Slow Step Stories
เรื่องเล่าของการเดินทางเนิบๆ และสร
Travel Notebook #บันทึกไว้ที่ไต้หวัน
ตอนที่ 4: ไต้หวัน สวรรค์บนเกาะของนักกิน
ไต้หวันได้ชื่อว่าเป็นสรรค์ของนักกิน จึงไม่น่าแปลกใจ ถ้าเป้าหมายของนักท่องเที่ยวที่มาไต้หวันส่วนหนึ่งคือ “ทัวร์กิน” หรือถ้าจะให้ใกล้เคียงกับปริมาณและความถี่ในการกินก็ต้องเรียกว่า “ทัวร์ตัวแตก” ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ตลาดกลางคืน ร้านริมทาง และคาเฟ่ ก็มีให้เลือกครบและน่ากินกันไปคนละแบบ
สำหรับร้านอาหารสไตล์ไต้หวันนั้นมีให้แวะชิมได้ทั่วไป เมนูที่กินง่ายและเป็นที่นิยมทั้งในหมู่คนไต้หวันและนักท่องเที่ยว อย่างเช่น หมูพะโล้ รสชาติเค็มหวานกำลังดี เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวนุ่มๆและซุปร้อนๆนั้น เป็นอาหารที่กินได้บ่อยไม่มีเบื่อ นอกจากนี้ยังมีก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นรสเด็ด ที่เน้นเนื้อนุ่มๆและเส้นที่เหนียวกำลังดี ส่วนตามห้างก็มีอาหารอร่อยหน้าตาดีให้นั่งกินได้อย่างสะดวกสบาย
ด้านตลาดกลางคืนหรือ night market นั้น จัดว่าเป็นแหล่งของกินขึ้นชื่อของไต้หวันและมีกระจายตัวอยู่ทั่วไป สะดวกแถวไหนก็แวะไปกินแถวนั้นได้เลย ในตลาดเราจะเห็นร้านค้าและรถเข็นจอดอยู่เต็มสองข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นของกินเล่น และกินจริง ทั้งเมนูปิ้ง ย่าง ทอด ผัด ต้ม ตุ๋น ครบครัน ไม่รู้จะเลือกกินร้านไหนก่อนดีเลย
เราเลยลองใช้ชีวิตติดรีวิวด้วยการเลือกร้านตามที่เค้าแนะนำกันมา และเล็งว่าร้านไหนที่มีคนต่อแถวซื้อ ก็ไปชะโงกดูหน้าตาของกินสักนิด ถ้าถูกใจ ก็ไปต่อคิวกับเค้าบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ผิดหวัง อร่อยคุ้มค่าการรอคอย อย่างเช่น ซาละเปาโอ่ง บะหมี่อาจง หรือเผือกทอดไส้หมูหยองไข่แดง บางเมนูยังไม่ทันได้ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน พอได้ปุ๊ป ก็ถูกกินทำลายหลักฐานทันที
ส่วนสาย cafe hopper ก็ต้องถูกใจเช่นกัน เพราะที่ไต้หวันมีคาเฟ่เก๋ๆน่ารักให้แวะชิมและถ่ายรูปกันไม่หวาดไม่ไหว นอกจากหน้าตาและการตกแต่งภายในร้านที่น่านั่งเล่นชิลล์ๆแล้ว แต่ละร้านยังมีขนมเมนูเด็ดไม่ซำ้กันด้วย เช่น สโคน เบเกอรี่สไตล์ฝรั่งเศส หรือไอศครีมรสแปลกๆ จัดว่าเป็นประสบการณ์ชิมขนมพร้อมกับจิบเครื่องดื่มที่รื่นรมย์จริงๆ
_______________
ตลอดระยะเวลาที่ตะลอนอยู่ในไต้หวันนั้น เรานั่งรถบัสบ้างรถไฟฟ้าบ้าง และเดินเข้าซอยโน้นออกซอยนี้ทั้งวันทั้งคืนไม่ตำ่กว่าวันละหมื่นก้าว เพื่อแวะไปตามโพยสถานที่ต้องไปและของกินที่ไม่ควรพลาดทั้งหลาย แม้ว่าจะต้องพกอุปกรณ์เสริมอย่างเช่น หน้ากาก และแอลกอฮอล์ เพื่อความไม่ประมาทอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ทำให้ประสบการณ์การเดินทางครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง
ภายใต้หน้ากากและความรู้สึกระแวดระวังต่อสถานการณ์โรคระบาด เรายังรู้สึกว่าคิดไม่ผิดเลยที่ตัดสินใจมาไต้หวันครั้งนี้ เพราะนอกจากจะได้เดินชมบ้านเมืองและสถาปัตยกรรมแบบเอเชียตะวันออกแล้ว ยังได้แวะร้านรวงที่เต็มไปด้วยของน่ารักมีสไตล์ และที่ถูกใจที่สุดก็คือ สารพัดของกิน ที่ขนาดว่ากินวันละหลายมื้อแล้ว ยังกินได้ไม่ครบเลย
นอกจากนี้การที่เราได้มีโอกาสเดินทางไปในสถานที่ๆไม่เคยไป ยังให้ประสบการณ์จริง ที่ไม่อาจทดแทนได้ด้วยการอ่าน ดู หรือฟังเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดียระดับเอ็ชดีเพียงใด หรือแม้แต่โลกเสมือนจริงอย่างเมตาเวิร์ส จึงได้แต่หวังว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้น นักเดินทางทั้งหลายจะได้มีโอกาสออกไปท่องโลกกันอย่างไม่ต้องวิตกกังวลอีกครั้ง
_______________
ติดตาม “Travel Notebook #บันทึกไว้ที่ไต้หวัน” อีก 3 ตอนได้ดังนี้
“ซีเหมินติง แหล่งช้อปปิ้งทุกสิ่งของไต้หวัน”
“จิ่วเฟิ่น หมู่บ้านโบราณริมเขา”
“ต้าเต้าเฉิง ย้อนอดีตกับย่านเมืองเก่า”
#ไต้หวัน #เที่ยวไต้หวัน #ของกินไต้หวัน
Travel Notebook #บันทึกไว้ที่ไต้หวัน
ตอนที่ 3: ต้าเต้าเฉิง ย้อนอดีตกับย่านเมืองเก่า
วันนี้จุดหมายปลายทางของเราคือ ย่านต้าเต้าเฉิง (Dadaocheng) บริเวณนี้เคยเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่เจริญรุ่งเรืองของไต้หวันในช่วงปลายศตวรรษที่18 จนถึงศตวรรษที่19 โดยมีการติดต่อค้าขายกับต่างชาติอย่างคึกคัก สำหรับสินค้าหลักจะเป็นพวกสมุนไพรยาจีน ผ้า อาหารแห้ง และใบชา
ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะลองไปสัมผัสกลิ่นอายและบรรยากาศของย่านการค้าในอดีตเท่านั้น แต่เมื่อไปถึง กลับพบว่าสถาปัตยกรรมย้อนยุคที่หลงเหลืออยู่ในแถบนี้ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ทั้งอาคาร บ้านเรือน ร้านค้า และบรรดาตึกแถว ล้วนแต่หน้าตาคลาสสิก ถูกใจพวกชอบตึกรามบ้านช่องเก่าอย่างเรา
สำหรับถนนสายหลักของย่านนี้ คือ ถนนตี๋ฮว่า (Dihua) ซึ่งเป็นถนนที่เก่าแก่ที่สุดในไทเป ถูกสร้างขึ้นในทศวรรษที่ 1850 ปัจจุบันแม้ว่าร้านขายของแบบดั้งเดิม จะยังมีให้พบเห็นอยู่ทั่วไป แต่ตึกบางแห่งถูกปรับให้เป็นร้านอาหาร คาเฟ่ หรือร้านขนมแทน ส่วนสองข้างทางก็มีรถเข็น โต๊ะขายของ และฟู้ดทรัก ตั้งเรียงรายอยู่ รอเสิร์ฟขนมและของกินเล่นให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมา
เรายังได้เดินลัดเลาะเข้าไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ จนเจอร้านขายของที่ระลึก พวกงานผ้าลวดลายอาร์ตๆคิวท์ๆ สไตล์ไต้หวัน เหมาะกับการซื้อเป็นของฝาก หรือจะเอาไว้สะสมเองก็เข้าที รวมถึงร้านขายกระเป๋าสายรุ้งและกระเป๋าพลาสติกสานลายพิมพ์นิยมของไต้หวัน ที่แขวนโชว์สินค้าไว้เป็นแถวเป็นแนว ชวนให้อยากสะพายกลับบ้านด้วย
ปกติย่านต้าเต้าเฉิงจะคึกคักที่สุดในช่วงก่อนวันตรุษจีน โดยถนนหนทางแถวนี้จะคราครำ่ไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้อของใช้สำหรับวันตรุษจีน คล้ายกับย่านเยาวราชของไทย แต่วันที่เราไปนั้น เพิ่งเลยวันตรุษจีนมาหมาดๆ จึงดูไม่ค่อยพลุกพล่านนัก เราเลยเดินเข้าออกร้านต่างๆและแวะถ่ายรูปได้อย่างไม่ต้องรีบร้อน
_______________
ติดตาม “Travel Notebook #บันทึกไว้ที่ไต้หวัน” อีก 3 ตอนได้ดังนี้
“ซีเหมินติง แหล่งช้อปปิ้งทุกสิ่งของไต้หวัน”
“จิ่วเฟิ่น หมู่บ้านโบราณริมเขา”
“ไต้หวัน สวรรค์บนเกาะของนักกิน”
#ไต้หวัน #เที่ยวไต้หวัน #ต้าเต้าเฉิง
Travel Notebook #บันทึกไว้ที่ไต้หวัน
ตอนที่ 2: จิ่วเฟิ่น หมู่บ้านโบราณริมเขา
วันนี้เราเริ่มออกตัวตั้งแต่เช้า เพราะตั้งใจจะไปเที่ยวหมู่บ้านจิ่วเฟิ่น (Jiufen) หมู่บ้านเล็กๆบนไหล่เขา ซึ่งในอดีตเคยเป็นเหมืองทองมาก่อน หมู่บ้านนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันอาคารดั้งเดิมบางส่วนยังได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ทำให้พอหลงเหลือบรรยากาศของบ้านเรือนในยุคนั้นอยู่บ้าง
หลังจากนั่งรถบัสจากไทเปมาประมาณหนึ่งชั่วโมง เราก็ลงที่ป้าย Jiufen Old Street จากนั้นก็เดินตามคนอื่นไปยังย่านถนนสายเก่า บริเวณทางเดินเข้าค่อนข้างจะเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว และตั้งแต่ต้นซอยก็มีร้านของกินมายั่วนำ้ลายตลอดทางทั้งเมนูเส้นและเมนูข้าว ใครถูกใจเมนูไหนก็เลือกกินสะสมพลังงานไว้ก่อนเดินต่อได้เลย
นอกจากนี้ยังมีขนมและของกินเล่นให้เลือกเพิ่มระดับนำ้ตาลกับแคลอรี่ด้วย อย่างเช่น ไส้กรอกไต้หวัน และโรตีไอติมถั่วตัดโรยด้วยผักชี ซึ่งเป็นขนมรสชาติผสมผสานระหว่างหวาน มัน เย็น ปนเขียว แต่โดยรวมแล้วก็อร่อยดี หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว เราจึงเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายไปแวะร้านขายของฝากของที่ระลึก อย่างเช่น โปสการ์ด หรือถุงใส่แก้วแนวรักษ์โลกลวดลายน่ารักแทน
เมื่อผ่านย่านของกินของช้อปช่วงต้นซอยมาแล้ว จะมีทางเดินขึ้นและลงบันได เพื่อไปยังจุดชมอาคารไม้เก่าแก่ ซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นร้านนำ้ชาบรรยากาศดี ที่มีการสาธิตวิธีชงชา พร้อมกับจัดขนมสีสวยเอาไว้ให้กินคู่กันตอนจิบชาด้วย สัญลักษณ์อีกอย่างของจิ่วเฟิ่นก็คือ ในยามคำ่คืนโคมไฟสีแดงที่แขวนเรียงรายอยู่จะส่องสว่าง ให้บรรยากาศย้อนยุคและสวยคลาสสิกไปอีกแบบหนึ่ง
ช่วงขากลับก่อนถึงป้ายรถบัสนั้นจะเป็นทางเดินลงเขา เราจึงมีโอกาสได้เดินเล่นพร้อมกับชมทิวทัศน์บ้านเรือนริมเขา รวมถึงท้องทะเลที่มองเห็นไกลๆอยู่ด้านล่าง ถ้าเหนื่อยก็หยุดพักถ่ายรูป แวะซื้อขนม หรือซื้อนำ้กินก็ได้ นับเป็นวันดีๆที่อิ่มทั้งท้องและอิ่มใจกับวิวสวย แถมสภาพอากาศยังเป็นใจให้เดินได้เรื่อยๆ ไม่เหนื่อยเกินไปด้วย
_______________
ติดตาม “Travel Notebook #บันทึกไว้ที่ไต้หวัน” อีก 3 ตอนได้ดังนี้
“ซีเหมินติง แหล่งช้อปปิ้งทุกสิ่งของไต้หวัน”
“ต้าเต้าเฉิง ย้อนอดีตกับย่านเมืองเก่า”
“ไต้หวัน สวรรค์บนเกาะของนักกิน”
#ไต้หวัน #เที่ยวไต้หวัน #จิ่วเฟิ่น
Travel Notebook #บันทึกไว้ที่ไต้หวัน
ตอนที่ 1: ซีเหมินติง แหล่งช้อปปิ้งทุกสิ่งของไต้หวัน
“เราควรจะไปต่อ หรือพอแค่นี้ดี”
ฉันส่งไลน์ไปถามสมาชิกร่วมทริปถึงแผนการเดินทางไปไต้หวันของเรา ที่จะถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ หลังจากฟังข่าวสถานการณ์โควิด-19 (หรือชื่อเดิมว่า ไวรัสโคโรนา) ที่เริ่มระบาดในประเทศจีน
ติ๊ง เสียงข้อความไลน์เด้งตอบกลับมาอย่างไวว่า
“ไปสิ ตั๋วก็ซื้อแล้ว ตั๋วโปรด้วยยกเลิกไม่ได้ โรงแรมก็จองไว้หมดแล้ว”
“เตรียมอุปกรณ์ไปให้พร้อม หน้ากาก เจลแอลกอฮอล์ ก็คงไม่เป็นไรหรอก”
“อ้อ อย่าลืมเอาเสื้อกันหนาว กับร่มไปด้วยนะ”
เป็นคำตอบที่มาพร้อมกับลิสต์รายการของจำเป็นที่ต้องเอาติดตัวไปด้วย
หลังจากจบบทสนทนาและประเมินสถานการณ์โควิดในขณะนั้นแล้ว เราจึงตัดสินใจจัดกระเป๋าออกเดินทางไปไต้หวันในช่วงปลายเดือนมกราคม ปี 2563 ซึ่งเป็นการไปไต้หวันครั้งแรกของเรา และเป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งสุดท้าย ก่อนที่โควิดจะระบาดไปทั่วโลก
_______________
เมื่อเครื่องลงจอดที่ไต้หวันเรียบร้อยแล้ว เราก็ตรงไปยังโรงแรมที่พัก ซึ่งอยู่ในย่านซีเหมินติง (Ximending) ย่านช้อปปิ้งยอดนิยม อารมณ์ประมาณ “สยามสแควร์” ของไทย หรือ “ชิบูย่า” ของญี่ปุ่น เรียกว่าถ้ามาเที่ยวไต้หวันแล้ว ต้องแวะมาย่านซีเหมินติง ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึงไต้หวันเลยทีเดียว
หลังจากจัดแจงเอากระเป๋าเดินทางไปเก็บที่โรงแรมแล้ว เราก็ออกไปเดินสำรวจสถานที่ทันที ภาพแรกที่เห็นคือถนนหนทางที่มีรถวิ่งขวักไขว่ไปมา ส่วนตามตึกต่างๆก็มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่สะดุดตา รวมถึงป้ายไฟติดอยู่เต็มไปหมด โดยเฉพาะบริเวณสี่แยก ดูคล้ายกับเป็นการต้อนรับและกระตุ้นขาช้อปทั้งหลายไปในตัว
เมื่อเดินมาถึงบริเวณถนนคนเดิน เราสะดุดตากับของกินสไตล์ไต้หวัน ทั้งของคาว ของหวาน เครื่องดื่ม ซึ่งมีให้เลือกหลายร้าน ทั้งร้านจริงจังนั่งกินได้และรถเข็นข้างทาง เราเลือกประเดิมร้านแรกด้วยอาหารยอดนิยมของไต้หวันอย่าง ข้าวหน้าหมูพะโล้ กับซุปลูกชิ้น ซึ่งเป็นเมนูง่ายๆแต่รสชาติอร่อยลงตัว นอกจากนี้ยังมีขนม ของกินเล่นอีกหลายอย่างให้เลือกตลอดทาง
ส่วนเมนูที่พลาดไม่ได้เมื่อมาถึงไต้หวันก็คือ ชานมไข่มุก เพราะไต้หวันถือเป็นแหล่งกำเนิดของชานมไข่มุก ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่เราจะเห็นร้านชานมไข่มุกทั้งร้านเล็กและร้านใหญ่แทรกตัวอยู่ทั่วไปในไต้หวัน โดยมีชาทั้งรสชาติแบบดั้งเดิมและรสชาติแปลกใหม่ให้ลองชิมตามความชอบ
นอกจากของกินแล้ว สองข้างทางของย่านซีเหมินติงยังเรียงรายไปด้วยร้านขายของสารพัดอย่าง เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง รองเท้า ขนม และของฝาก ร้านของฝากบางร้านถึงกับมีคนขายคนไทย คอยให้คำแนะนำด้วยว่าขนมอะไรที่กำลังเป็นที่นิยมซื้อกลับไปฝากคนทางบ้าน เรียกว่ากลับไปไม่มีตกเทรนด์และถูกใจผู้รับแน่นอน เป็นการจับจ่ายใช้สอยที่เพลิดเพลินมาก
_______________
ติดตาม “Travel Notebook #บันทึกไว้ที่ไต้หวัน” อีก 3 ตอนได้ดังนี้
“จิ่วเฟิ่น หมู่บ้านโบราณริมเขา”
“ต้าเต้าเฉิง ย้อนอดีตกับย่านเมืองเก่า”
“ไต้หวัน สวรรค์บนเกาะของนักกิน”
#ไต้หวัน #เที่ยวไต้หวัน #ซีเหมินติง
Picture Memoir #คิดถึงญี่ปุ่น
ตอน นั่งรถไฟไปหาฟูจิ ที่คาวากุจิโกะ
“คาวากุจิโกะ” เป็นแหล่งพักผ่อนตากอากาศยอดนิยม เพราะมีทิวทัศน์ที่สวยงาม ทั้งทะเลสาบและภูเขาไฟฟูจิที่อยู่ใกล้กัน เมื่อเรานั่งรถไฟไปคาวากุจิโกะ เราจึงวาดหวังไว้อย่างเต็มที่ว่าจะได้นั่งชม นอนชม ภูเขาไฟฟูจิของจริงให้เต็มตาเสียที หลังจากที่เห็นแต่ในรูปภาพมานาน
แต่เมื่อรถไฟวิ่งเข้าสู่บริเวณภูเขาก่อนถึงจุดหมายปลายทาง หิมะก็ตกโปรยปรายลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ภาพบรรยากาศข้างทางกลายเป็นสีทึมๆมัวๆ เช่นเดียวกับภาพฝันถึงภูเขาไฟฟูจิของเรา เมื่อเห็นสภาพอากาศแบบนี้ เราจึงเริ่มทำใจล่วงหน้าว่า คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นภูเขาไฟฟูจิชัดๆแล้ว
หลังจากที่หิมะตกทั้งคืน เช้าวันต่อมาปรากฎว่าท้องฟ้ากลับสว่างสดใส ไม่มีเมฆสักก้อน ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทิ้งไว้เพียงร่องรอยเฉอะแฉะของหิมะที่ละลายแล้ว ภาพแรกของภูเขาไฟฟูจิที่เรามองเห็นจากโรงแรม จึงแจ่มชัดราวกับรูปบนปฏิทินเลยทีเดียว และวันนั้นทั้งวันอากาศก็เป็นใจให้เราเที่ยวชมภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบ และบ้านเมืองโดยรอบได้อย่างเพลิดเพลินสมกับที่รอคอยจริงๆ
#ญี่ปุ่น #เที่ยวญี่ปุ่น #ซากุระ
#ภูเขาไฟฟูจิ #ฟูจิ #คาวากุจิโกะ
Picture Memoir #คิดถึงญี่ปุ่น
ตอน หลงเสน่ห์เมืองเก่า ที่เกียวโต
“เกียวโต” เคยเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นมานานกว่าหนึ่งพันปี ที่นี่จึงยังคงมีกลิ่นอายของอดีต ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน วัด ศาลเจ้า และวิถีชีวิตของผู้คน เมื่อเราไปเยือนย่านเมืองเก่า ได้เห็นภาพหญิงสาวสวมชุดประจำชาติอย่างชุดกิโมโนเดินสวนกันไปมา ยิ่งชวนให้นึกถึงบรรยากาศในยุคสมัยก่อน
ในช่วงดอกซากุระบาน แม้ว่าเราอาจเดินชมความงามของซากุระได้เกือบทั่วทั้งเมือง แต่จุดรวมพลยอดนิยมของนักท่องเที่ยวคือ “ทางเดินนักปราชญ์” เพราะมีต้นซากุระเรียงรายอยู่สองข้างทางคล้ายอุโมงค์ดอกไม้ ส่วนยามเย็น การได้นั่งเล่นริมแม่นำ้คาโมะนั้น จัดว่าเป็นความสุขเรียบง่ายที่ไม่ควรพลาดอีกอย่างหนึ่ง
แม้ว่าเราจะมีโอกาสได้มาเยือนเกียวโตในช่วงเวลาจำกัด แต่พบว่าเมืองนี้มีเสน่ห์แทบจะในทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า สาย บ่าย เย็น คำ่ หรือยามฝนตกและแดดออก เป็นความงามจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ทำให้เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องกลับมาอีกครั้ง เพื่อเที่ยวแบบช้าๆแต่เก็บรายละเอียดให้ครบถ้วน
#ญี่ปุ่น #เที่ยวญี่ปุ่น #ซากุระ
#เกียวโต #เมืองเก่าเกียวโต
Picture Memoir #คิดถึงญี่ปุ่น
ตอน แวะย่านชานเมืองเล็ก ที่อาราชิยาม่า
“อาราชิยาม่า” เป็นย่านชานเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ติดภูเขา มีแม่นำ้ไหลผ่าน และอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเกียวโตนัก สามารถใช้เวลาเที่ยวสั้นๆสักครึ่งหรือหนึ่งวันก็ได้ เรามาถึงอาราชิยาม่าในตอนสายๆของวันที่ซากุระกำลังเบ่งบานและอากาศเย็นกำลังดี บรรยากาศโดยรอบจึงดูคึกคักไปด้วยผู้คน
บนถนนสายหลักมีร้านขนมน่ารักๆ ร้านอาหารหน้าตาดี และร้านขายของจิปาถะตลอดสองข้างทาง เราจึงเดินชมเมือง ชมซากุระ สลับกับแวะซื้อขนม ของกิน ของที่ระลึก และแวะทานอาหารได้อย่างสบายใจ บางร้านนอกจากของกินจะอร่อยถูกใจแล้ว บรรยากาศและวิวยังดีมากด้วย
เมื่อมาถึงอาราชิยาม่า เราก็ไม่พลาดที่จะไปแวะไปชม ป่าไผ่ สะพานไม้โทเก็ตสึเคียว และทางเดินเลียบแม่นำ้คัตสึระ ซึ่งเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของอาราชิยาม่า ระหว่างทางเรายังได้พบสาวๆในชุดกิโมโนสีสันสดใส และรถลากชมเมืองที่วิ่งผ่านไปมา ช่วยเพิ่มความรู้สึกย้อนยุคเล็กน้อยให้กับเมืองที่น่ารักแห่งนี้
#ญี่ปุ่น #เที่ยวญี่ปุ่น #ซากุระ
#อาราชิยาม่า #ป่าไผ่ #เกียวโต
Picture Memoir #คิดถึงญี่ปุ่น
ตอน แสงและเงาใต้ต้นซากุระ ที่ฟุนาโอกะ
“ฟุนาโอกะ” เป็นจุดหมายหนึ่งในแผนการทัวร์ซากุระของเรา เพราะที่นี่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นจุดชมซากุระที่สวยที่สุด 1ใน 100 แห่งของญี่ปุ่น ตอนที่เราเดินทางไปสวนปราสาทฟุนาโอกะนั้น เป็นช่วงที่อากาศปลอดโปร่งและดอกซากุระกำลังบานสะพรั่งพอดี
ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสและแสงแดดสวยเช่นนี้ เราจึงได้เห็นภาพดอกซากุระยามต้องแสงอาทิตย์ ในขณะที่แสงบางส่วนสาดส่องลอดกิ่ง ก้าน และดอกซากุระลงมา ทำให้เกิดแสงและเงาทาบลงบนสิ่งต่างๆภายใต้ต้นซากุระ จนกลายเป็นความงามอีกมิติหนึ่งที่น่าสนใจด้วย
เนื่องจากวันนั้นเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ จึงมีทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวมาชมซากุระกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ตั้งแต่คนรุ่นหนุ่มสาว ลูกเด็กเล็กแดง และผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งพร้อมใจกันออกมาเดินเล่น นั่งเล่น หรือขี่จักรยานกันอย่างเพลิดเพลิน เป็นภาพบรรยากาศครอบครัวที่อบอุ่นในวันดีๆวันหนึ่งทีเดียว
#ญี่ปุ่น #เที่ยวญี่ปุ่น #ซากุระ
#ฟุนาโอกะ #ปราสาทฟุนาโอกะ
#คิดถึงญี่ปุ่น
เมื่อถึงช่วงเปลี่ยนฤดูกาลหรือใกล้ถึงวันหยุดยาว เชื่อว่าหลายคนคงจะคิดถึงญี่ปุ่น แบบว่า “ตัวอยู่ไทย แต่ใจไปญี่ปุ่น” โดยเฉพาะเดือนเมษายนอย่างนี้ ปกติเราจะต้องได้ไปเดินเล่น กินขนม และชมซากุระที่ญี่ปุ่นกันแล้ว
แต่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ เรามาเปิดอัลบั้มรูปเพื่อซึมซับบรรยากาศญี่ปุ่นๆ พร้อมทั้งชมดอกซากุระไปพลางๆ พอให้หายคิดถึงกันดีกว่า
เรื่องเล่าของการเดินทางเนิบๆ
ไปข้างหน้าบ้าง ไปข้างหลังบ้าง
แวะซ้ายที แวะขวาที ตามอำเภอใจ
ไปช้าๆ แต่ไปนะ และคงถึงที่ไหนสักแห่ง