+1.25%)
9. IVL : 1,567.65 ล้านบาท ราคา -0.25 บาท (-0.58%)
10. AOT : 1,314.44 ล้านบาท ราคา +0.25 บาท (+0.35%)

ดัชนี mai ปรับขึ้น +6.23 จุด หรือ +1.02% ในทิศทางเดียวกัน มาอยู่ที่ 619.12 จุด มูลค่าซื้อขาย 3933.55 ล้านบาท

08/08/2022

วันที่ 8 สิงหาคม 2565 จับทิศทางราคาทองคำหลังหลุดกรอบ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์มาเป็นเวลาร่วม 5 สัปดาห์ หลังจากนี้ทองคำจะมีโอกาสกลับขึ้นไปแตะ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกหรือไม่ พร้อมมุมมองและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปีนี้ Prachachat Wealth เล่าเรื่องการลงทุน EP.28 พาพูดคุยกับ “ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด

กทม.ทุบนายทุนปลูกกล้วย บี้ภาษีที่ดินเต็มพิกัด 15 เท่า
ผู้ประกันตน มาตรา 40 รับเงินสมบทคืน โอนผ่านพร้อมเพย์ วันนี้
กรมอุตุฯประกาศฉบับ 5 ฝนตกหนักมาก คลื่นสูง 3 เมตร 8-9 ส.ค.
Q : ประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทองคำลงหลุด 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลงไปอยู่ประมาณ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากนี้ปัจจัยต่าง ๆ ที่มันกระทบทองคำจะยังไงบ้างคะว่ามีโอกาสทำให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวยังไงบ้าง
ทางโกลเบล็กเราก็มองว่าทองคำได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ด้วยปัจจัยที่เราไปติดตามมาก็จะเป็นพวกธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ติดตามมาตั้งแต่ต้นปีขึ้นดอกเบี้ยมาประมาณซัก 2.25% ทางกลางยุโรป (ECB) ก็เริ่มขึ้นดอกเบี้ยด้วยเช่นกันขึ้นมาจากต้นปี 0.5% จริงๆ เพิ่งเริ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แล้วก็ทำแบงก์ชาติของอังกฤษขึ้นมา 1% แล้วก็คืนนี้ (ณ 4 ส.ค.65) มีโอกาสที่จะขึ้นอีก 0.5%

ส่วน 2 ธนาคารที่ยังไม่ขึ้นจะเป็นธนาคารกลางญี่ปุ่นกับตัวธนาคารกลางของไทยที่ยังคงดอกเบี้ย ตอนนี้เราก็มองว่าทองคำได้รับรู้เกี่ยวกับประเด็นลบในการขึ้นดอกเบี้ยไปพอสมควรแล้ว เพราะว่าถ้าไปติดตามการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่ส่งผลกระทบกับราคาทองคำไปมากที่สุดตอนจังหวะที่เขาขึ้น 0.5% และ 0.75%

หลายคนกังวลว่าจะขึ้นไปถึง 1% ต่อการประชุม 1 ครั้ง แต่ตอนนี้สัญญาณมันชะลอเรียบร้อย ก็คือเรียกว่าต่อจากนี้น่าจะเป็นแค่ 0.75% หรือ 0.5% จะไม่ได้เร่งไปถึง 1% ได้มากนัก

เนื่องจากว่าเศรษฐกิจสหรัฐเขาเริ่มชะลอตัวในไตรมาส 1 ออกมาติดลบ 1.6% ไตรมาส 2 ติดลบ 0.9% ตรงนี้ก็เลยทำให้เขาไม่น่าจะเร่งขึ้น ถ้าเขาไม่เร่งขึ้นดอลลาร์ก็ไม่น่าจะแข็งค่าได้เร็วเหมือนเดิมแล้ว แล้วก็ทองก็น่าจะเรียกว่ารับรู้ข่าวด้านเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหรือการดึงสภาพคล่องออกไปพอสมควรแล้ว

ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่เราติดตามอย่างหลายท่านจะถามเข้ามาก็คือตัวสงครามยูเครนกับรัสเซีย ตัวนี้ต้องบอกว่าเขามาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1 อันนี้คือผ่านมา 3-4 เดือนแล้ว ก็เรียกว่ายังรบกันไม่จบสักที แล้วก็มีข่าวยิงกันตลอดเวลาแบบนี้ต้องบอกเลยว่าข่าวรับรู้ไปเรียบร้อยแล้วเพราะว่ามันไม่ได้รุนแรงหรือไม่ได้ขยายวงกว้างยังอยู่แค่ 2 ประเทศ ตัวนี้ก็มองไม่ได้กระทบมากนัก

ส่วนเงินเฟ้อที่หลาย ๆคนมองว่าลงตัวอยู่ในระดับสูงมาก ๆ ยังจะหนุนต่อราคาทองคำไหม เป็นประเด็นที่ 3 เราก็มองว่าตัวเงินเฟ้อจะไม่ได้สูงต่อเนื่องแบบในอดีตแล้วเพราะว่าพอเราไปรื้อส่วนประกอบของเงินเฟ้อประมาณ 30-40% มาจากราคาน้ำมัน ถ้าราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลงตัวเงินเฟ้อมันก็จะค่อย ๆ อ่อนตัวลงด้วย แต่ถามว่าจะลงแบบ Inverted-V เลยไหม เรามองว่าไม่น่าจะเป็น Inverted-V แต่ว่าจะเป็นในลักษณะค่อย ๆ ซึมลง ตัวนี้ก็กระทบอย่างไรต่อทองคำก็แปลว่าถ้าเงินเฟ้อไม่ได้เร่งตัวขึ้นเร็ว ๆ ทองคำที่ปกติในฐานะสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อมันก็จะได้รับความสนใจน้อยลงด้วย
Q : แล้วอย่างนี้ทองคำมีโอกาสที่จะเห็นขึ้นไปแตะ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกไหมคะในปีนี้
ที่เราประเมินไว้ช่วงที่เหลือของครึ่งปีหลัง เรามองว่าทองคำน่าจะเป็นลักษณะ sideway up แนวรับให้กรอบใหญ่ 1,700 -1870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยปัจจัยที่เราเล่าไปทั้งหมดเป็นปัจจัยที่เคยเป็นลบ บางปัจจัยเป็นบวกแต่รับข่าวไปหมดแล้วปัจจัยใหม่ ๆ ที่เรามองว่ามีโอกาสที่จะเข้ามากระทบ ก็คือในส่วนของตัวสงครามใหม่ ๆ อย่างตอนนี้ที่ผ่านมาพอถ้ารัสเซียยึดยูเครนได้สำเร็จ สหรัฐไม่ได้ยุ่งมากมาย จีนจริง ๆ เขาก็อยากได้นโยบายจีนเดียวเหมือนกัน เขาก็เตรียมที่จะอย่างตอนนี้ก็จะเห็นชัดเจนเลยว่าถ้าพูดถึงจีนกับฮ่องกงก่อน

ที่ก่อนหน้านี้บอกว่า 1 ประเทศ 2 ระบบ พอตอนนี้มันไม่ 1 ประเทศ 2 ระบบแล้ว คือเขาพยายามกินฮ่องกงเข้าไปเลย ทั้งเปลี่ยนผู้นำจากคุณแคร์รี แลมเป็นคนใหม่ อย่างคุณสีจิ้นผิงบอกว่าไม่มีการเดินทางออกนอกประเทศมา 8 ปีแล้ว เขาไปเยือนฮ่องกงอันนี้บ่งชี้ว่าอะไร ปกติเขาก็ไม่ได้ไป การที่ไปเขาบ่งชี้ว่าส่งสัญญาณว่าฮ่องกงไม่ใช่ประเทศอื่นแล้วเป็นส่วนหนึ่งของจีนเรียบร้อยและเขาก็ยังมองว่าไต้หวันก็เป็นส่วนหนึ่งของเขาด้วยเช่นกัน

ตอนนี้ถ้ารัสเซียจัดการยูเครนได้ แล้วสหรัฐไม่ได้ยุ่งหรือไม่ได้ทำให้มันลุกลามถ้าจีนก็มองว่ามีโอกาสที่จะเตรียมดึงไต้หวันกลับมาด้วยเช่นกัน ก็ถ้าตัวนี้ประทุรุนแรงจีนกับไต้หวันถ้าสู้กันเรามองว่ามีโอกาสเกิน 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถ้าสหรัฐเข้ามาร่วมด้วย อาจส่งเรือรบเข้ามาแล้วมันขยายวงกว้าง 1,870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็อาจจะทะลุได้

Q : ประเด็นจีนอันนี้ที่พี่ณัฐวุฒิมองมันมีโอกาส เปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน
อันนี้ก็คือถ้ามองก็มีโอกาสเกิดขึ้นพอสมควรเลย แต่ก็คือมองไปถึงช่วงปลายปีนี้ ถ้าปลายปีนี้ยังไม่เกิดมองว่าเปอร์เซ็นต์ที่เขาจะรบอาจลดลงแล้ว ทำไมถึงมองปลายปีนี้ เพราะมองว่าตอนนี้รัสเซียกับยูเครนสู้รบกันอยู่ ทุกคนพุ่งเป้าไปเพราะฉะนั้นเรียกว่าเกิดอีกสงครามหนึ่งขึ้นมาคนจะต้องแบ่งกำลังพลไป 2 ที่แล้ว อย่างนี้ถ้าเกิดรบตอนนี้จีนอาจจะมีภาษีดีกว่า ถ้ายูเครนกับรัสเซียยังรบไม่จบ แต่ถ้าปีหน้า สมมติปีหน้ายูเครนกับรัสเซียเบื่อแล้วรบกันมาเกือบปี แล้วจบถ้าจบกลายเป็นทุกคนจะพุ่งเป้ามาที่จีนกับไต้หวัน อย่างนี้การที่คนจะส่งกำลังมาช่วยไต้หวันอาจจะเยอะก็เลยให้น้ำหนักว่าถ้าผ่านปีนี้ไปน้ำหนักที่เขาจะรบกันมองว่าน้อยแล้ว

Q : สำหรับการลงทุนถ้าเป็นกลยุทธ์การลงทุนทองคำในระยะสั้นหรือระยะกลาง เราแนะนำอย่างไงบ้าง
สำหรับนักลงทุนตอนนี้เราต้องมองว่าเริ่มเปลี่ยนมุมมองหลังจากที่ราคาทองมันดีดขึ้นมาแรง ๆ กลายเป็นว่าข่าวร้ายมาเริ่มไม่กระทบแล้ว พอเริ่มมีข่าวดีชะลอการขึ้นดอกเบี้ยหรือเศรษฐกิจถดถอย คราวนี้เริ่มมีแรงซื้อหลุดกลับเข้ามา เราก็ให้แนวรับที่ 1,700 บาท ถ้าย่อลงมาใกล้ๆ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 1,700 – 1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มองเป็นจังหวะเริ่มทยอยซื้อสะสมได้

ส่วนแนวต้านก็แถว ๆ ที่น้องเบสถามเลยว่า 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถ้าแถว ๆ นั้นหรือเกินขึ้นไปค่อยหาจังหวะขาย เพราะต้องบอกว่าถ้าหลังจากนี้ราคาทองในไทยอาจจะไม่ได้เคลื่อนไหวได้แรงเหมือนก่อนหน้านี้ คำว่าแรงคือขึ้นได้แรง หรือลงจะลงไม่ค่อยแรง เพราะว่าเงินบาทอ่อน ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อันนี้อาจจะทำให้เงินบาทที่อ่อนจะเริ่มไม่อ่อน แปลว่าถ้าราคาทองขึ้น ไทยก็จะขึ้นได้น้อยกว่าราคาทองโลก แต่ในทางกลับกันถ้าทองโลกลงก็มีโอกาสที่จะลงได้มากกว่า

ต้องการให้ธุรกิจของคุณ ธุรกิจ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง บริษัท โฆษณาและการตลาด ใน Bangkok?
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?

เบอร์โทรศัพท์

เว็บไซต์

ที่อยู่


25 ถนนสาทรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร
Bangkok
10230