จำเริญใจ
เรื่องราวดีๆ สร้างกำลังใจ
สุขสันต์วันลอยกระทงค่ะ
“ไข่ปิ้งขายยังไง?”
พ่อค้าชราก็ตอบว่า.."ฟองละ 5 บาทครับ"
คุณนายถามว่า
"ถ้าฉันซื้อ 6 ฟอง 25 บาทได้ไหม"
(ที่จริงควรจะ 30 บาท)
พ่อค้าชราตอบว่า
"แล้วแต่คุณนายเถอะ
อยากซื้อเท่าไหร่จ่ายเท่าไหร่ก็ตามสะดวก
วันนี้อาจจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีของผมก็ได้
เพราะตั้งแต่เช้า ผมยังขายไข่ไม่ได้เลย"
แล้วคุณนายก็หิ้วไข่ 6 ฟอง
เดินไปขึ้นรถเก๋งที่มีเพื่อนๆ นั่งอยู่แล้ว
แล้วคุยกับเพื่อนอย่างภาคภูมิใจ
ว่าซื้อไข่ได้ในราคาถูกกว่าที่พ่อค้าขาย
หลังจากนั้นคุณนายและผองเพื่อน
ก็ไปภัตตาคารแห่งหนึ่ง
สั่งอาหารมามากมายเต็มโต๊ะ
และทานกันอย่างเพลิดเพลิน
แต่ทานยังไงก็ทานไม่หมด อาหารเหลือทุกจาน
ในที่สุดก็เรียกพนักงานมาเช็คบิล
พนักงานแจ้งว่า "ทั้งหมด 1,400 บาทครับ"
คุณนาย ยื่นเงินไปให้ 1,500 บาท
แล้วบอกว่า “ไม่ต้องทอนนะคะ...”
…..
เงินแค่นี้...
มันธรรมดามากสำหรับเจ้าของภัตตาคาร
แต่สำหรับพ่อค้าชราที่ยืนขายไข่ปิ้ง
ถ้าเขารู้...มันอาจจะเจ็บปวดมากก็ได้นะ
…..
จุดสำคัญคือว่า ...
ทำไมบางคนเวลาซื้อของจากพ่อค้าแม่ค้า
ที่ตลาดสด รถเข็น แผงลอยริมฟุตบาท
หรือชาวบ้านที่ทำมาหาเช้ากินค่ำ
จึงมักต่อรองราคา และรู้สึกพึงพอใจ
หากซื้อได้ถูกกว่าราคาที่เขาตั้งราคาขายไว้??
แต่คนเหล่านั้น เวลาไปเดินห้างสรรพสินค้า
หรือทานอาหารในร้านอาหารดีๆ
หรือช้อปปิ้งสินค้าราคาแพงๆ
กลับไม่เคยคิดที่จะต่อรองราคาแม้แต่บาทเดียว
แถมยังรู้สึกภูมิใจ รู้สึกตัวเองดูดี..
หากได้จ่ายเงินมากกว่าราคาที่เขาขาย
ผ่านการให้ทิปพนักงานบริการ
หรือบอกว่าไม่เป็นไรไม่ต้องทอน
หรือจ่ายง่ายๆ สบายๆ เพื่อดูสวย ดูหล่อ ดูรวย
ทั้งๆที่พ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้น
ตั้งราคาสินค้าที่บวกกำไร
และผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า
ตามหลักเศรษฐศาสตร์เรียบร้อย
แถมมีต้นทุนชีวิตสูงกว่า มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
พ่อค้าแม่ค้าที่หาเช้ากินค่ำ
และขายสินค้าราคาถูก/ราคามหาชน..
คุณคิดว่าแปลกไหมล่ะ ?..
สักครั้งในชีวิต..
ลองทำแบบนี้ดูไหมคะ??
เวลาที่เราไปซื้อของในตลาด
ตามร้านค้าริมฟุตบาทหรือพ่อค้าแม่ค้ารถเข็น
หรือชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำทั่วไป
ให้เต็มใจซื้อโดยไม่ต่อรองราคา
หรือดีกว่านั้น...
ยินดีจ่ายเงินมากกว่าราคาสินค้าที่เขาขาย
ด้วยใจที่เป็นกุศล ใจของผู้ให้
ใจของผู้พร้อมแบ่งปัน..
เพราะมันเป็นการทำบุญที่มีคุณค่ามาก..
เป็นการให้..
แบบที่คนรับ...ไม่รู้สึกเสียศักดิ์ศรี.......
แล้วลองสังเกตดู...
ว่าทุกครั้งที่เราได้ คิดดี ..พูดดี..ทำดี..
ใจเราจะรู้สึก เบาสบาย อบอุ่น ละมุน
และภูมิใจในตัวเองอย่างที่สุดเลยค่ะ
เพราะยิ่งให้..ยิ่งได้รับ
และการให้...ไม่สิ้นสุด
คนให้ มักมีความสุขกว่า คนรับ เสมอ❤
---------------------------------------
เมื่อถูกเข้าใจผิด
ไม่พูด คือ ความใจใหญ่
ความจริงความเท็จของเรื่องราว
กาลเวลาจะให้คำตอบที่ดีที่สุด
เมื่อถูกทำร้าย
ไม่พูด คือ ความกรุณา
ความอบอุ่นเย็นชาของความสัมพันธ์
กาลเวลาจะให้การพิสูจน์ที่ดีที่สุด
เมื่อถูกให้ร้าย
ไม่พูด คือ ความมีวุฒิภาวะ
ความดีความชั่วในอุปนิสัย
กาลเวลาจะให้ความกระจ่างที่ดีที่สุด
ไม่ว่าเรื่องอะไร อย่าได้รีบโต้แย้งอธิบาย
ไม่ว่าคำพูดใดๆ อย่าได้รีบพรั่งพรู
เราหัดพูดใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี
เรียนรู้จักนิ่งเงียบ ต้องใช้เวลานับสิบปี
ความสูงของชีวิต
ไม่อยู่ที่เห็นชัดได้มากน้อยเพียงใด
แต่อยู่ที่มองสิ่งต่างๆ ให้เบาบางได้เพียงใด
ความกว้างของจิตใจ
ไม่ได้อยู่ที่รู้จักคนมากน้อยเพียงใด
แต่อยู่ที่ยอมรับคนได้มากน้อยเพียงใด
เป็นคนดั่งภูผา
มองล้านสิ่ง รับได้ล้านสิ่ง
เป็นคนดั่งสายน้ำ
รู้ขึ้นลง และขึ้นลงเป็น
ผู้ยอมเสียเปรียบ ท้ายที่สุดจะไม่เสียเปรียบ
จะได้หวนคืน ไม่ช้าก็เร็ว
ผู้ยอมแพ้ ท้ายที่สุดไม่สูญเสียการนับถือตนเอง
ย่อมชนะใจคน
เมื่อถูกเข้าใจผิด
ไม่พูด คือความใจใหญ่
ความจริงความเท็จของเรื่องราว
กาลเวลาจะให้คำตอบที่ดีที่สุด
เมื่อถูกทำร้าย
ไม่พูด คือความกรุณา
ความอบอุ่นเย็นชาของความสัมพันธ์
กาลเวลาจะให้การพิสูจน์ที่ดีที่สุด
เมื่อถูกให้ร้าย
ไม่พูด คือความมีวุฒิภาวะ
ความดีความชั่วในอุปนิสัย
กาลเวลาจะให้ความกระจ่างที่ดีที่สุด
ไม่ว่าเรื่องอะไร อย่าได้รีบโต้แย้งอธิบาย
ไม่ว่าคำพูดใดๆ อย่าได้รีบพรั่งพรู
เราหัดพูดใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี
เรียนรู้จักนิ่งเงียบ ต้องใช้เวลานับสิบปี
ความสูงของชีวิต
ไม่อยู่ที่เห็นชัดได้มากน้อยเพียงใด
แต่อยู่ที่มองสิ่งต่างๆ ให้เบาบางได้เพียงใด
ความกว้างของจิตใจ
ไม่ได้อยู่ที่รู้จักคนมากน้อยเพียงใด
แต่อยู่ที่ยอมรับคนได้มากน้อยเพียงใด
เป็นคนดั่งภูผา
มองล้านสิ่ง รับได้ล้านสิ่ง
เป็นคนดั่งสายน้ำ
รู้ขึ้นลง และขึ้นลงเป็น
ผู้ยอมเสียเปรียบ ท้ายที่สุดจะไม่เสียเปรียบ
จะได้หวนคืน ไม่ช้าก็เร็ว
ผู้ยอมแพ้ ท้ายที่สุดไม่สูญเสียการนับถือตนเอง
ย่อมชนะใจคน
ภาระหน้าที่....ความรับผิดชอบ
ก็เหมือนสิ่งของชิ้นหนึ่ง
ที่เราแบกมันไว้ตลอดเวลา
หลายครั้งหลายหน
ที่สิ่งของชิ้นนี้มันทำให้เราเหน็ดเหนื่อย
กับการแบกมันไว้
แต่การทิ้งขว้างก็ดูจะเป็น..
เรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก
แล้วเราจะจัดการกับสิ่งที่มันหนักอึ้งนี้อย่างไร
วันไหนที่รู้สึกเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหว
ลองเก็บภาระหน้าที่และความรับผิดชอบ
ใส่กล่องใบใหญ่ ปิดฝาให้สนิท
แต่ไม่ถึงกับต้องติดสก๊อตเทปหรอกนะ
เพราะถึงอย่างไรคุณก็ต้องเปิดมันออกมาอยู่ดี
เราแค่จะปิดมันไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
แล้วแอบมันไว้ตรงไหนสักมุมนึง
ที่เราไม่สามารถมองเห็นมันได้อีก
ในช่วงระยะเวลาของการปลดปล่อย
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ
ลองสำรวจตัวเองดูหน่อยดีมั๊ย
คุณละเลยตัวเองมานานแค่ไหน
คุณใช้เวลาไปกับภาระหน้าที่
และความรับผิดชอบมานานเท่าไหร่
สุขภาพร่างกายคุณ
ใช้งานมันหนักหนาสาหัสเพียงใด
คุณละทิ้งความสุข
เพราะมัวยุ่งกับภาระหน้าที่
ที่แสนหนักอึ้งได้อย่างไร
หากวันนี้คุณจะวางทุกอย่างลงบ้าง
อย่างน้อยแค่ซักช่วงเวลานึง
มันก็เหมือนการได้เติมพลังให้กับตัวเองอีกครั้ง
พลังในตัวเองที่มีอยู่ถ้าแค่ได้แต่ใช้ไป
ไม่มีการเติมเต็มมันย่อมมีวันหมด
เมื่อถึงวันนั้นเราอาจจะไม่มีเรี่ยวแรง
ที่จะลุกขึ้นมา
และต้องละทิ้งภาระหน้าที่
ความรับผิดชอบตลอดไปก็อาจเป็นได้
งั้นถ้าวันนี้มันเหนื่อยล้า.....
ก็วางสิ่งที่อยู่บนบ่าไว้บ้างนะ
ด้วยรัก...จำเริญใจ
หลายคนฝึกอภัย
เพราะรู้ว่าการอภัย
คือกุญแจไขประตูห้องขัง
เมื่อปลดปล่อยตัวเองได้
ก็เป็นสุขเองได้
แต่เมื่อฝึกอภัย
ก็มีข้อน่าสงสัยอยู่หลายข้อ
เช่น แม้ปลงใจอภัยแล้ว
ตกลงกับตัวเองว่าจะเลิกเจ็บใจแล้ว
ตั้งใจจะไม่เอาเรื่องอีกแล้ว
แต่เจอหน้าก็ยังรู้สึกไม่ดี
ไม่อยากใกล้ ไม่อยากคบ
ไม่อยากคุย ไม่อยากมอง
ไม่รู้สึกสนิทด้วยเหมือนเดิม
จึงน่ากังขาว่าอย่างนั้น
พูดได้เต็มปากไหมว่าอภัยจริง
การกลับมาคบสนิทเหมือนเดิม
ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการอภัยจริง
แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็แนะว่า
คนพาลอย่าคบ
หรือแม้เขาไม่ได้เป็นพาล
แต่คบกันแล้วมีแต่เกิดอกุศลทั้งสองฝ่าย
อย่างนั้นก็ให้พึงหลีกเลี่ยงเสียดีกว่า
มาตรวัดการอภัยจริงอยู่ที่ ‘ใจ’
ดูที่ใจตัวเองว่า
สามารถวางทุกคนที่มีเรื่องด้วย
อย่างมี ‘ความสุขความพอใจที่จะวาง’ หรือไม่
จะมีความสุขจริง
ต้องรู้อยู่แก่ใจว่า
ไม่ได้แกล้งมีความสุข
และเมตตา
ก็คือความสุขทางใจชนิดหนึ่ง
ฉะนั้น จะวัดว่ามีเมตตาจริง
ก็ต้องรู้ว่าเมตตาโดยไม่ได้แกล้ง
กล่าวคือ ใจพร้อมจะไม่เบียดเบียน
เพราะเป็นสุขอยู่กับความสะอาดของศีล
ใจพร้อมจะไม่เอาเรื่อง
เพราะเป็นสุขอยู่กับการไม่ถือสาหาความ
วิธีมีเมตตาจริงตามแบบพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่ฝึกหนเดียวแล้วเกิดเมตตากันง่ายๆ
แต่ต้องใช้เวลากันตลอดชีวิตที่เหลือ
ค่อยๆพิจารณา ค่อยๆสำรวจเข้ามาที่ใจตน
เห็นให้ได้ว่า พยาบาทแล้วเป็นทุกข์
เห็นกันเป็นเดือนเป็นปี
จนรู้ซึ้งว่า พยาบาทเป็นโรคทางจิต
หายพยาบาท ก็คือหายจากโรคทางจิต
เมื่อโรคทางจิตหายไป
ความปั่นป่วน
ความป่วยไข้ตะครั่นตะครอทางวิญญาณก็หายตาม
เกิดความสุข ความโล่ง ความเบาขึ้นมาแทน
เมื่อสุขแล้ว ก็จดจ่ออยู่กับความสุขนั้น
เป็นร้อยเป็นพันครั้ง จนถึงจุดอิ่มตัว
รู้สึกถึงความกว้างขวางไม่มีประมาณของความสุข
เกิดสมาธิ เกิดสุขล้ำ
อันได้แต่การเลิกผูกพยาบาท
ยิ่งสุขชนิดนี้เกิดบ่อยขึ้นเท่าไร
ใจก็ยิ่งเมตตาเป็นปกติขึ้นเท่านั้น
นั่นแหละ! แหล่งที่มา
ของความพร้อมอภัยจริง
สร้างเขตปลอดภัยปลอดเวรขึ้นจริงในตนแล้ว!
ขอบคุณเจ้าของภาพ
อย่าเสียเวลาวิ่งตามม้าเพียงตัวเดียว
เอาเวลาที่วิ่งตามม้าไปปลูกหญ้าดีกว่า!
วันที่หญ้าเขียวขจีเต็มท้องทุ่ง
ย่อมมีม้าฝูงใหญ่ยอมเดินเข้ามา
ให้เลือกเอาตามอำเภอใจ
อย่าเสียเวลาวิ่งตามใครคนใดคนหนึ่ง
ยอมโดดเดี่ยวและอยู่ลำพังสักช่วง
จากนั้นจงฝึกฝน..
ให้ตนเองมีความสามารถ
ในแขนงใดแขนงหนึ่ง
ฝึกจนเกิดความเชี่ยวชาญและช่ำชอง
ณ เวลานั้นจะมีผู้คนจำนวนมากวิ่งเข้าหา
ทั้งพร้อมจะเป็นเพื่อน
และพร้อมที่จะเดินเคียงข้างในชีวิต
ฉะนั้น วิ่งตาม มิสู้ทำตนเองให้มีคุณค่า
ดึงคนเข้าหาเพราะมีดี ดีกว่า
เสมือนดอกไม้ เบ่งบานเมื่อไหร่
จะกลัวไปใยว่าผีเสื้อไม่บินมาตอม
“พระสุภาเถรีภิกษุณี พระเถรีผู้แกร่งกล้า”
เป็นเรื่องของ "อิสตรีผู้ครองเพศพรหมจรรย์มุ่งหวังความหลุดพ้น กับพาลชนผู้ลุ่มหลงกามารมณ์หมายมุ่งจะข่มขืน" ชายใดผู้มีจิตสำนึกได้อ่านเรื่องนี้แล้ว คงจะไม่คิดทำร้ายสตรีเพศทั้งทางกาย และทางใจให้ต้องตรองตรมเป็นแน่
แสงแดดทางทิศตะวันตกสาดส่องอาบทั่วเชตวนาราม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาผู้ใคร่สิกขาบททำข้อวัตรปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจที่ใสบริสุทธิ์ มองดูสงบเงียบไร้เสียงพูดคุยอันสนุกสนานอันเป็นการคะนอง พุทธสาวกผู้ใคร่ธรรมอยู่รู้ไม่สร่าง ตั้งสติทำข้อวัตรปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมซึ่งเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ ดุจราชสีห์ มีความแวดระวังในการยืนเดินนั่งนอน ตะวันคล้อยใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว แต่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาในวัดเชตวัน ที่มีจิตยังชุ่มไปด้วยกิเลสยังคงเร่งความเพียร ดั่งทินกรจะไม่มีวันลาลับขอบฟ้าเหมือนว่าทิวาการจะไม่มีวันสิ้นสุด
๏ บรรลุอนาคามีผลภายใน ๓ วันหลังออกบวช
ภิกษุณีนางหนึ่งอาศัยป่าด้านทิศใต้เป็นที่หลีกเร้นในวัดเชตวัน นางพรางคิดว่าก่อนบวชเราศรัทธาในพระศาสดา เห็นพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมาอยู่แค่เอื้อม สละทรัพย์สมบัติจากตระกูลพราหมณ์ที่มหาศาลผู้เป็นบิดา สละจากกุลธิดาผู้พรั่งพร้อมมาขอทานประทังชีวิต สละความงามที่ไม่มีใครปานมาเป็นภิกษุณี ผู้อยู่แต่เดียวดาย แม้ผิวพรรณแต่ก่อนเป็นดั่งทอง แต่เดี๋ยวนี้กลับหมองคล้ำไป "สุภา" สุภาชื่อเราที่ใครๆ นิยมชมชื่นว่างามยิ่งในราชคฤห์ อีกไม่กี่วันเขาก็คงลืมหาย นางพิจารณาหัวข้อธรรมบางประการ ประคองจิต และสติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พรางรำลึกถึงธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเมื่อสายวานนี้ เพื่อเทียบกับใจและความเพียรที่กำลังเพ่งพิศอยู่ พระธรรมเทศนาของพระศาสดานั้นช่างโดนใจของนางเสียเหลือเกิน ในขณะที่นางกำลังต่อสู้กับกิเลสอยู่นั้น นางย้อนรำลึกถึงพระธรรมเทศนาประดุจธาราที่หลั่งไหลมาจากภูเขาสูงซัดสาดเอาสิ่งสกปรกทั้งหลายมาด้วย
พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เมฆคือฟ้ามี ๔ อย่างคือ
๑. ฟ้าคำรามแต่ฝนไม่ตก
๒. ฝนตกแต่ฟ้าไม่คำราม
๓. ฟ้าไม่คำราม ทั้งฝนก็ไม่ตก
๔. ฟ้าคำรามด้วยทั้งฝนก็พลอยตกด้วย
ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลเปรียบด้วยเมฆคือฟ้า ๔ จำพวกนี้จึงมีปรากฏอยู่ในโลกนี้คือ
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบพูดแต่ไม่ชอบทำ เป็นคนดุจฟ้าคำรามแต่ฝนไม่ตก
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบทำแต่ไม่ชอบพูด เป็นคนประดุจฝนตกแต่ฟ้าก็ไม่คำราม
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนไม่ชอบพูดด้วยทั้งไม่ชอบทำ เป็นคนประดุจฟ้าไม่คำรามและทั้งฝนก็ไม่ตก
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบพูดด้วยและชอบทำด้วย เป็นคนประดุจฟ้าคำรามด้วยและฝนก็พลอยตกลงไปด้วย
ภิกษุทั้งหลายบุคคลเปรียบด้วยเมฆคือฟ้า ๔ จำพวกนี้ จึงมีปรากฏอยู่ในโลกนี้ บุคคล ๔ จำพวกที่พระศาสดาตรัสไว้ เราจะถูกจัดไว้ในจำพวกไหนในเวลานี้หนอ นางพรางคิดแล้ว น้ำตานางก็เอ่อออกจากเบ้าตา นางพรางคิดถึงพระดำรัสของพระศาสดาเพื่อย้ำเตือนจิตใจ เพื่อต่อสู้กับกิเลสฝ่ายต่ำที่ย่ำยีหัวใจมาช้านาน
นางสูดลมหายใจลึกๆ แล้วอุทานเบาๆ ว่า โอ ! ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นอย่างนี้เอง เราจะอยู่ในชาติชั้นวรรณะเพศภาวะใดๆ ก็ตาม มันก็คงตามรังควานจิตใจของเราอยู่เสมอ ตราบใดที่มีอวิชชาเป็นฝ้าบังปัญญา ตราบนั้นมนุษย์ก็ยังคงเป็นผู้โง่เขลา ทั้งๆ ที่หลงระเริงว่าตัวเองฉลาด
จิตใจของนางโปร่งโล่งเบาสบาย คลายทุกข์คลายกังวล ความศรัทธาของนางเกิดขึ้นต่อพระศาสดาเมื่อคราวพระองค์เสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์ ก่อนบวชเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาเกิดศรัทธาอย่างยิ่ง เกิดความสังเวชในสังสารวัฏ เห็นโทษในกามทั้งหลาย และกำหนดเอาเนกขัมมะคือการบวชเป็นทางชีวิต บวชในสำนักของนางภิกษุณี นามว่า "ปชาบดีโคตมี"
สุภาภิกษุณีตั้งใจบำเพ็ญสมถะวิปัสสนา โดยยึดเอาหัวข้อธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงมาพิจารณา โดยกาลไม่นานนักเพียง ๓ วัน แห่งการอุปสมบทเป็นภิกษุณี นางก็สำเร็จอนาคามิผลเป็นพระอนาคามีในพระพุทธศาสนา บัดนี้ใจของนางมีคุณธรรมเป็นเครื่องรองรับแล้ว กิเลสที่เคยก่อกวนใจให้หักเห บัดนี้ไม่มีแล้ว นางจึงเหมือนวัวตัวแรกพร้อมที่จะออกจากคอกคือวัฏฏะที่รุมล้อมจิตใจมานานแสนนาน ถึงนางยังไม่บรรลุอรหันต์ แต่ทุกข์นั้นก็มีน้อยเต็มที
๏ พระสุภาเถรี ประสบกับนักเลงเจ้าชู้ ยืนดักหมายจะขืนใจ
สุภาภิกษุณีอยู่วัดเชตวันได้ ๑๐ พรรษา เป็นพระเถรีแล้ว แต่ความงามและเรือนร่างยังเป็นที่ติดตาตรึงใจสำหรับบุรุษผู้ไม่เบื่อในกามทั้งหลาย พระสุภาเถรีเป็นผู้มีรูปโฉมงดงาม ถึงเป็นภิกษุณีก็เป็นที่ปองหมายของบุรุษวัยแรกหนุ่มและวัยแก่ในเมืองราชคฤห์
อยู่มาวันหนึ่งพระเถรีปรารถนาจะหลีกเร้นหาที่สงบสงัด เนื่องจากมีที่ไม่ไกลจากวัดเชตวันมากนักเป็นสวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจ สวนมะม่วงนั้นน่าปลื้มใจเป็นที่สบายน่ารื่นรมย์ใจอย่างยิ่งเพราะพรั่งพร้อมด้วยภูมิภาค และพรั่งพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ ขณะที่นางกำลังเดินไปพักกลางวันที่สวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจ ชายนักเลงหญิงคนหนึ่งเป็นชาวกรุงราชคฤห์ เป็นหนุ่มแรกรุ่น เป็นลูกชายของนายช่างทองผู้มีสมบัติมากผู้หนึ่ง เป็นคนหนุ่มสะสวย เป็นผู้ชอบเที่ยวมัวเมา มองเห็นพระเถรีเดินทางสวนมาก็เกิดจิตปฏิพัทธ์จึงยืนขวางทางกั้นไว้ด้วยหมายจะขืนใจ
พระเถรีจึงกล่าวขึ้นว่า "ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรของนายช่างทอง ข้าพเจ้าทำผิดอะไรต่อท่าน ท่านจึงมายืนกั้นขวางทางข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าเป็นภิกษุณี เป็นผู้หญิง การปฏิบัติต่อสตรีอย่างนี้มันไม่สมควร บุรุษไม่ควรปฏิบัติต่อสตรีด้วยอาการเยี่ยงนี้ ดูก่อนท่านพ่อหนุ่ม ผู้ชายไม่ควรถูกต้องหญิงที่บวชแล้วเลย และหญิงก็ไม่ควรถูกต้องชายที่บวชแล้ว หญิงที่บวชแล้วและชายที่บวชแล้วก็ไม่ควรถูกต้องซึ่งกันและกัน จะป่วยกล่าวไปใยถึงการถูกต้องผู้ชายเล่า
แม้โดยจารีตของโลก ชายก็ไม่ควรถูกต้องหญิงนักบวชทั้งหลาย ส่วนหญิงนักบวชไม่สมควรถูกต้องแม้แต่สัตว์เดรัจฉานตัวผู้ หญิงนักบวชนั้นไม่สมควรถูกต้องชาย แม้ผู้มีของภายนอกด้วยของภายนอกโดยอำนาจราคะเลยทีเดียว สิกขาเหล่าใดอันพระสุคตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงบัญญัติ เฉพาะภิกษุณีทั้งหลายไว้ในศาสนาที่หนักดังฉับหินคือ ที่ควรเคารพ เหตุไรท่านจึงมายืนกั้นขวางทางเราผู้กำลังจะเดินไป ผู้มีส่วนบริสุทธิ์ด้วยสิกขาเหล่านั้นไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ส่วนท่านสิเป็นผู้มีจิตขุ่นมัวสกปรกไม่สะอาด มีธุลีคือราคะเป็นต้นทับถมจิตใจ
ท่านพ่อหนุ่ม เพราะเหตุไรท่านจึงมายืนขวางทางเราเพื่อจะปลุกปล้ำ เราเป็นหญิง เราเป็นผู้มีจิตไม่ขุ่นมัวแล้วปราศจากราคะ ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน มีจิตหลุดพ้นแล้วจากเบญจขันธ์ทั้งมวล ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง พระเถรีกล่าวขึ้นดังๆ เพื่อกลบความเงียบสงัดในไพรสณฑ์ ท่านเคยเห็นพระศาสดาและฟังธรรมของพระองค์บ้างหรือ พระองค์เคยตรัสว่า อันร่างกายนี้สะสมไว้แต่ของสกปรกโสโครก มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้ง ๙ มีช่องหู มีช่องจมูก น่ารังเกียจ เป็นที่อาศัยแห่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด เป็นรังแห่งเชื้อโรค เป็นที่เก็บมูตรและกรีษ อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆ เข้าไว้ แล้วซึมออกมาเสมอๆ เจ้าของกายจึงต้องขัดถูวันละหลายๆ ครั้ง
เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือ ๒ วัน กลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่น่ารังเกียจเป็นของน่าขยะแขยง ร่างกายนี้เป็นเหมือนเรือนซึ่งสร้างด้วยโครงกระดูก มีหนังและเลือดเป็นเครื่องฉาบทา ที่มองเห็นเปล่งปลั่งผุดผาดนั้นเป็นเพียงผิวหนังเท่านั้น เหมือนมองเห็นความงามแห่งหีบศพอันวิจิตรตระการตา ผู้ไม่รู้ก็ติดในหีบศพนั้น แต่ผู้รู้เมื่อทราบว่าเป็นหีบศพ แม้ภายนอกจะวิจิตรตระการตาเพียงไร ก็หาพอใจยินดีไม่เพราะทราบชัดว่าภายในแห่งหีบศพอันสวยงามนั้นมีสิ่งปฏิกูลพึงรังเกียจ"
เมื่อพระเถรีกล่าวจบลง บุรุษหนุ่มผู้บ้ากามนั้นก็หาคลายความกำหนัดลงแต่อย่างใดไม่ แววตาแห่งกามและกริยาที่กำหนัดนั้นแสดงออกมาทางไตรทวาร เมื่อพระเถรีสังเกตเห็นกริยาดังนั้น จึงกล่าวขึ้นเพื่อตอกย้ำว่า
ท่านหนุ่ม ผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง การที่ท่านประสงค์จะข่มขืนปลุกปล้ำหญิงที่อ้อนแอ้นไร้พละกำลังในการต่อสู้เช่นเรานี้ เป็นสิ่งที่น่าละอายอย่างยิ่ง อารามเชตวันที่พระศาสดาทรงประทับอยู่ก็ไม่ไกลจากที่แห่งนี้นัก การที่ท่านปรารถนาจะทำกรรมอันน่าบัดสี พระองค์ต้องทรงทราบอย่างแน่นอน เราเป็นภิกษุณี เป็นบุตรีของพระศาสดา ไฉนพระองค์จะไม่ทรงทราบกรรมอันจะนำท่านไปสู่นรกเช่นนั้น
ท่านเอย ! ไม่มีความสุขใดในโลกเสมอด้วยความสงบ ความสุขชนิดนี้หาได้ด้วยตัวของเราเอง ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย มนุษย์ได้สรรสร้างสิ่งต่างๆ ไว้เพื่อตัวเองวิ่งตาม แต่ก็ตามไปไม่ทัน การแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลลื่นไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้นเป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อยเหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาตัวเล็กๆ เพียงตัวเดียว
มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติจนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ้ว เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน เรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกหามเอาไว้ เมื่อมีเกียรติมากขึ้น ภาระที่จะต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้ว ในหมู่ชนที่เพ่งมองความงามแต่ด้านภายนอกนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวโลกีย์ของโลกอย่างหลับหูหลับตา เขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อมๆ กันนั้น เขาได้แบกก้อนหิน วิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตชนิดที่ไม่รู้จักปลงวาง"
เมื่อสุภาภิกษุณีกล่าวจบลงท่ามกลางความเงียบสงัดในป่าใหญ่ บุรุษผู้มีความใคร่ได้นางไว้เชยชมหยุดนิ่งท่ามกลางทางแคบๆ ที่ไร้ผู้คนสัญจรไปมา ท่านเอยจะมีอะไรหละที่บุรุษต้องการจากสตรีนอกจากได้นางมาเป็นของตน และเชยชมสมใจที่กระหายอยากได้อยากสัมผัส
บุรุษหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทองจึงกล่าวขึ้นว่า "แม่นาง ท่านยังเป็นสาวทั้งรูปร่างก็สวยไม่สร่าง การบวชเป็นภิกษุณีไม่เห็นมันจะดีตรงไหน ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร ท่านจงเปลื้องจีวรทิ้งเสียเถิดนะ อันผ้าย้อมด้วยน้ำฝาดสีหมองคล้ำไม่เหมาะกับแม่นางผู้สง่างาม แม่นางต้นไม้ทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยเกสรดอกไม้ดูแล้วน่ารื่นรมย์โชยกลิ่นดอกบานสะพรั่งหอมไปทั่วป่า ฤดูนี้เริ่มฤดูฝนเป็นฤดูมีความสุข ถ้ามีการสัมผัสกัน สัมผัสนั้นคงเป็นที่สบาย ความเกิด ความแก่ ความเจ็บและความตาย เราก็คงลืมไปสิ้น มาสิแม่นางมาร่วมรักกัน มาอภิรมย์กัน อย่าหุนหันและขัดขืน
ถ้าเราทั้ง ๒ ได้ร่วมรักกันในป่านี้ คงไม่มีอะไรน่าปรารถนายิ่งไปกว่า แม่นางต้นไม้ทั้งหลายยอดออกดอกบานสะพรั่งแล้ว ต้องลมไหวระริกดังจะมีเสียงคร่ำครวญ แม่นางเข้ามาอยู่ในป่าเพียงคนเดียวไม่เห็นจะมีอะไรน่ายินดีเลย บุรุษหนุ่มพูดจบพร้อมขยับเข้าไปใกล้ๆ เหมือนได้ใจในวาทะตนที่คมคายพร้อมกับกระหยิ่มภายในใจว่า ตนนั้นสามารถครองใจสตรีเพศได้โดยไม่ยากเย็น แม่นาง เขากล่าวขึ้นอีก ป่าใหญ่หมู่สัตว์ร้ายๆ อาศัยอยู่ เขาพูดขึ้นพร้อมกับแสดงท่าทางแห่งผู้เจนจัด ป่านี้คลาคล่ำไปด้วยช้างพลายตกมันและช้างพัง สถานที่แห่งนี้ไม่มีผู้คน น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก กลุ่มเนื้อร้ายมีราชสีห์และเสือเป็นต้น มักมาซุ่มทำร้ายและกินคนในที่นั้นๆ แม่นางไม่มีเพื่อนยังปรารถนาจะอยู่ป่าต่อไปอีกหรือ"
เมื่อเขาพูดจบลงพร้อมกับแสดงท่าทีว่านางภิกษุณีจนในปัญหา และเห็นสิ่งที่ตนบรรยายมาเป็นสิ่งที่น่ายินดี น่าอภิรมย์ ธรรมชาติของผู้ชายมักเข้าข้างตัวเองเสมอ ผู้ชายโดยทั่วๆ ไปมักเป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นสตรีมองก็ทึกทักเอาว่าเขารักตัว ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
สุภาภิกษุณีครุ่นคิดด้วยความมีสติและพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นางคิดอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรนางจะรอดพ้นจากการปลุกปล้ำข่มขืน นางกลัว กลัวเหลือเกิน กลัวความเศร้าหมองแห่งเพศพรหมจรรย์ แต่ที่สำคัญนางไม่อยากเป็นต้นเหตุให้บุรุษผู้นี้จมลงสู่ท้องอเวจีไม่มีวันเห็นแสงสว่างแห่งพระธรรม ความนิ่งความอ่อนโยนทำให้บุรุษผู้ร่านราคะนั้นตายใจและผ่อนคลายลงไปได้บ้าง บุรุษผู้บ้ากามนั้นก็พลันหันมามองนางเหมือนตุ๊กตาที่เด็กนิยมชมเล่น แม่นางผู้มีความงามสุดที่จะเปรียบเปรย บุรุษหนุ่มเอ่ยขึ้นเพื่อให้นางเกิดกำหนัดและโอนตาม แม่นางช่างนิ่งงามเหมือนตุ๊กตาซึ่งนายช่างทองที่ฝีมือวิจิตรบรรจงสร้างขึ้น รูปร่างและจิตใจเป็นประดุจเทพอักษร ไม่มีหญิงใดงามเท่า ถ้าแม่นางทำตามใจของข้าพเจ้า แม่นางจะได้รับความสุข โจรล่าสวาทหนุ่มพูดจบลงแล้วยืนมองใบหน้าอันงามของสุภาภิกษุณี
นางกล่าวขึ้นอีกว่า "ท่านพ่อหนุ่ม การครองเรือนเป็นเรื่องยาก เรือนที่ครองไม่ดีย่อมก่อทุกข์ให้มากหลาย การอยู่ร่วมกับคนพาลเป็นความทุกข์อย่างเดียว เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็ก หรือโซ่ตรวนใดๆ ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำคือบุตร ภรรยา สามี ทรัพย์สมบัตินี้แล รึงรัดมัดผูกสัตว์ทั้งหลายให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่หย่อนๆ แต่แก้ได้ยาก คือบุตร ภรรยา สามี และทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ เหล่านี้เป็นเหยื่อของโลก
เมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น เขาจะพ้นจากโลกไม่ได้เลย ไม่มีรูปใดที่รัดรึงตรึงใจของบุรุษได้เท่ากับรูปแห่งสตรี และไม่มีรูปใดที่จะรัดรึงตรึงใจของสตรีได้มากเท่ากับรูปแห่งบุรุษ แนะ ท่านบุตรแห่งนายช่างทอง เสียงเบาๆ แห่งนางภิกษุณีผู้กำลังกล่อมเกลาบุรุษให้คลายความกำหนัดเอื้อนเอ่ยขึ้น นางพูดพร้อมพนมมือขึ้นเหนือเศียรเกล้าเพื่อระลึกถึงพระศาสดา มือน้อยๆ ที่เรียวงามของนางบรรจงวันทาและอัญชลีทำให้บุรุษอลัชชีผู้ไม่ละอายเกรงกลัวไปได้บ้าง
ท่านหนุ่มเอย บุคคลผู้ยังตัดอาลัยในสตรีไม่ได้ ย่อมต้องเวียนเกิดเวียนตายเวียนทุกข์อยู่ร่ำไป แม้สตรีก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังตัดอาลัยในบุรุษไม่ได้ก็ย่อมประสบทุกข์อยู่ร่ำไป กิเลส กรรม และวิบากมีอำนาจควบคุมอยู่โดยทั่ว ไม่เลือกว่าเพศและภาวะใด แน่ะ ! ท่านหนุ่ม มนุษย์ผู้หลงใหลอยู่ในโลกิยารมณ์ ผู้เพลินอยู่ในความบันเทิงสุขอันสืบเนื่องมาจากความมึนเมาในกาม ทรัพย์ สมบัติ ชาติตระกูล ความหรูหราฟุ่มเฟือย ยศศักดิ์ และเกียรติอันจอมปลอมในสังคม ที่อยู่อาศัยอันสวยงาม อาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ต้องใส่ อำนาจและความทะนงตน ทั้งหมดนี้ทำให้บุคคลมีนัยตาฝ้าฟางมองไม่เห็นความงามแห่งพระสัทธรรมและความจริงแห่งชีวิต
นางพูดจบแล้วเงยหน้าขึ้นดูบุรุษนั้นหน่อยหนึ่ง ความดีและคนดีประดุจน้ำที่สะอาด สุภาภิกษุณี เธอเป็นหญิงที่ดี สะอาดทั้งกาย วาจา ใจ น้ำที่สะอาดย่อมเป็นที่ยินดีของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายฉันใด กาย วาจา ใจที่สะอาดของนางย่อมทำให้นางปลอดภัยได้ฉันนั้น ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว บุคคลย่อมขาดอำนาจเพราะปราศจากการประพฤติธรรม แต่ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่พินาศไปเพราะเหตุใดๆ
ชายหนุ่มยืนนิ่งฟังนางภิกษุณีสาธยายแบบทัพพีไม่รู้รสแกง "ท่านเอยกิเลสนั้นมีกลมายาเล่ห์เหลี่ยมเสมอ บางทีทำเป็นรักแต่กลับชัง บางทีทำเป็นชังแต่กลับรัก บางทีต่อหน้าทำเป็นดีแต่ลับหลังกลับเชือดเฉือน กิเลสมักมีเล่ห์เหลี่ยมและกลมายาเสมอ"
เขาจึงพูดขึ้นว่า "แม่นางผู้มีดวงตาโศกดังกินรีเอย เชิญท่านมาอยู่ครองเรือนกับข้าพเจ้าเถิด แม่นางจงละการอยู่โดดเดี่ยวเพียงคนเดียว การนอนคนเดียว ละทุกข์ในเพศพรหมจรรย์เสีย มาสิ มาเสพสุขด้วยกามสมบัติ มาอยู่ครองเรือนกัน คนทั้งหลายในโลกนี้ เขาก็อยู่ครองเรือนกัน ท่านจะอยู่เดียวดายไปทำไม แม่นางจะได้อยู่ในปราสาทอันปราศจากลมพาล เป็นเสมือนวิมาน มีสาวใช้คอยทำการรับใช้ จะได้นุ่งห่มผ้าแคว้นกาสีเนื้อละเอียด แล้วประดับตบแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ และเครื่องลูบไล้ผิวพรรณ แม่นางเอย ! ดอกอุบลที่ผลุบโผล่ชูพ้นน้ำ ตั้งอยู่บานแล้วไม่มีหมู่มนุษย์ชมเชยแล้วฉันใด แม่นางก็เป็นสาวพรหมจารีฉันนั้น เมื่อส่วนแห่งเรือนร่างของแม่นางยังไม่มีใครชมเชยก็จะชราล่วงโรยไปเสียเปล่าๆ"
ไม่ว่านางสุภาภิกษุณีจะอธิบายอย่างไร ท่านหนุ่มก็แก้ปมได้อย่างนั้น ธรรมะเป็นสิ่งที่ทวนกระแสโลก แต่กิเลสมักเลื่อนไหลลงสู่ที่ต่ำและวิ่งตามกระแสโลก ผู้ประพฤติธรรมกับผู้ประพฤติกิเลสจึงเดินสวนทางกันไม่มีวันที่จะจับมารวมกันได้ นางภิกษุณียินดีพอใจที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อธรรม แต่ในทางตรงกันข้าม ชายหนุ่มกับเป็นผู้มีความหลงยินดีพอใจที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อกิเลส นางภิกษุณีไม่รู้จะทำประการใด จะไปก็ไม่ได้ นางอยากจะหนี หนีไปให้พ้น หนีให้พ้นจากคนใจบาป แต่นางก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
นางจึงเอ่ยขึ้นว่า "ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง กรรมอันใดที่ทำไปแล้วต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง ต้องมีหน้าชุ่มด้วยน้ำตาเสวยผลแห่งกรรมนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่าการกระทำเช่นนั้นไม่ดี ควรละเว้นเสีย ท่านพ่อหนุ่ม ท่านคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เคยเป็นกษัตริย์ สละราชสมบัติออกบวชเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระองค์ยังอยู่ในวัยหนุ่ม มีเกศายังดำสนิท ถูกแวดล้อมด้วยสตรีล้วนแต่สะคราญตา เป็นที่น่าปรารถนาของบุรุษผู้ตัดอาลัยในบ่วงกามมิได้
ร่างกายนี้ไม่นานนักก็จะนอนทับถมแผ่นดิน ร่างกายนี้เมื่อปราศจากวิญญาณครองแล้วก็ถูกทอดทิ้งเหมือนท่อนไม้ที่ไร้ค่า อันเขาทิ้งเสียแล้วโดยไม่ใยดี แน่ะ ! ท่านผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง ในร่างกายนี้เต็มไปด้วยซากศพ อันจะถูกทอดทิ้งไว้ในป่าช้ารังแต่จะรกป่าช้า ร่างกายนี้มีการแตกสลายไปเป็นปกติ ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ท่านพ่อหนุ่ม ข้าพเจ้าขอถามท่านจริงๆ ท่านเห็นสิ่งใดในตัวข้าพเจ้าแล้วยินดีพอใจ ขอท่านจงบอกแก่ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้เถิด"
เมื่อนางภิกษุณีมีวาทีที่เปิดทาง ดูเหมือนหนุ่มเจ้าชู้จะได้ใจ เขารีบตอบทันทีว่า
"นัยน์ตาของแม่นางงาม นัยน์ตาของแม่นางงามที่สุด ความรักของข้าพเจ้าเกิดขึ้นอย่างแรงกล้าเพราะเห็นดวงตาทั้งคู่ของแม่นาง กามคุณย่อมกำเริบแก่ข้าพเจ้าโดยยิ่งเพราะเห็นหน้าและนัยน์ตาของแม่นาง ดวงตาของแม่นางเหมือนปลายดอกอุบลแดง ปราศจากมลทิน งามดั่งแผ่นทองคำ แน่ะ ! แม่นางผู้เป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้า ผู้มีนัยน์ตาบริสุทธิ์ทั้งยาว ทั้งกว้าง แม้ข้าพเจ้าจะเดินทางไกลสักเท่าใด ก็จะไม่นึกถึงอะไรอื่น จะนึกถึงดวงตาทั้งคู่ของแม่นางเพียงเท่านั้น แม่นาง สิ่งอื่นอันจะเป็นที่รักยิ่งไปกว่าดวงตาของแม่นางไม่ได้มีอีกแล้ว"
"ท่านพ่อหนุ่ม ท่านต้องการและรักนัยน์ตาของข้าพเจ้าจริงหรือ"
"ใช่แล้วแม่นาง ข้าพเจ้ารักนัยน์ตาของท่าน" ขณะบุรุษหนุ่มกล่าวจบลง ทันใดนั้นเอง นางสุภาภิกษุณีใช้นิ้วมือควักดวงตาทั้งสองออกจากเบ้าตา แล้วยื่นให้หนุ่มเจ้าชู้ทันทีพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า "ท่านหนุ่มเชิญท่านเอาดวงตาที่ท่านว่างามนี้ไปเถิด เราให้ดวงตานี้แก่ท่าน"
บุรุษหนุ่มนั้นมองเห็นพระเถรีควักนัยน์ตายื่นมาให้ตนตามความต้องการ ราคะความกำหนัดยินดีหายไปในทันใด พร้อมกับก้มลงกราบแสดงคารวะธรรมประดุจอสรพิษร้ายถูกถอนพิษ รีบกล่าวคำขอโทษในทันที "ข้าแต่แม่หญิง ข้าแต่ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ข้าแต่แม่นางพรหมจารีผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่" เขากล่าวขึ้นพร้อมกับพนมมือแสดงอาการศิโรราบ
"ขอความไม่มีโรคพึงมีแก่แม่นางเถิด เบื้องหน้าแต่นี้ไปข้าพเจ้าจักไม่มีการประพฤติอนาจาร จักไม่ทำอย่างนี้อีกเป็นอันขาด" บุรุษหนุ่มแสดงอาการหวาดกลัว คำพูดก็สั่นเครือเหมือนจะไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่ตนมองเห็น
แน่ะ ! ท่านหนุ่มผู้หลงผิด พระเถรีกล่าวขึ้นทั้งแสดงเมตตาจิตออกมาทางดวงหน้าและกิริยา "ท่านมากระทบกระทั่งบุคคลเช่นข้าพเจ้าก็เหมือนก่อกองไฟที่ลุกโชน เหมือนพยายามจับงูพิษร้าย ความสวัสดีคงมีแก่ท่านบ้างดอกนะ ข้าพเจ้ารับขมาท่าน ขอท่านจงเป็นสุข เป็นสุข"
นางพูดจบก็เดินเลี่ยงบุตรแห่งนายช่างทองผู้หื่นกามนั้นไป ไปยังวัดเชตวันที่พระบรมศาสดาประทับอยู่ น่าอัศจรรย์ น่าอัศจรรย์จริงๆ พระศาสดาทรงประทับรอขณะที่นางกำลังเดินทางมา นางเห็นพระศาสดาและพระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก พร้อมด้วยพุทธบริษัทหมู่ใหญ่กำลังฟังธรรมอยู่ในโรงธรรม ด้วยดวงตาคือญาณ นางคลานเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา เห็นพระมหาปุริสลักษณะอันบังเกิดด้วยบุญสมภารอันสูงสุด นางปลื้มปีติบันเทิงอยู่ในธรรมที่พระศาสดาทรงแสดง
พระองค์ทรงแสดงบทธรรมสั้นๆ ว่า "บัณฑิตไม่ควรประกอบกรรมชั่วเพราะเห็นแก่ความสุขส่วนตัว" พอพระศาสดาแสดงพระธรรมเทศนาจบลง ตาของนางที่มีเลือดไหลอาบอยู่นั้น ค่อยๆ กลับเป็นปกติและหายเป็นปกติดังเดิม นี่เป็นเพราะเหตุอะไรอื่นไปไม่ได้นอกจากพุทธานุภาพ นางอุทานเบาๆ ด้วยความปีติตื้นตันใจ โอ ! พุทธานุภาพ ช่างน่าอัศจรรย์ใจอะไรเช่นนั้น นางพิจารณาธรรมอยู่ไม่นานนักก็สำเร็จเป็นพระอรหันตี เป็นภิกษุณีพุทธสาวิกาผู้หาได้ยากในโลก และโลกยังจะต้องจารึกชื่อนางไว้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาสืบไปนานเท่านานว่านางสุภาภิกษุณีนี้เป็นสตรีผู้แกร่งกล้าและหาได้ยากในโลก
ภาพวาดโดย เอ ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน
_/\_ _/\_ _/\_
โลกโลกีย์เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยว
ที่เรามาเยือนชั่วครู่ แค่ในระเวลาหนึ่ง
ท่ามกลางเวลาอันยาวนานแห่งสังสารวัฏ
ขณะมาท่องเที่ยวอยู่นั้น
พบเจอสิ่งดีงาม คนดีงาม ก็ถือเป็นสีสัน
พบเจอเรื่องเลวร้าย คนเลวร้าย
ก็ถือเป็นประสบการณ์
ในฐานะนักท่องเที่ยว
เราเพียงมาเยือน แต่ไม่อาจครอบครอง
มาเพื่อเรียนรู้ แต่ไม่ควรอยู่อย่างยึดติด
เมื่อไม่ยึดติดครอบครอง
เราจึงจะเที่ยวได้อย่างอิสระ
เที่ยวอย่างปลอดโปร่ง
จึงจะชัดเจนในเป้าหมายว่าสุดท้ายแล้ว
เป้าหมายของเรา มิได้อยู่ที่แห่งนี้
แต่เป็นเพียงทางผ่าน และฝึกฝนตน
เพื่อกลับไปสู่มาตุภูมิที่แท้จริง
หนูขโมยข้าวของคน คนว่ามันเจ้าเล่ห์
มนุษย์ขโมยน้ำผึ้งของผึ้ง กลับบอกว่ามันขยัน
งูไม่รู้ว่าตนมีพิษร้าย คนก็ไม่รู้ว่าตนมีความผิด
สิ่งใดมีประโยชน์ต่อเรา ล้วนเรียกว่าดี
สิ่งใดไม่มีประโยชน์ต่อเรา ล้วนเรียกว่าเลว
เมื่อคุณเดินถนน รังเกียจรถ
เมื่อคุณขับรถ รังเกียจคนเดินถนน
เมื่อคุณทำงาน
รู้สึกว่าเจ้านายใช้อำนาจ งกเกิน
เมื่อคุณเป็นเจ้านาย
รู้สึกว่าคนงานไม่มีความรับผิดชอบ
ไม่มีประสิทธิภาพ
เมื่อคุณเป็นลูกค้า ก็ว่าพ่อค้ารุนแรง
เมื่อคุณเป็นพ่อค้า ก็รู้สึกว่าลูกค้าจู้จี้เกิน
ที่จริงแล้ว เราล้วนไม่ผิด
ที่ผิดคือ ที่ยืนเราต่างกัน !
ดังนั้นแล้ว ถูกกับผิดก็เป็นเพียงหัวข้อไม่จริงแท้
จุดยืนต่าง มุมมองปัญหาย่อมต่าง
ย่อมมีข้อสรุปต่าง!
ฉะนั้น สรรพสิ่งสรรพเรื่องราวในโลก
ไม่มีจุดสัมบูรณ์ มักเป็นเพียงยืนคนละจุด
ลองร่วมในความรู้สึกคนอื่น ใจเขาใจเราดู !!
ชีวิตก็แค่นั้น...
ส่วนมาก ที่เราสอนคนอื่นได้
เพราะเราไม่ได้ตกที่นั่งเดียวกับเขา
วันใดที่เราตกที่นั่งเดียวกับเขา
เราก็สอนตัวเองไม่ได้ เช่นกัน
หากเรื่องราวไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา
เราย่อมไม่รู้สึกอะไร
หากเรื่องราวเกิดขึ้นกับเรา
เราจะสงบต่อไปได้หรือเปล่า
หากไม่เคยผ่านความทุกข์เดียวกับที่เขาเผชิญมา
โปรดอย่าตัดสินใครในมุมที่เรากำลังยืนอยู่
หรือด่าทอว่าทำไมเขาจึงตัดสินใจทำอะไรบัดซบเช่นนั้น
เพราะวันใดที่เราต้องยืนอยู่ในจุดเดียวกับเขา
ลิ้มรสแห่งความทุกข์เดียวกับเขา
ชีวิตเราอาจพังยับไม่เป็นชิ้นดีก็ได้!
ก่อนตัดสินใคร จงหันกลับมามองตัวเอง
ถ้าเป็นเรา ทำได้ดีกว่าเขาหรือไม่
อย่าโต้เถียงกับลา
ลาพูดกับเสือ:
- "หญ้าเป็นสีฟ้า".
เสือตอบว่า:
- "ไม่ หญ้าเป็นสีเขียว"
การโต้แย้งเริ่มรุนแรงขึ้น และทั้งสองก็ตัดสินใจนำเรื่องไปสู่การตัดสินชี้ขาด และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไปต่อหน้าสิงโต ราชาแห่งป่า
ไม่ทันถึงที่โล่งของป่าที่สิงโตนั้นนั่งอยู่บนบัลลังก์ลาก็เริ่มตะโกนว่า
- "ฝ่าบาท หญ้าเป็นสีฟ้าจริงหรือ"
สิงโตตอบว่า:
- "จริงสิ หญ้าเป็นสีฟ้า"
ลารีบพูดต่อไปว่า
- "เสือไม่เห็นด้วยกับฉัน เขาโต้แย้งและทำให้ฉันรำคาญ โปรดลงโทษเขาด้วย"
ผู้เป็นราชาจึงประกาศว่า
- "เสือจะถูกลงโทษด้วยความเงียบ 5 ปี"
ลากระโดดอย่างร่าเริงและเดินต่อไปอย่างพอใจและพูดซ้ำอีกว่า
- "หญ้าเป็นสีฟ้า"...
เสือยอมรับการลงโทษ แต่เขาก็ได้ไต่ถามสิงโต
“ฝ่าบาท ทรงลงโทษข้าทำไมเล่า หญ้าก็เขียวขจี”
สิงโตตอบว่า:
- "อันที่จริงหญ้าเป็นสีเขียว"
เสือถามว่า:
- "แล้วท่านลงโทษข้าทำไม"
สิงโตตอบว่า:
- "นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับคำถามที่ว่าหญ้าเป็นสีฟ้าหรือเขียว
การลงโทษนั่น ก็เพราะว่าเป็นไปไม่ได้ที่สัตว์ที่กล้าหาญและฉลาดอย่างเจ้าจะเสียเวลาไปโต้เถียงกับลา และยิ่งไปกว่านั้น ยังมารบกวนข้าด้วยคำถามนั้น”
การเสียเวลาที่เลวร้ายที่สุดคือการโต้เถียงกับคนโง่และคนบ้าที่ไม่สนใจข้อเท็จจริงหรือความเป็นจริง นอกจากชัยชนะจากความเชื่อและภาพลวงตาของเขาเท่านั้น จงอย่าเสียเวลากับข้อโต้แย้งที่ไม่สมเหตุสมผล...
มีคนที่ไม่ว่าหลักฐานที่เรานำเสนอต่อพวกเขาจะมากเพียงใด ก็ไม่อยู่ในความสามารถที่พวกเขาจะเข้าใจได้ และคนเหล่านั้นถูกบังตาด้วยอัตตา (ego) ความเกลียดชัง และความขุ่นเคือง และสิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือเป็นคนถูก แม้ว่าพวกเขาจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม
#เมื่อความไม่รู้กรีดร้อง #ปัญญาจงเงียบ
#ความสงบและความเงียบของคุณมีค่ามากกว่า ❤️
มีเสืออยู่สองตัว
ตัวหนึ่งอยู่ในกรง
อีกตัวหนึ่งอยู่ในป่า
มันต่างคิดว่าที่ๆมันอยู่นั้นไม่น่าอยู่เลย
ต่างก็อิจฉาการดำเนินชีวิตของซึ่งกัน
วันหนึ่ง พวกมันจึงแลกที่อยู่กัน
ต่างก็มีความสุขกับสภาพแวดล้อมใหม่
ต่อมาไม่นาน
เสือทั้งสองตัวก็ตาย
ตัวหนึ่งอดตายอยู่ในป่า
อีกตัวหนึ่งตายเพราะซึมเศร้าอยู่ในกรง
🌼🌼
บางครั้ง เราไม่ถนอมวาสนา
ที่เรากำลังได้รับอยู่
แต่เรามักอิจฉาในวาสนาของคนอื่น
แท้จริงแล้ว ...
สิ่งที่คุณมีนั่นแหละคือสิ่งที่คนอื่นอิจฉา
🌼🌼
เจ็บ...อย่าบอกใคร!
ลิงตัวหนึ่ง.. โดนกิ่งไม้เสียบท้อง
บาดแผลเหวอะหวะ
มันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
พอลิงตัวหนึ่งผ่านมา
มันก็เอามือเปิดแผลให้ลิงตัวนั้นดู
พร้อมบอกกับลิงตัวนั้นว่า...
"ดูสิ ฉันถูกกิ่งไม้เสียบท้อง เจ็บจะตายอยู่แล้ว!"
ลิงแต่ละตัวที่ผ่านมา
ต่างก็พากันปลอบใจ
และบอกวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป
มันยังคงเปิดแผลที่โดนไม้เสียบ
ให้เหล่าเพื่อนลิงดู
พร้อมกับเล่าถึงเหตุการณ์
ที่ทำให้มันได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้
ไม่นานต่อมา.. มันก็ตายเพราะแผลติดเชื้อ!
ลิงเฒ่าตัวหนึ่งบอกแก่ฝูงลิงทั้งหลายว่า..
"มันตายเพราะตัวมันเอง ไม่ใช่ตายเพราะโดนกิ่งไม้เสียบ"
เจ็บ พูดครั้งหนึ่งก็เจ็บครั้งหนึ่ง
พูดกี่ครั้งก็เจ็บเท่านั้น
หยุดโพนทะนา แล้วหันมาเยียวยาตัวเองเถิด
คนเลี้ยงโคถามพระพุทธเจ้าว่า ...
มานั่งกลางป่า เจอทั้งลม ฝน แดด ร้อน หนาวนี้มีความสุขตรงไหน?
ณ ครั้งพุทธกาล...
พระพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่กลางป่า
ช่วงปลายฝน ต้นหนาว
มีชายคนหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพ
เป็นคนเลี้ยงโค (นายโคบาล)
ได้มาพบเข้ากับพระพุทธเจ้า
ซึ่งไม่ทราบว่าเป็น พระพุทธองค์
จึงเข้าไปถามว่า...
ขอโทษขอรับ ท่านเป็นใคร
พระพุทธเจ้า ทรงตรัสตอบว่า "เรา ตถาคต"
นายโคบาล ตกใจ บอกว่า ...
"พระองค์มานั่งอยู่กลางป่าได้อย่างไร พระองค์มีความสุขไหม"
พระพุทธองค์ จึงทรงตรัสตอบว่า
"เธอรู้ไหม ในบรรดาคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ฉันเป็นหนึ่งในนั้น"
นายโคบาลได้ยินพระดำรัสเช่นนั้น
ถึงกับตัวชาและมีความปิติ ด้วยอำนาจของพระพุทธองค์
พระพุทธองค์ ตรัสถามต่อว่า
🪷"เธอกำลัง ทำอะไร"
🌸กระหม่อมฉัน "ตามหาวัว 16 ตัว ขอรับ"
🪷แล้วตอนนี้ วัว อยู่ไหน
🌸วัวหาย ทั้งหมดเลยขอรับ
🪷เธอ คิดว่าฉันมีวัวไหม
🌸ไม่มี ขอรับ
🪷คน ไม่มีวัวอย่างฉัน มีโอกาสทุกข์เพราะไม่มีวัวไหม
🌸ไม่มี ขอรับ
🪷เห็นไหมว่า คนมีวัว ทุกข์เพราะวัว คนไม่มีวัว ก็ไม่ทุกข์
พระพุทธเจ้า ตรัสถามต่
🪷ในเมืองนี้ ใครมีอำนาจ มีเงินทองมากที่สุด
🌸พระเจ้าพิมพิสาร ขอรับ
🪷พระเจ้าพิมพิสาร มีอำนาจเงินทองที่สุดในเมือง มานั่งเล่นกลางป่าอย่างฉัน ได้ไหม
🌸ไม่ได้ ขอรับ
🪷ก็มีอำนาจ เงินทองขนาดนั้น ทำไมมานั่งเล่นอย่างฉันไม่ได้
🌸ถ้าพระเจ้าพิมพิสาร ออกมานั่งเล่นชายป่า อย่างพระองค์ ก็จะถูกปฏิวัติได้ขอรับ
🪷เห็นไหม ระหว่างฉันกับพระเจ้าพิมพิสาร ใครมีความสุขกว่ากัน
🌸พระพุทธองค์ ขอรับ
พระพุทธศาสนา สอนว่า วิถีแห่งความสุขไม่ได้อยู่ที่ความมี หรือ ความจน อยู่ที่เรา ยินดีในสิ่งที่มี รู้จักพอดีในสิ่งที่ได้ เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว
โค 16 ตัว ที่ทุกคนเลี้ยงไว้ มีตั้งแต่ พระราชา เศรษฐี ประชาราษฎร์ทั่วไป พ่อค้า ฯลฯ
พระพุทธเจ้าไม่มี พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่มี พระอรหันต์ไม่มี
พระอนาคา พระสกิทาคา พระโสดาบัน มีน้อย
ปุถุชนทั่วไปมีมากหนาแน่น ... เรียกว่า # อุปกิเลส 16
อุปกิเลส (อ่านว่า อุปะกิเหลด) แปลว่า ธรรมชาติที่ทำให้ใจเศร้าหมอง, เครื่องทำให้ใจเศร้าหมอง หมายถึง สิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัวไม่แจ่มใส ทำให้ใจหม่นไหม้ ทำให้ใจเสื่อมทราม กล่าวโดยรวมก็คือสิ่งที่ทำให้ใจสกปรก ไม่สะอาดบริสุทธิ์นั่นเอง
อุปกิเลส แสดงไว้ 16 ประการ คือ
ความเพ่งเล็งอยากได้ไม่เลือกที่
ความพยาบาท
ความโกรธ
ความผูกเจ็บใจ
ความลบหลู่บุญคุณ
ความตีเสมอ
ความริษยา
ความตระหนี่
ความเจ้าเล่ห์
ความโอ้อวด
ความหัวดื้อถือรั้น
ความแข่งดี
ความถือตัว
ความดูหมิ่น
ความมัวเมา
ความประมาทเลินเล่อ
ดังนี้แล