บทเทศน์พ่อสุทธิ
บทเทศน์พ่อสุทธิ
"SOMEWHERE OVER THE RAINBOW" by Fr. Peter Suthi Pukalanant 17th Aug. 2024
“แต่พระรู้” พ่อสุทธิ
“แต่พระรู้”
๑. พี่น้องที่รัก
“การจะเป็นคนที่ดี มีชีวิตภายในดี มีความสนิทสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าที่มองไม่เห็นอย่างแท้จริง”
คนคนนั้น ในโลกแห่งความจริง เขาจะต้องกลายมาเป็น “คนดีในสายตาคนอื่นทั้งข้างนอกและข้างใน ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเพื่อนมนุษย์คนอื่น ไม่ว่าคนอื่นจะรับรู้ความเป็นจริงในตัวเขาอย่างนี้หรือไม่ก็ตาม แต่พระรู้”
๒. คือ เป็นคนดีให้สมกับที่คนเขาให้เกียรติเรา
มองว่าเราเป็นใครมีตำแหน่งอะไรก็สุดแล้วแต่ ไม่ว่าเราจะเป็นพ่อคน แม่คน ครู เพื่อน ญาติผู้ใหญ่ ผู้ทรงศีล หรือจะเป็นคนมีหน้าที่ในสังคมทั่วไป จะเป็นทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชนคนธรรมดาก็ตาม
แต่ก็เป็นคนที่มีคนจำนวนไม่น้อยที่เขารู้จักเรา รู้ว่าเรามีฐานะอะไรสำหรับเขา จะเป็นแค่ลุงป้าน้าอาหรือคนรู้จักทั่วไป แต่เป็นคนที่พ่อแม่บอกให้เรายกมือไหว้ในฐานะผู้ใหญ่ที่นับถือ หรือเป็นคนที่เขาผู้รักดีรู้จักที่จะให้เกียรติคนอื่นด้วยกันเท่านั้นก็ตาม เขาสามารถจะยกมือไหว้เราได้อย่างสนิทใจ
๓. ซึ่ง “การจะเป็นคนที่ดี
มีชีวิตภายในดีมีความสนิทสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าที่มองไม่เห็นอย่างแท้จริง” เช่นนั้น
เขาจะต้องมีการประพฤติปฏิบัติต่อผู้อื่น นับตั้งแต่จาก “จิตใจภายใน” ของเขาเป็นอันดับแรกก่อนเพื่อนเลย แล้วจึงค่อยแสดงออกมาเป็น “การประพฤติปฏิบัติภายนอก” ทุกประการอย่างแท้จริง ไม่ใช่ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง
ไม่จะเป็น ความคิด คำพูด ท่าทีที่มีต่อคนอื่น ทั้งที่มองเห็นและไม่เห็นทุกประการ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นการกระทำทุกอย่าง
เขาจะต้องไม่มีเรื่อง “การเมือง” มาเกี่ยวข้องในการใช้ชีวิตของเขาเลยแม้แต่น้อย
๔. การเมือง
คือ ในโลกแห่งความเป็นจริง สังคมมนุษย์ต้องอยู่กันหลายฝักหลายฝ่าย คนเราต้องพยายามเข้ากับทุกฝ่ายให้ได้
ซึ่งเหตุผลหลัก ก็คือ เราจะต้องรักคนทุกหมู่เหล่า แม้คนแต่ละหมู่เหล่านั้นจะมีความคิดและผลประโยชน์ที่ไม่ตรงกันก็ตาม
๕. แต่เราที่เป็นลูกพระ มีความชิดสนิทกับพระ
ก็จำเป็นจะต้องพยายามหาวิธีประนีประนอมผ่อนหนักผ่อนเบาเพื่อที่จะอยู่ร่วมกันกับคนทุกหมู่เหล่านั้นให้ได้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้อยู่แล้ว
ดูตัวอย่างชีวิตในครอบครัวของเราเป็นต้น เราต้องรู้ว่าคุณพ่อของเราท่านมีนิสัยอย่างไร คุณแม่ท่านมีนิสัยอย่างไร พี่เรามีนิสัยอย่างไร น้องเราล่ะมีนิสัยอย่างไร
เราจะไปพูดหรือไปทำอะไรกับทุกคนเหมือนกันหมด แล้วบอกว่าเราเป็น “คนตรงๆ” ไม่ได้ใช่ไหม? เราต้องรู้จักมองดูว่าใครเป็นอย่างไร ตอนนี้เขาอารมณ์ดีหรือเปล่า เขามีเรื่องอะไรหนักใจไหม?
๖. คนตรงมีสองแบบนะ
ตรงแบบแรก คือ ตรงเพื่อจะเอาให้ได้อย่างใจตัวเองไม่ฟังใคร ดูเหมือนจะตรงจากข้างในกับพระมาสู่ข้างนอกในชีวิตจริงของตัวก็จริง แต่ลืมไปว่าพระจากข้างในนั่นทรงสอนให้เราเอาความตรงความถูกต้องไปค่อยๆปรับใช้กับคนอื่น อย่าไปหักหาญน้ำใจใครเพื่อจะต้องให้มันถูกอย่างเดียว
คนเราเขามีหัวใจ เขามีความคิดของเขา เขายังไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรหลายอย่าง พระก็ทรงค่อยๆอดทนรอให้เขา ค่อยๆเรียนรู้ของเขาไป ไม่ทรงไปเร่งรัดบังคับอะไรเขา แต่คนตรงแบบแรกนี่ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม จะเอาตามความคิดตัวอย่างเดียว แล้วอ้างว่าเป็นคนตรง คือ จะไม่ยอมฟังคำทักท้วงของใคร อ้างว่ามันถูก ฉันหวังดี
คนตรงแบบที่สอง เป็นคนตรงจากข้างในกับพระสู่การเป็นคนของตัวข้างนอกกับคนอื่นเขาจริงๆ ไม่ใช่จะเอาแต่ว่าตัวคิดว่าถูกต้อง เพราะฉะนั้น ก็จะค่อยๆดูว่าจะพอทำอะไรอย่างไรได้บ้างถึงจะค่อยๆช่วยให้ความรักความหวังดี การอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความรักจะพอเป็นไปได้บ้าง
ถ้าใครคนใดยังไม่เข้าใจ เราจะพอค่อยๆพูดค่อยๆจาอะไรให้มันดีได้บ้าง ทั้งนี้เพื่อให้ความดีที่ทราบมาจากพระ แล้วตัวก็รับรู้ความดีนั้นในตัวเองอย่างตรงไปตรงมานั้น จะค่อยๆสามารถเป็นจริงในตัวคนอื่นได้สักวัน เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมจะได้ดีไปด้วย เพื่อจะได้มีสวรรค์ในโลก มีกันและกัน
ไม่มีการนึกแต่ว่าตัวเองคิดแต่จะเอาแต่ความถูกต้องของตัว และแย่หนักกว่านั้น จะเอาให้ได้ผลประโยชน์ตามใจตัวอย่างเดียว ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่สวรรค์ แต่มันคือนรก
๗. เหตุผลก็เป็นเพราะ
เราต้องพยายามรักคนทุกคนตามที่พระสอน เพราะฉะนั้น การที่เราพยายามจะเข้าอกเข้าใจและประนีประนอมกับคนทุกหมู่เหล่านั้น ก็เพื่อผลดีของการอยู่ร่วมกันกับทุกฝ่ายในสังคมมนุษย์ในโลกแห่งบาปกำเนิดนั้น
สังเกตดีๆว่า จุดประสงค์ของการพยายามเข้าอกเข้าใจ ประนีประนอมนั้น ก็เพื่อ “ผลดีของการอยู่ร่วมกัน” กับทุกฝ่ายในสังคมมนุษย์ในโลกแห่งบาปกำเนิดนั้น หาใช่เพื่อผลดีของตัวเองหรือของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะไม่เลย
๘. เพราะฉะนั้น ถึงอย่างไร ด้วยเหตุผลที่ถูกต้องเช่นนี้
เราคนดีทุกคนที่มีชีวิตชิดสนิทกับพระนั้น ก็จะต้องพยายามหาทางประนีประนอมเพื่อการอยู่ร่วมกันกับคนทุกหมู่เหล่า
ซึ่งก็มีลักษณะของความเป็น “การเมืองเล็กๆ” อยู่ในการประพฤติปฏิบัติอยู่พอสมควรอยู่แล้ว
๙. นั่นก็เพราะ เราเข้าใจคนอื่นดี
ว่าคนเราแต่ละคนมีความเข้าใจในสถานการณ์ที่จำเป็นไม่เหมือนกัน บางครั้งคนแต่ละคนก็อาจจะยึดมั่นในหลักการของตัวมากเกินไปหน่อย มีนิสัยใจคอ มีความคิดเป็นของตัวเอง จนบางครั้งไม่อาจจะเข้าใจในเหตุผลความจำเป็นของคนอื่นได้ และไม่สามารถจะประนีประนอมกับความคิดและการตัดสินใจของคนหมู่มากได้
จึงทำให้การอธิบายเหตุผลตรงๆชัดๆ หลายครั้งจึงมักไม่เกิดผล สำหรับคนบางคน
แต่สามารถทำได้เพียงแค่หาวิธีพูดอ้อมๆหรือชวนให้เห็นข้อดีที่เขาพอจะรับได้ และยอมหรือต้องจำยอม ผ่อนปรนตามความเห็นและการตัดสินใจของส่วนรวมไปก่อนในที่สุด ดังนั้น คนเราจึงต้องรู้จักหาวิธีที่จะโน้มน้าวใจคนอื่นบ้าง ไม่ใช่หลอกเขาให้ต้องมายอมเรา
๑๐. พระก็ทรงทำอย่างนี้กับพวกเราด้วยใช่ไหมเล่า?
พระองค์ทรงรอเวลาสำหรับพวกเราแต่ละคน ไม่ทรงจะเอาแต่หักด้ามพร้าด้วยเข่ากับใครผู้ใดเลย ทรงรอเวลาจนกระทั่งเห็นไหมว่าพระองค์ทรงต้องเจออะไรจากการรอพวกเรากันน่ะ รอว่าเมื่อไรพวกเราจะคิดได้
ก็เจอการถูกมองอย่างเข้าใจผิด ถูกตัดสินพิพากษาผิดๆ ถูกบังคับสารพัด ถูกทำร้าย ถูกหยาม ถูกพวกเราดูถูก ถูกจับไปทรมาน ด่าว่าเสียๆหายๆ ถูกเฆี่ยน ถูกพวกเราถ่มน้ำลายรด พระองค์ก็ยอมนี่ไง
นั่นแหละ คือ “ค่าใช้จ่าย” ของการที่พระองค์ต้องการจะทำความดีให้กับพวกเราทุกคนโดยรวม ทรงเป็นคนดีจากข้างในสู่ข้างนอก ไม่ทรงเอาแต่น้ำใจตัวเองว่าจะต้องให้เราดีให้ได้เดี๋ยวนั้นเดี๋ยวนี้ ไม่ทรงเล่น “การเมืองอย่างสุดขั้ว” เพื่อจะเอาให้ได้อย่างที่พระองค์ต้องการ คือ “ทรงยอมจ่ายด้วยชีวิตของพระองค์เอง”
๑๑. ที่ต้องทำอย่างนี้
หาใช่เพื่อจะแสวงหาผลประโยชน์เพื่อใครคนใดคนหนึ่งเป็นสำคัญ แต่มุ่งหาหนทางประนีประนอมเพื่อการอยู่ร่วมกันในโลกที่สามารถจะดีที่สุดได้เท่านี้ในเวลานี้ ยอมจนตัวตาย
และต่อไปในอนาคตก็อาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่งก็เป็นได้ สุดแล้วแต่เงื่อนไขของสังคม หาใช่เพราะการเล่น “การเมืองสุดขั้ว” เพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่งแต่อย่างใดไม่ แต่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมทั้งสิ้น
๑๒. และพอเราทำอย่างนี้แล้ว
ผลที่สุด คนอื่นก็อาจจะมองเราผิดไป หาว่าเราเล่นการเมือง เราหลอกใช้เขา เราไม่ซื่อ ก็เป็นได้
แล้วต่อไป ถึงคราวที่เราอาจจะต้องขอร้องให้คนอื่นมาช่วยเหลืออะไรเราบ้าง แต่คนอื่นเขาอาจไม่เป็นคนเล่น “การเมืองแค่เล็กๆ” เหมือนอย่างเราที่หวังดีต่อส่วนรวม คนอื่นเขาอาจเล่น “การเมืองแบบสุดขั้ว” เพื่อผลประโยนช์ของตัวเขาเองและพวกพ้อง และไม่ยอมจะมาช่วยเหลือเราก็เป็นได้
คือ ตอนเราทำดี คนอื่นเขาก็มองเราไม่ดี แล้วพอเราจะขอให้คนอื่นเขามาช่วยเหลือเราตอบแทนบ้าง เขาก็ไม่ช่วยเสียอีกด้วย เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง มีแต่เสียกับเสีย ต้องถูกตรึงกางเขนทุกวัน
๑๓. นี่แหละ คือ คุณลักษณะของ
“การจะเป็นคนที่ดี มีชีวิตภายในดี มีความสนิทสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าที่มองไม่เห็นอย่างแท้จริง”
คือ เขาจะต้องเป็น “คนดีในสายตาคนอื่นทั้งข้างนอกและข้างใน ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเพื่อนมนุษย์คนอื่น ไม่ว่าคนอื่นจะรับรู้ความเป็นจริงในตัวเขาอย่างนี้หรือไม่ก็ตาม แต่พระรู้”
๑๔. อะไรก็ตาม
ที่เป็น “ความยึดติดผูกพันเพื่อตัวของตัวเองในโลก”แล้วไปทำให้เราจะต้องใช้ชีวิตประนีประนอมมากกว่าที่ควรทำเพื่อความดีของส่วนรวม
ซึ่งสิ่งที่เราพอทำได้ในฐานะคนที่ไม่ยึดติดกับผลประโยชน์ของตัวเป็นสำคัญ แต่สนใจความดีของส่วนรวมเท่านั้น ก็เป็นแค่การเล่น “การเมืองเล็กๆ” ตามประสาคนที่รักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง
แล้วทำให้เราต้องไปพยายามเล่น “การเมืองสุดขั้ว” เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของตัวและพวกพ้อง
ผลที่สุด คนคนนั้นที่มีความยึดติดผูกพันเพื่อตัวเองอย่างนั้น ก็จะต้องพบกับ “ความสูญเสียสิ่งที่ยึดติดผูกพันเพื่อตัวเองอย่างผิดๆอย่างนั้นไป” เป็นดังการลงโทษจากพระเป็นเจ้า
คล้ายกับว่าพระทรงลงโทษ แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นไปตามครรลองของมัน คือ ไม่มีอะไรในความเป็นไปทั้งหมดจะสามารถฝืนธรรมชาติของส่ิงสร้างที่พระสร้างมาได้ คือ ไม่มีใครจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามอำเภอใจของตน ทุกอย่างจะดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อเป็นไปเพื่อความดีของส่วนรวมเท่านั้น อะไรที่เป็นไปเพื่อตัวเอง จะต้องถูกริบคืนทั้งหมด
และเพราะคนคนหนึ่งไปยึดติดผูกพันกับอะไรก็แล้วแต่เพื่อตัวเองคนเดียวอย่างนั้น เมื่อต้องถูกริบคืนไปตามครรลองของสิ่งสร้างอย่างนั้น จึงต้องรู้สึกทุกข์ตรมเศร้าใจเป็นธรรมดา
นั่นแหละ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับประกาศกเอเสเคียลที่ไปยึดติดผูกพันกับภรรยาของตน เมื่อต้องสูญเสียนางไป ย่อมทุกข์ใจเป็นธรรมดา ทั้งนี้พระทรงใช้ตัวอย่างของท่านเพื่อสอนใจชาวอิสราเอลและพวกเราในยุคนี้ทุกคนที่กระทำตัวอย่างนั้นเหมือนกันด้วย (อสค. ๒๔: ๑๕-๒๓)
พ่อสุทธิ
จันทร์ ธรรมดา ๒๐ คู่
"EAT THIS BREAD" by Fr. Peter Suthi Pukalanant 16th Aug. 2024
“ความรักนิรันดร์” พ่อสุทธิ
“ความรักนิรันดร์”
๑. เพื่อให้เราเข้าใจง่ายขึ้น
คนโบราณท่านมักเปรียบความรักระหว่างเรากับพระเป็นเจ้าให้ฟังดูละม้ายคล้ายคลึงกับความรัก ความผูกพัน ความมีใจให้กัน ความหลงใหลอย่างงดงาม ที่ “คู่รักแบบมนุษย์” ที่เป็น “คู่ชีวิตที่เที่ยงแท้” เท่านั้น พึงมีต่อกัน
เป็นความชื่นชม ความเข้าอกเข้าใจความเชื่อมั่นในกันและกัน เป็นความดีของอีกฝ่ายหนึ่งที่ครองใจอีกฝ่ายหนึ่งไว้ให้รู้สึกรัก กระทับใจ ให้เกียรติ เชื่อมั่นในความดี ความเก่ง ความสามารถ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ความรักแบบชั่วคราวตามอารมณ์ของคู่รักผิวเผินทั่วๆไป
๒. “คู่รักเที่ยงแท้” เช่นนี้
จะมีแต่ความรู้สึกที่งดงามในระหว่างกันเสมอ ยามใดที่ฝ่ายหนึ่งอยู่เคียงข้าง รู้ว่ามีกันและกันแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็จะรู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูกอยู่เสมอ
และยามใดที่จำต้องห่างร้างกันเพราะความจำเป็น ทั้งสองฝ่ายจะก็คงมีใจระลึกถึงกันตลอดเวลา ราวกับมีกันและกันอยู่ในใจของตนเสมอ เหมือนเป็น “คนเดียวกันที่มีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน”
๓. การมีอีกฝ่ายหนึ่ง
เหมือนเป็น “คนคนเดียวกันที่มีใจเป็นหนึ่งเดียว” เช่นนี้ ไม่ว่าอีกคนหนึ่งจะพูดจาหรือจะนั่งนอนยืนเดินอย่างไร ล้วนแต่นำมาซึ่งความสุขให้อีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างง่ายดาย เพียงเพราะเขารู้ว่ามีอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ด้วยกันกับเขาในหัวใจเสมออย่างนั้นเท่านั้น ไม่ต้องมีอะไรอื่นมาก
๔. และแม้ว่าบางครั้งบางคราว
ต่างฝ่ายต่างอาจจะต้องเหินห่างไปเพราะความอ่อนแอบกพร่องของทั้งสองที่ต่างคนต่างก็เป็นคนอื่นที่มีความไม่เหมือนกัน และจะต้องทำให้ต้องผิดใจกันไป
จะด้วยฝ่ายหนึ่ง “หลงผิดพลาดไปเอง” และอีกฝ่ายหนึ่งที่เฝ้ารอการกลับมา จะดูว่ากลายเป็น “คนแข็งขืน” เพราะไม่รู้จักจะงอนง้อตามหาในสายตาและความเข้าใจของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นก็ตาม
๕. แต่เพียงแค่
“การหันกลับมามองกันและกันอย่างมีเยื่อใยของทั้งสองฝ่าย” เท่านั้น “ความหลงผิดพลาดไปเอง” ของฝ่ายหนึ่ง ก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่มีความสำคัญสำหรับความรักของทั้งสองอีกต่อไป
และ “ความเป็นไปคนแข็งขืน” ของอีกฝ่ายหนึ่ง ที่เคยขึงขังกับความไม่ถูกไม่ควรทั้งหมด ก็กลับกลายเป็นความอ่อนโยน ความรัก ความปรารถนาดี การอยากอยู่ใกล้ชิดเหมือนเช่นที่เคย ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างคนสองคนนั้นมาก่อนเลย
เพราะแท้จริงแล้ว เขาก็ได้พยายามเฝ้าเดินเข้าหาเพื่องอนง้อขอคืนดีมาโดยตลอด เพียงแต่ฝ่ายที่กำลังน้ำเชี่ยวแรงในความคิดของตนอยู่นั้น ยังไม่สามารถจะทันสังเกตมองเห็นถึงความพยายามของอีกฝ่ายหนึ่งได้เท่านั้นเอง
๖. ต่อเมื่อ “พายุในความสัมพันธ์” ค่อยๆสงบลง
“การเป็นคนใช้ไม่ได้” ของฝ่ายหนึ่ง และ “การเป็นคนจะเอาแต่ความถูกต้อง” ของอีกฝ่ายหนึ่ง จึงไม่มีหลงเหลืออยู่ในความสนิทสัมพันธ์ของคู่รักคู่นี้อีกต่อไปแล้ว
และไม่ว่าจะมี “พายุในความสัมพันธ์” เกิดขึ้นสักกี่ครั้งกี่หน พวกเขาก็จะกลับมารักกันใหม่ได้เสมอ พวกเขาก็จะกลับมาระลึกได้เสมอว่าพวกเขาทั้งสองมีใจดวงเดียวกัน พวกเขาจะกลับมาคืนดีกัน กลับมามีแต่ความรู้สึกชื่นชมหลงใหลในกันและกันอย่างที่ไม่มีอะไรจะมาทำให้พวกเขาทั้งสองพรากจากกันได้ตลอดไป
๗. ชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
ของพวกเขาทั้งสอง ชีวิตที่เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นคนคนเดียวกัน มีหัวใจเดียวกัน จึงสามารถจะกลับมาดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้นเหมือนไม่เคยขาดจากกันเลยสักนิด เพราะใจของเขาทั้งสองที่ไม่เคยแยกเป็นสองของพวกเขานั่นเอง
แม้ในยามที่จะมีอะไรมาทดลองท้าทายความสัมพันธ์ของพวกเขาหนักหนาสาหัสเพียงใดก็ตาม แต่พวกเขาก็จะกลับมาจดจำความรักของกันและกันได้เสมอ
และนั่นจึงทำให้ทุกๆวันในชีวิตของพวกเขา สามารถจะกลับมาเป็น “วันใหม่ที่สดใส” สำหรับความรักของพวกเขาทั้งสองได้ตลอดชั่วนิจนิรันดร์
ความรักระหว่างเขาทั้งสอง คือ ความรักนิรันดร์
นั่นแหละ คือ ความรักของเรามนุษย์กับพระเป็นเจ้าล่ะ
๘. คนเราก็เหมือนกัน
คือ ถ้าเรากับพระ รักกันอย่างไร เรากับเพื่อนมนุษย์ก็จะต้องรักกันอย่างนั้นด้วย เพราะ Love me, love my dog. ถ้าเรารักพระ เราก็ต้องรักคนของพระด้วย เราต้องรู้สึกว่าคนทุกคนเป็นคนเดียวกันกับเรา มีหัวใจเดียวกันกับเราเหมือนที่เรามีหัวใจเดียวกันกับพระน่ะ
เพราะฉะนั้น ในระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ต่อให้เรามีอันจะต้องพรากจากกัน จะต้องมีการผิดใจกัน แต่ถ้าความรักในระหว่างพวกเรากันเองยังคงมีอยู่ในหัวใจของพวกเราอยู่ล่ะก็ ชีวิตก็สามารถจะไปต่อได้ทุกเมื่อ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
๙. ขึ้นอยู่กับว่า
หนึ่ง เราต่างคนต่างจะพยายามกันมากน้อยแค่ไหน
และสอง ขึ้นอยู่กับว่าเราแต่ละคนจะมีน้ำใจหนักแน่นที่จะต้องพยายามเพียงฝ่ายเดียวไปก่อน รอให้อีกฝ่ายหนึ่งที่เขายังไม่พร้อมที่จะหันกลับมาพยายามร่วมแรงเป็นสองฝ่ายภายหลัง มากน้อยแค่ไหนด้วย
๑๐. ถ้าเรามีกันและกันกับ “คนอื่น” ได้เมื่อไร
ความสุขในความสัมพันธ์ก็จะเกิดมีขึ้นได้เมื่อนั้น
๑๑. เป็นความสุขเดียวเท่านั้น
ที่จะมีเกิดขึ้นกับชีวิตคนเราได้ ความสุขที่ได้จากอย่างอื่นที่ตัวเองไปหามาเองนั้น ไม่ใช่ความสุขแท้จริง มันเหมือนจะสุข แต่ก็สุขไม่ได้ สุขไม่สุด กลับจะมีปัญหาตามมาที่จะทำให้ทุกข์กายใจได้เสมอ
ไม่เหมือนความสุขจากการมีกันและกัน ที่แม้จะมีปัญหาตามมาก็จริง แต่กายใจของคนเราก็ยังจะสุขอยู่ได้ นี่เป็นเรื่องแปลกมาก แต่เป็นเรื่องจริง
๑๒. และความสุขจากการมีกันและกันนี้
จะเกิดขึ้นมาได้ ก็ต่อเมื่อเจ้าตัวแต่ละคนไปฝืนใจพยายามเดินเข้าหาคนอื่นเหมือนเขาเป็นคู่ชีวิตของเราอย่างนั้น
ไปฝืนใจพยายามที่จะค่อยๆคิดหาวิธีการหนทางที่จะถ้อยทีถ้อยอาศัยกับคนอื่นเขาอย่างจริงใจ
จะต้องไม่มีความคิดเป็นอื่นกับเขาในใจแอบแฝงอยู่เป็นอันขาด ถึงแม้จะรู้ว่าคนอื่นเขาก็ยังไม่ซื่อตรงจริงใจกับเราสักเท่าไรนักก็ตาม
๑๓. เช่นกัน กับ “ชะตาชีวิต” ของเราเองก็เหมือนกัน
เราก็จะต้องมองชะตาชีวิตของเรา ที่เราจะต้องไปเจอเรื่องที่เราไม่คาดฝัน
และชะตาชีวิตมันไม่เคยซื่อตรงจริงใจกับเราเลย เราจะทำดีเท่าไร ชะตาชีวิตมันก็จะทรยศหักหลังเราอยู่ร่ำไป ทำดีเท่าไร ชะตาชีวิตมันก็จะคอยพลิกผันตลอดทุกเมื่อ
๑๔. นั่นแหละ
เราก็ต้องไม่ไปคิดเล็กคิดน้อยกับชะตาชีวิตของเรามันด้วย เราจะต้องยืนหยัดที่จะรักตัวเอง รักชะตาชีวิตที่มันจะพาเราไปขึ้นเขาลงห้วย ไปบุกน้ำลุยไฟ ไปตายที่ไหนก็แล้วแต่
จนกระทั่ง พาให้เรามามีวันนี้ มาเจอเรื่องไม่เข้าท่าอย่างนี้ เราก็จะต้องข่มใจ ฝืนใจ ทำใจ ที่จะรักชะตาชีวิตของตัวเองทั้งๆที่มันก็ไม่เคยจะญาติดีกับเราเลย ให้สนิทใจเหมือนว่ามันคือคู่ชีวิตที่เรากับมันมีหัวใจเดียวกันให้ได้
๑๕. พี่น้องที่รัก
เราจะต้องดีกับคนอื่นและดีกับชะตาชีวิตของตัวเองอย่างนี้ เหมือนเป็นคู่รักของเราให้ได้จากใจข้างในของเรา
รักอย่างที่บอกไปแต่แรกนั้น แม้เราจะต้องพบกับความยากลำบากแสนสาหัสเพียงใดก็ตาม
แล้วเมื่อนั้นเราทำได้อย่างนั้น เราก็จะพบ “ความสุขแท้ในการมีกันและกัน” ที่เป็นเพียงความสุขเดียวในชีวิตคนที่จะไม่มีวันหลอกลวงเราเลย
พ่อสุทธิ
สมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์
ทั้งกายและวิญญาณ
"Monsters" by Fr. Peter Suthi Pukalanant Thu. 15th Aug. 2024
“เราจะมีพระที่สนใจใยดีเราเสมอ” พ่อสุทธิ
“เราจะมีพระที่สนใจใยดีเราเสมอ”
๑. ในบันทึกประจำวันของแอนแฟรงค์
เยาวชนหญิงคนหนึ่งในช่วงที่ชาวยิวถูกพวกเยอรมันฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ กำลังอยู่ในคืนที่จะต้องหนีออกจากบ้านก่อนที่จะถูกทหารมาค้นและจับตัวไปทรมานและฆ่า
แอนเล่าว่าเธอและครอบครัวได้มาขอเช่าห้องใต้หลังคาของเพื่อนบ้านเพื่อแอบซ่อนตัว เตรียมจะหาที่อยู่ใหม่ต่อไป เพื่อนบ้านคนนี้เป็นชายที่หย่ากับภรรยา เขาเป็นเพื่อนของบิดา เป็นคนดี เขาอยู่กับพวกเราจนกระทั่งสี่ทุ่ม ประมาณห้าทุ่มเพื่อนบ้านสองสามีภรรยาขนข้าวขนของมาสมทบ แล้วสักพักพวกเขาก็หายตัวไปพร้อมกับข้าวของทั้งหมดเพื่อไปหาที่นอนก่อนที่จะเดินทางพรุ่งนี้เหมือนกัน
๒. แอนบอกว่าเธอรู้สึกเหนื่อยแล้ว
คิดว่าคืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายที่จะได้นอนเตียงนุ่มๆของตัว เธอง่วงนอนมากและหลับไปโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งคุณแม่มาปลุกเธอตอนตีห้าครึ่ง เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่อากาศเย็น เพราะมีฝนตกพรำๆตลอดทั้งคืน
พวกเราทั้งสี่ใส่เสื้อผ้ากันหลายชั้น ราวกับว่าวันนี้เราจะต้องออกจากบ้าน แล้วคืนถัดไปเราจะต้องนอนกันในตู้เย็นอย่างนั้นแหละ ซึ่งเราควรจะเอาเสื้อผ้าไปให้มากกว่านี้ด้วย แต่คงไม่มียิวคนไหนที่จะกล้าออกจากบ้านไปในยามนี้พร้อมกับกระเป๋าใส่เสื้อผ้าเยอะแยะให้เป็นที่ผิดสังเกตกันหรอก
๓. แอนเล่าว่าเธอใส่เสื้อสองชั้น
ถุงเท้าสามคู่ ถุงน่องสองชั้น สวมรองเท้าที่ทั้งหนาและหนัก ใส่หมวกแก๊ป มีผ้าพันคอหลายผืนจนเธอแทบหายใจไม่ออก
แต่ไม่มีใครมีเวลามานั่งสนอกสนใจใครกันแล้ว ทุกคนต่างจัดการตัวของตัวเองกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครห่วงใยคิดที่จะมาถามเธอว่าตอนนี้เธอรู้สึกอย่างไร?
๔. เธอยังไม่รู้ว่าที่ซ่อนตัวถัดไปอยู่ที่ไหน
เจ็ดโมงครึ่ง ประตูบ้านถูกปิด เธอมีโอกาสร่ำลาสิ่งมีชีวิตเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ แมวที่ชื่อ มูธจิ ซึ่งเพื่อนบ้านสัญญาว่าจะพามันไปให้อีกบ้านหนึ่งช่วยรับเลี้ยง มันจะได้มีบ้านที่ดีสำหรับมัน
ส่วนเตียงนอนและทุกอย่างบนโต๊ะอาหาร รวมทั้งอาหารแมว ล้วนเป็นความทรงจำที่ถูกประทับตราในใจของเธอว่าจะต้องจากมาอย่างเร่งรีบ แต่ตอนนี้เธอและทุกคนไม่มีเวลามาพิรี้พิไรอะไรทั้งนั้น พวกเธอแค่จะรีบออกมาให้มันพ้นจากตรงนั้นกัน ออกมาให้ไกล และไปยังจุดหมายที่จะปลอดภัยสำหรับพวกเธอ เรื่องอื่นไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไปแล้ว
และพรุ่งนี้ยังต้องเรื่องร้ายๆให้ต้องเจออีกเยอะ
๕. พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า
“ทำไมท่านทั้งหลายจึงกล่าวคำพังเพยนี้ซ้ำซากในแผ่นดินอิสราเอล ว่า ‘พ่อกินผลองุ่นเปรี้ยว แต่ลูกเข็ดฟัน’
“เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด” พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “ท่านทั้งหลายจะต้องไม่ใช้คำพังเพยนี้อีกต่อไปในอิสราเอล”
“ถ้าคนหนึ่งเป็นผู้ชอบธรรม ปฏิบัติความถูกต้องและความยุติธรรม ดำเนินชีวิตตามข้อกำหนด และปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของเราอย่างซื่อสัตย์ คนนั้นก็เป็นผู้ชอบธรรม เขาจะมีชีวิต” พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส
“แต่ถ้าคนหนึ่งมีบุตรเป็นโจร ที่บิดาไม่เคยทำ ถ้าบุตรคนนี้กินของถวายตามสักการสถานบนที่สูง ล่วงเกินภรรยาของเพื่อนบ้าน ข่มเหงคนยากจนและคนขัดสน ทำโจรกรรม ไม่ยอมคืนของประกัน เงยหน้าขึ้นคารวะรูปเคารพ กระทำสิ่งน่าสะอิดสะเอียน ให้ผู้อื่นยืมเงินเพื่อเรียกดอกเบี้ย หรือหากำไร เป็นฆาตกร และกระทำความชั่วเหล่านี้ เขาจะไม่มีชีวิตอย่างแน่นอน” (อสค. ๑๘: ๑-๑๐, ๑๓, ๓๐-๓๒)
๖. หมายความว่า
ชีวิตคนเราจะไม่มีเรื่องร้ายๆอย่างที่แอนแฟรงค์และใครๆต้องเจอกันอย่างไม่มีเหตุผล และรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครคอยสนใจใครอีก เราจะต้องหนีเอาตัวรอดอย่างเดียวเท่านั้น ชีวิตเราจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไป
แม้ชีวิตคนเราจะต้องเจอเรื่องร้ายๆตามครรลองของโลกแห่งบาปกำเนิดที่ดูไม่สมเหตุสมผลก็จริง แต่ที่จริงมันสมเหตุสมผลของมันแล้ว ไม่ใช่พ่อทำไม่ดีแล้วลูกต้องมาถูกโทษ เราทำไม่ดีเองนั่นแหละ
แต่เราจะมีพระพรของพระคุ้มครองเสมอ ถ้าหากเราพยายามกลับใจมาเป็นคนดี เราจะมีพระที่สนใจใยดีเราเสมอ แม้คนในโลกเขาจะทิ้งขว้างเรา ทำตัวไม่สมเหตุสมผลกับเราเหมือนอย่างเดิมก็ตาม อันนี้ไม่สมเหตุสมผลแน่นอน แต่พระจะทำตัวสมเหตุสมผลกับเราเสมอไม่เปลี่ยนแปลงเลย
และถ้าเราเป็นคนไม่ดี นอกจากคนในโลกจะไม่สนใจใยดีเราอย่างไม่สมเหตุสมผลเหมือนเดิมแล้ว พระก็จะทรงทอดทิ้งเราด้วย
พ่อสุทธิ
เสาร์ ธรรมดา ๑๙ คู่
“สนุกไปกับความยุ่งยาก”
๑. พี่น้องที่รัก
ให้พวกเราลองดูซิว่าพระเป็นเจ้าทรงเห็นตัวเราเป็นอะไรสำหรับพระองค์ พระองค์ทรงขอให้เราช่วยทำอะไรให้พระองค์ ทรงหวังอะไรในตัวพวกเรา ทรงมองเห็นพวกเราเป็นลูกที่จะดูแลเอาใจใส่ในเรื่องอะไรในบ้านของพวกเรา
พระองค์ทรงหวังที่จะฝากฝังงานอะไรให้กับพวกเรา ทรงคุยอะไรกับพวกเราเป็นการส่วนตัวว่าให้ช่วยพระองค์ดูแลเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นพิเศษ
๒. เราพอจะจำได้ไหม?
ว่าความคาดหวังที่พระทรงมีต่อตัวพวกเราแต่ละคนนั้น ได้ค่อยๆเริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อไร เราพอจะสัมผัสรับรู้ได้ว่าดูท่าทางแล้ว ชีวิตของเรามีแนวโน้มที่จะเดินทางมาสู่จุดนี้ จุดที่เราจะต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้ มาอยู่ในจุดที่ชีวิตเราอาจจะผันแปรเปลี่ยนแปลงจากเดิมทีละน้อย
หลายคนเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลยและรู้สึกว่ารับไม่ได้ในตอนแรกๆ แต่แล้วก็ค่อยๆยอมรับได้ในที่สุด หลายคนอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองคาดหวังเอาไว้แต่แรก จึงไม่ง่ายที่จะยอมรับภาระหน้าที่นั้นๆเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรใดๆ
๓. และที่สุด
ก็ทำให้มองเห็นภาพในชีวิตของพวกเราได้ ว่าตัวเองแต่ละคนก็ยินดีเต็มใจน้อมรับ ว่านี่คือน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าสำหรับชีวิตที่จะค่อยๆดำเนินไปในอนาคตของตน
๔. นี่แหละ
คือ เรื่องแรกที่อยากจะให้พวกเราแต่ละคนไปค่อยๆลองใคร่ครวญไตร่ตรองดูในเรื่องนี้
๕. และเรื่องที่สองให้ลองสำรวจตัวเองดูต่อไปด้วย
ว่าเป็นตัวเราเองด้วยน้ำใจอิสระนั้น ที่สามารถจะรับรู้อย่างมีสติสำนึกรู้มากกว่าเดิมมากขึ้นหรือไม่? ที่จะรับรู้ถึงการที่พระทรงเห็นอะไรในตัวพวกเราแต่ละคนที่จะพอช่วยงานของพระในบ้านของพวกเรานี้ได้
๖. และพวกเราก็ค่อยๆเรียนรู้
ที่จะทำให้ตัวตนของเราสมานเข้าเป็นเนื้อเดียวกันกับวิถีชีวิตที่อาจจะไม่ตรงกับความฝัน ความคาดหวัง ความตั้งใจส่วนตัวของเราตั้งแต่แรกนั้น แม้อาจจะกระท่อนกระแท่นไปบ้าง แต่เราก็ได้ค่อยๆพยายามทำอย่างดีที่สุด
พยายามที่จะตอบรับเสียงเรียกของพระจิตเจ้าที่จะทรงดลใจให้เรากล้าตัดสินใจในเรื่องที่ยาก เรื่องที่ขัดต่อน้ำใจของเรา เรื่องที่ท้าทายความสะดวกสบายของเรา เรื่องที่เรารู้สึกขัดใจกับท่าทีของเพื่อนพี่น้อง ซึ่งจะมีอยู่ในทุกๆเหตุการณ์ที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตของเราแต่ละคน และรู้สึกสนุกไปกับความยุ่งยากท้าทายที่จะเกิดขึ้นกับตนในทุกๆวัน
๗. พระตรัสกับเรา
ผ่านทางหนังสือประกาศกเอเสเคียล บทที่ ๑๖ ข้อ ๖๐ ว่า “แต่เรายังระลึกถึงพันธสัญญาของเรากับเจ้าเมื่อเจ้ายังเป็นสาว เราจะทำพันธสัญญากับเจ้าซึ่งจะคงอยู่ตลอดไป”
พ่อสุทธิ
ศุกร์ ธรรมดา ๑๙ คู่
“ดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์” พ่อสุทธิ
"The Supper Of The Lord" by Fr. Peter Suthi Pukalanant Thu. 13th Aug. 2024
“ดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์”
๑. พวกเธอ “คนเก่ง คนมั่งมี คนจองหอง” ทั้งหลายเอ๋ย
เธอที่เกิดมาใช้ชีวิต “เถลไถล” ละทิ้งความสุภาพถ่อมตน เพื่อออกมาสำรวจ “โลก” อยู่ในดินแดนของ “อวิชชา”
๒. “อวิชชา” เป็นวิชา “ความรู้ปลอม”
เป็นวิชาแห่งความเห็นแก่ตัว ความอวดดี ดูถูกคนอื่น และที่จริงก็ดูถูกตัวเองด้วยนั่นแหละ เป็นวิชาที่ “โลกแห่งความหลงผิด” สอนเธอ
ที่ไม่นับเป็น “ความรู้” ไม่ใช่ “ความรู้แท้” ไม่ใช่ “วิชา” แต่เป็น “อวิชชา” เป็น “ความหลอกลวง”
เพราะนำให้เธอ “ออกห่างจากตัวเองและคนอื่นไปเสียไกล”
๓. ไม่สมกับ “ความรู้แท้”
ที่ควรจะต้องทำให้เธอ “ยึดมั่นในคุณค่าของตัวเองและการพบความสุขในการมีคนอื่น” ซึ่งนั่นคือ “สวรรค์”
๔. บัดนี้
พวกเธอ “คนเก่ง คนมั่งมี คนจองหอง” ทั้งหลายเอ๋ย พวกเธอต้องมาอยู่ใน “โลก” กันแล้วนะ “โลก” ที่ไม่เป็น “สวรรค์”
เพราะความดื้อจองหองของพวกเธอ พวกเธอเถลไถลออกมาไกลจาก “สวรรค์” มากเหลือเกินแล้ว รู้ไหม?
๕. ที่นี่ ใน “โลกแห่งความเห็นแก่ตัว” ใบนี้
โลกที่สอนแต่ “อวิชชา” ให้เธออยู่นี้ นับแต่วันแรกที่พวกเธอลืมตาขึ้นมาดูโลกนี้กัน ฉันซึ่งเป็นองค์ความรักที่เป็นผู้สร้างพวกเธอมา ได้พยายามจะใช้ “ความรัก” ของฉัน ฝืนสู้เอาชนะ “ความจองหอง” ที่ก่อให้เกิด “ความโกรธเกลียด” ความไม่พอใจคุณค่าใน “ตัวพวกเธอ” และใน “ตัวคนอื่น”
แต่ก็สู้แรง “ความจองหองโกรธเกลียด” ที่มีอยู่ในใจของพวกเธอไม่ไหวเลยจริงๆ
๖. “ความจองหองโกรธเกลียด” ในใจของพวกเธอ
มันพยายามที่จะทำให้พวกเธอเป็น “ทรราช” เป็น “ผู้กดขี่ข่มเหง” เป็น “ผู้คอยเอารัดเอาเปรียบ” คอยแต่จะเหยียบย่ำตัวเองให้ต่ำลง และทำให้คนอื่นจะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะคอยอยู่เป็น “เพื่อน” ให้กับตัวเอง และให้กับกันและกัน
“อวิชชา” ของโลก ที่สอน “ความจองหองโกรธเกลียด” ในใจของพวกเธอ มันครอบงำความคิด การกระทำ คำพูด และการใช้ชีวิตทั้งหมดของพวกเธอไปแล้ว มันทำให้พวกเธอเชื่อฟังมันจนโงหัวไม่ขึ้น พวกเธอเคารพเชื่อฟังมันเหมือนมันเป็นเจ้าชีวิตของพวกเธอไปแล้ว
๗. ในขณะที่กับฉัน
ที่เป็นผู้สร้างพวกเธอขึ้นมาด้วย “ความรัก” แท้ๆ สิ่งที่ฉันมอบ “วิชา” ที่เป็น “ความรู้แท้” ให้กับพวกเธอ
เป็นความรู้ที่จะทำให้พวกเธอเคารพตัวเองเพราะมองเห็นคุฌค่าของตัวเอง และสอนให้พวกเธอมองเห็นคุณค่าของการมีกันและกันกับคนอื่น ว่าจะนำมาซึ่งความช่วยเหลือประคับประคองที่ส่งผลดีแท้จริงกับการใช้ชีวิตของตน
สอนให้พวกเธอรู้จักฝืนใจตัวเองที่จะไม่ทำสิ่งใดๆที่จะเป็นการทำร้ายคุณค่าทั้งสองประการนั้น
๘. แต่พวกเธอถูก “อวิชชา”
มันล้างสมองเสียจนหมดสิ้นแล้ว และหันมามองว่าฉันนี้เป็นศัตรูของพวกเธอ ฉันจ้องจะทำร้ายทำลายพวกเธอ
จึงคิดว่า “วิชา” คือ “ความรู้แท้” ที่ฉันแนะนำให้พวกเธอทำนั้น ฉันกำลังบังคับกดขี่ข่มเหงพวกเธออยู่ ฉันต้องการให้พวกเธอมาอยู่ใต้อำนาจของฉัน
ฉันทำให้พวกเธอหมดอิสรภาพ ต้องกลายมาเป็นทาสของฉันตลอดชีวิต พวกเธอจะทำอะไรเพื่อ “ความสุขความเจริญ” ของพวกเธอก็ไม่ได้สักอย่าง จะต้องมาคอยทำตามที่ฉันสั่งให้ทำ
๙. “อวิชชา” ในโลก
ได้ทำให้ “ความหวังดี” ของฉัน กลายเป็น “ความประสงค์ร้าย” ไปเสียได้ ฉันสู้พวกมันไม่ได้เลยจริงๆ
“ความสุขความเจริญ” ที่เป็นเพียง “ชั่วคราว” ที่พวกมันหลอกให้พวกเธอหลงเชื่อมันนั้น มันช่างได้ผลดีเกินคาดเหลือเกิน
มันทำให้พวกเธอหลงเชื่อพวกมัน แล้วพาลมาเกลียดชังฉันเข้าให้อย่างนี้ หาว่าฉันตั้งหน้าตั้งตาจะไปบังคับอะไรพวกเธอเพื่อประโยชน์ที่ฉันจะได้
มันจริงเสียที่ไหนกันเล่า ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ฉันมีแต่จะรักและหวังดีกับพวกเธออย่างเดียวเท่านั้น
๑๐. ใครๆเขาก็พูดกันว่า
สิ่งที่คนพวกนั้นในโลกที่พวกเขาสอน “อวิชชา” ให้พวกเธอมา แล้วเขาก็บอกว่า ความรู้ของพวกเขานั้น จะนำมาซึ่ง “ความเจริญ ความมีชื่อเสียง ความสำเร็จ ความเด่น ความรุ่งโรจน์สว่างไสว”
จะพาให้พวกเธอก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นไป ไม่ช้าก็จะได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ แล้วพวกเธอก็ไปหลงเชื่อหัวปักหัวปำนั้น
๑๑. พวกเธอ “คนเก่ง คนมั่งมี คนจองหอง” ทั้งหลายเอ๋ย
อย่าให้พวกเขามาหลอกพวกเธออย่างนั้นกันเลย แล้วก็ไปดูถูกดูแคลน “ความรู้แท้” ที่ฉันพยายามจะสอนพวกเธอเลย
แล้วไปไม่ยินดีที่จะฝืนใจฝืนกายระมัดระวังการใช้ชีวิตตามที่ฉันสอน หาว่าฉันจงใจจะมาบังคับขู่เข็ญอะไรพวกเธอ มองอะไรเห็นผิดเป็นชอบไป
คิดว่าสิ่งที่ฉันบอกมามันใช้ไม่ได้ มันไม่ช่วยให้ชีวิตพวกเธอดีขึ้น มีแต่จะแย่ลง แล้วใครๆเขาก็จะมาดูถูกเหยียดหยามพวกเธอเอาได้
คิดว่าพวกเธอจะต้องตกอับจนลง เพราะมาหลงเชื่อ “วิชา” ที่เป็น “ความรู้แท้” ที่ฉันสอน
แล้วก็เลยกลับไปหลงชื่นชม มอง “อวิชชา” ที่เป็น “ความรู้ปลอม” นั้นว่าดี ด้วยความหมกมุ่นตามใจตัวเอง ปล่อยเนื้อปล่อยตัวหลงผิดไปอย่างนั้นเลย
๑๒. พวกเธอจงรู้ไว้เถิดว่า “หนังสือชีวิต”
ที่โลกใบนี้เขาหยิบยื่นให้พวกเธออ่านนั้น เป็นหนังสือที่เอาไว้สำหรับ “คนโง่” เป็นแนวทางในการใช้ชีวิตเพื่อที่จะเอาแต่ทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ
แต่เป็นงานที่จืดชืด จำเจ น่าเบื่อ ไม่ส่งผลให้ได้ค่าตอบแทนเป็นกอบเป็นกำแท้จริงอะไร นอกจากจะได้เป็นหุ้นลม เป็นเงินที่จะกลายเป็นเศษกระดาษในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน เป็นทองที่ไม่มีทองจริงๆค้ำประกัน หรือเป็นทองที่เป็นทองจริงๆ แต่ทุกคนในโลกเศรษฐกิจต่างล่มสลายไม่มีใครต้องการทองอีกต่อไปแล้ว
นั่นแหละ หนังสือชีวิตเล่มนี้จะสอนการใช้ชีวิตสำหรับคนโง่ที่มองอะไรไม่ออกอย่างนี้เท่านั้น
๑๓. วันสมโภชแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ
หนังสือวิวรณ์ของนักบุญยอห์น บทที่ ๑๒ ข้อ ๑ ท่านบอกว่า “เครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏในสวรรค์ คือ สตรีผู้หนึ่ง มีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ”
พ่อสุทธิ
"ยามชัง" โดย คุณพ่อเปโตร สุทธิ ปุคะละนันท์ จ. ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๗
“ฝนตก” พ่อสุทธิ
“ฝนตก”
๑. พี่น้องที่รัก ในตอนดึกวันหนึ่ง
ฝนกระหน่ำอย่างหนัก พ่อเปิดประตูห้องออกมารับความเย็นและละอองของมัน ฟังเสียงของมัน แล้วก็เดินเล่นอยู่ใต้หลังคาโรงประชุมข้างห้องนอน
ฝนตกที่ไหนก็เหมือนกัน เสียงอื้ออึงของเม็ดฝนที่ตกใส่หลังคาดังสนั่น ข้างนอกฟ้ายามค่ำคืนที่มืดอยู่แล้ว มันก็ยิ่งกลับดูมืดไปกว่าเก่าอีก มีสายฟ้าฟาดผ่านท้องฟ้าเป็นระยะ
๒. เสียงฝนที่ตกบนหลังคากระเบื้อง
หลังคาสังกระสี หรือหลังคามุงจาก มันก็ดังรบกวนใจเจ้าของบ้านไม่ต่างกัน ไม่ว่าฝนจะตกในเมืองหรือในป่า
ต่างกันแค่คนที่นอนอยู่ในห้องนอนหรู มีหน้าต่างสองชั้นสามชั้นกันเสียงข้างนอกได้สนิท กับที่นอนของคนจรจัดที่อาศัยนอนใต้สะพานได้ยินเสียงฝนถนัดชัดเจน ไม่เหมือนห้องนอนของพ่อค้ารวยๆ นักธุรกิจพันล้านทั้งหลาย
๓. เสียงฝนก็มีเสียงเดียว
ไม่ว่าผู้ฟังจะมีรสนิยมในการฟังเสียง การมีเครื่องเสียงชั้นดีดัดแปลงให้ได้เสียงที่นุ่มนวลคมชัดจากเครื่องเสียงที่ใช้หลอดหรือลำโพงชั้นเยี่ยมเพียงใด
๔. และมันอาจนำความกังวล
มาให้มากน้อยต่างกันนิดหน่อย อาจมาถึงตัวช้ากว่าบ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องเจอปัญหาคล้ายๆกัน
ปัญหาน้ำรั่ว หลังคาสังกระสี หลังคาจากอาจรับรู้เร็วหน่อยกว่าหลังคากระเบื้องหรือหลังคาตึก แต่สุดท้ายก็รั่วพอกัน เพราะไม่ช้าน้ำที่รั่วก็จะซึมจนฝ้าเสียหายหรือทำให้ผนังตึกร้าวได้
๕. น้ำฝนก็เหมือนกัน
บ้านชาวบ้านอาจเจอน้ำท่วมหน้าบ้าน หลังบ้านทันตา ต้องรีบขนย้ายของ
ขณะที่ชาวเมืองต้องไปเจอน้ำท่วมบนถนนรถติดยาวเป็นกิโลๆ กว่าจะถึงที่ทำงานก็ได้เวลากลับบ้านพอดี
๖. และสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นใคร
จะสูงจะต่ำ ฐานะอะไร จะมีเกียรติต่ำเกียรติอย่างไร ถ้าได้ก้าวออกไปสู่ฝน ผลลัพธ์ก็มีเหมือนกันประการเดียว คือ เปียก แล้วก็เป็นหวัด
ทั้งชาวบ้านธรรมดา คนรวย คนมีฐานะดี คนสูงส่ง ตาสีตาสา ชาวนาชาวไร่ คนกระหม่อมหนากระหม่อมบาง หมอพยาบาลที่รู้เรื่องการดูแลสุขภาพหรือคนที่ชอบเดินตากฝนเพราะอายที่จะพกร่ม กลัวคนค่อนว่าอ่อนแอเรื่องมากเหมือนพวกผู้หญิง ต่างก็เป็นหวัดกันถ้วนหน้า
อาจไม่ต้องไปตากฝนเป็นหวัดเองก็ได้ แต่เดี๋ยวลูกน้อง ชาวบ้านคนงานไปตากแล้วเป็นหวัดเอาเชื้อมาแจกให้เวลาเดินผ่านสวนกัน เวลาสั่งงาน เวลาประชุม เวลาไปเดินห้างหรือไปทานข้าวร้านอาหารแพงๆ แล้วไปจับโต๊ะเก้าอี้ตรงที่คนเป็นหวัดเขาเพิ่งจับไปหมาดๆ
๗. ว่าแล้ว พ่อก็เดินกลับเข้าห้อง
จะไปอาบน้ำสักหน่อยเตรียมจะเข้านอน อ้าว ปรากฏว่าน้ำไม่ไหล ปั๊มน้ำเกิดจะไม่ทำงานเข้าให้ เลยต้องเอาไฟฉายกางร่มออกไปส่องดูว่ามันเป็นอะไร
เดินหงุดหงิดงุ่นง่านรอบปั๊มน้ำอยู่นาน หวังว่าเดินไปเดินมาแล้วปั๊มน้ำมันจะกลับมาติดของมันได้ แต่มันก็ไม่ติด นึกในใจว่านี่ถ้ามีวาสนาได้อยู่ในเมือง คงมีช่างสารพัดช่างในบ้านมาช่วยแก้ไขเดี๋ยวนั้นเลย
๘. แต่มานึกอีกที นี่เราอยู่บ้านนอกนี่นา
คงต้องเป็นพรุ่งนี้แล้วล่ะที่จะขอให้ใครเขามาช่วยจัดการให้ คืนนี้ฝนตกอากาศเย็นแบบนี้แล้ว ได้ละอองฝนมาพอสมควร ไม่ต้องอาบน้ำก็ได้ ไม่ได้อยู่ในเมือง ไม่ต้องเจอผู้คนเท่าไรนัก คงไม่มีใครต้องมาทนกลิ่นสาบคนอายุมากอย่างเราหรอก
แล้วนึกไปว่า เอ้อ ฝนตกถึงจะเดือดร้อนกันถ้วนหน้าก็จริง แต่ตอนนี้ เราที่วาสนาแค่นี้ รับรู้ความเดือดร้อนได้เร็วทันใจดี เลยได้ใช้โทษบาปบ่อยหน่อย ตายไปคงไม่ต้องไปไฟชำระนานนัก ถ้าคิดได้นะ ส่วนใหญ่พ่อเองก็จะคิดไม่ค่อยจะได้ล่ะ บ่นไปหลายกระบุงแล้ว คงต้องไปเพิ่มเวลาในไฟชำระแน่
๙. หมายเหตุ
นี่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น ไม่มีส่วนพาดพิงเกี่ยวข้องถึงบุคคลจริงแต่อย่างใด
๑๐. หนังสือปรีชาญาณ
บทที่ ๓ ข้อ ๑ ในมิสซาวันพุธที่จะถึงนี้ สัปดาห์ที่ ๑๙ เทศกาลธรรมดา ปีคู่ คนโบราณที่ท่านเชื่อในพระ ท่านบอกว่า “วิญญาณของผู้ชอบธรรมอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า ความทุกข์ทรมานใด ๆ จะทำร้ายเขาไม่ได้”
พี่น้องเข้าใจว่าอย่างไร? ฝนตกจะไม่เปียก ไม่ต้องเป็นหวัดใช่ไหม? อยู่ในกระท่อม ในกระต๊อบ ก็ไม่มีฝนสาด ไม่มีน้ำรั่วหยดใส่หน้าใช่ไหม? หรือว่าอย่างไร? คนชอบธรรมอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้าตรงไหน แบบใดกัน?
๑๑. พี่น้องเคยมีประสบการณ์
ได้รับการดูแลจากพระกันบ้างไหม? พระดูแลพี่น้องอย่างไร? ใครที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากพระตรงๆให้ปัญหาลดน้อยลงถึงไม่มีเลยบ้าง?
หรือใครที่ได้รับความช่วยเหลืออ้อมๆเป็นพระพรที่เรานึกไม่ถึง ช่วยให้มีน้ำอดน้ำทน มีใจดีเหมือนเดิม จนสามารถจะผ่านเรื่องร้ายๆเหล่านั้นมาได้?
และใครที่ได้ทั้งสองแบบคละเคล้ากันไปตามแต่พระจะให้อะไรตอนไหนอย่างไร?
แล้วชีวิตตอนนี้หรือตอนไหนของพี่น้องหรือตลอดมา ยังลำบากอยู่หรือเปล่า? หรือว่าสบายดีหมดทุกอย่าง?
๑๒. แล้วมีใครบ้าง?
ที่มีแต่ปัญหาจนท้อไม่อยากจะเชื่อในพระแล้ว หมดศรัทธา ไม่ศรัทธาเหมือนเก่าแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงกับทิ้งพระไป?
แล้วใครบ้างที่หมดศรัทธาทิ้งพระไปนานแล้วบ้าง?
๑๓. และมีใครที่ในความเป็นจริง
ดูเหมือนจะไม่เชื่อพระแล้วล่ะ คิดแต่จะไปหาทางแก้ไขของตัว ไม่ได้หวังจะรอแต่พระ จะว่าไม่เชื่อพระก็ไม่เชิง แต่จะว่าไปมันก็คือการไม่เชื่อพระนั่นแหละ แต่ก็ยังไปวัดอยู่นะ ไม่ใช่จะไม่ไป แต่ก็ไปวัดแค่พอให้ดูไม่น่าเกลียดต่อหน้าพระ และต่อหน้าใจตัวเอง รวมทั้งต่อหน้าธารกำนัล พ่อแม่ญาติพี่น้อง ชาวบ้านชาวช่อง กลัวเขาจะว่าเอาได้ว่าเป็นคริสตังประสาอะไร ไม่ไปวัด ด้วยแหละ
ซึ่งถ้าให้พูดจริงๆ มันก็ยังรู้สึกกระดากใจที่ดีกับพระแค่ในพิธีการเท่านั้น แต่ใจจริง ชีวิตจริง มันก็ไม่ค่อยจะเชื่อและวางใจได้สนิทนักกับสิ่งที่พระจะสอนให้ไปหนักแน่นวางใจในการดูแลของพระสักเท่าไร สู้เราไปจัดการของเราเองจะดีกว่า มันสบายใจ มั่นใจของเราเองมากกว่า รอพระไม่รู้จะได้อะไรก็ยังไม่แน่ และได้เมื่อไรก็ยังไม่รู้อีกด้วย
๑๔. ไหนใครมีความเชื่อในพระของตนอย่างไร?
ลองมาเล่าแบ่งปันกันดูสักหน่อยเป็นไร พี่น้อง
พ่อสุทธิ