Payu Sagethaphat
Contact information, map and directions, contact form, opening hours, services, ratings, photos, videos and announcements from Payu Sagethaphat, Business consultant, .
เจ้าของธุรกิจหลายคนอยาก
ประสบความ "สำเร็จทางการเงิน"
แต่กลับไม่มี "ความรู้ทางการเงิน"
มันจึงทำให้ธุรกิจเจ๊งตั้งแต่เริ่ม แบบไม่รู้ตัว
และมารู้ตัวอีกทีตอนเกิดวิกฤตทางการเงิน
เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้
คุณอยากเป็นนักธุรกิจ
ที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน
งบการเงิน คือ สิ่งที่คุณต้องเข้าใจ
Payu
ในปัจจุบันวิกฤตที่เกิดขึ้นมากมาย
มีส่งผลต่อธุรกิจทุกธุรกิจ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
แน่นอนครับว่า
วิกฤติภายนอกที่เกิดขึ้น
เราไม่สามารถควบคุมได้
แต่วิกฤตที่เกิดขึ้นภายในบริษัท
เราสามารถจัดการได้ทันที !
และนึ่คือ 3 ข้อ ที่ถ้าคุณมี
ธุรกิจคุณจะเจ๊ง ได้ทันที
Payu
# # ภาษี คือ สิ่งที่ทุกคนหนี !
แต่คนรวยทุกคนที่ผมรู้จัก
วิ่งเข้าหาการจ่ายภาษี # #
เจ้าของธุรกิจระดับโลกทุกคน
เรียนรู้การบริหารจัดการ
ให้จ่ายภาษีน้อยที่สุด แบบถูกกฎหมาย
เพื่อสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว
ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ
คลิปนี้คือ คลิปที่คุณต้องดูให้จบ
Payu
จุดเริ่มต้นของการขายขอวออนไลน์ ที่เปลี่ยนจากพ่อค้าให้เป็นนักธุรกิจ
สี่พื้นฐานสำหรับ ความฉลาดทางอารมณ์ของผู้นำ
Self-awareness
การตระหนักรู้ในคุณค่าของตัวเอง
ทุกครั้งที่ตัดสินใจ ทุกครั้งที่ลงมือทำ
ผู้นำจะมีความมั่นใจ
และพร้อมยอมรับฟังความเห็นจากคนอื่น
โดยไม่ใช้อีโก้ของตัวเอง
เกิดจากการตระหนักรู้ในคุณค่าของตัวเอง
Self-management
ทักษะการบริหารจัดการตัวเอง
เรียงลำดับความสำคัญ ว่าสิ่งไหนควรทำก่อน
สิ่งไหนควรทำทีหลัง และแบ่งเวลาได้อย่างลงตัว
Social awareness
ความเข้าใจอกเข้าใจผู้อื่น
และความสามารถในการรับใช้ผู้อื่น
รู้ถึงอารมณ์ของผู้อื่น
และตอบสนองต่อความคาดหวังของอีกฝ่ายได้
Relationship management
จัดการความสัมพันธ์ เพื่อให้ผู้คนรอบตัวทำตามสิ่งที่ต้องการได้
ทั้ง 4 คือ พื้นฐาน ที่จะช่วยสร้างความฉลาดทางอารมณ์
ให้กับผู้นำได้
หากคุณกำลังทำธุรกิจ
หรือเริ่มต้นในหนทางสู่ความสำเร็จ
ทั้ง 4 ข้อนี้ จะช่วยให้คุณเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จได้
ติดตามเพื่ออ่านบทความได้ที่
Payu sagethaphat
Payu Sagethaphat Business Consultant
ตอนผมเริ่มต้นขายของออนไลน์
ผมเริ่มจาก ทำงานเพื่อ “ความรู้”
ไม่ใช่ทำงานเพื่อให้ได้เงิน
ทุกวัน ผมตั้งเป้าหมายไปที่ “การพัฒนาตนเอง”
ผมเริ่มจากอ่านหนังสือ ทุกวัน
เข้าสัมมนา ทุกอาทิตย์
เรียนฟรี ครู youtube ทุกครั้งที่มีเวลา
ผมยอมทำงานไม่ได้เงินหลายอย่าง
เพียงเพื่อให้ได้ทักษะ ความรู้ และประสบการณ์
ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทุกวัน
ปัจจุบัน ผ่านมา 7 ปี
ผมยังคงทำเหมือนเดิม
แต่ “การตัดสินใจ” เฉียบคมขึ้น
“มองคนออก” รู้ว่าแต่ละคนมีจุดแข็ง จุดอ่อนอย่างไร
หากคุณเป็นหนึ่งที่ต้องการความสำเร็จ
กำลังมองหา “ทางลัด”
วิธีที่ง่ายที่สุดคือ Copy คนสำเร็จ
ผมเดินตาม ทำตาม คนสำเร็จ
พาตัวเองไป หาคนที่ มีไฟ ทำงานเก่ง
แต่ไม่ได้หมายความว่า
ต้องทิ้งเพื่อนที่เคยมี
ผลลัพธ์จากการเดินตามคนสำเร็จ
ทำให้ผมเริ่มที่จะสร้างธุรกิจของตัวเองได้
แต่มันก็ยังไม่มากพอ
ผม “ล้มเหลว” และ “ล้มเหลว” แทบทุกครั้ง
คนส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจ
ว่า “ความล้มเหลว”
คือส่วนหนึ่งของ “ความสำเร็จ”
เลือกที่จะปฏิเสธมันไป
เลยไม่เคยได้รับ “อัญมณีแห่งปัญญา”
ที่ชื่อว่า “บทเรียนจากความผิดพลาด”
ผมเลือกที่จะข้าม
ความผิดหวัง
ความเสียใจ
ความกลัว
เลือกที่จะ ท้าทาย มัน
ด้วยการเรียนรู้จากความผิดพลาดโดย ไม่โทษคนอื่น
ในที่สุด ผมก็ทำมันได้
สร้างธุรกิจขึ้นมาได้
แต่ ทุกวันนี้ ธุรกิจผมก็ยังเผชิญกับ ความท้าทายใหม่ๆ
เพราะ การทำธุรกิจ คือการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
มันคือ เสน่ห์ของการทำธุรกิจ
และเป็นประสบการณ์ที่ คนสำเร็จ
ไม่เคยบอกคุณ
กดติดตามเพื่ออ่านบทความได้ที่เพจ
Payu Sagethaphat
สร้างแรงบัลดาลใจให้ทีม
แล้วคุณจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ
ผู้คนที่ประสบความสำเร็จ
มักมีคู่ชีวิตที่ช่วยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเสมอ
ขอบคุณตัวเองเสมอ
เริ่มจากความสำเร็จเล็กๆ ก่อน
แล้วความสำเร็จก้าวใหญ่
จะตามมาทีหลัง
ถ้าคุณกำลังเรียนรู้เรื่องลงทุน แต่ไม่เคยลองลงมือทำ
คุณก็ไม่ต่างจากคนที่ไม่สนใจเรื่องลงทุนแต่แรก
เวลาคุณทำอะไร “ครั้งแรก”
คนอื่นจะมองว่าเรา “บ้า”
แต่ถ้าคุณทำจนสำเร็จ
จะมีคนกลุ่มหนึ่ง ชื่นชมคุณและอยากทำตาม
แต่ก็จะมีอีกกลุ่มหนึ่ง ที่รอให้คุณล้มและรอซ้ำเติม
สถานการณ์ตอนนี้ ที่คิดว่าจะลากยาวไปถึงปี 2566
สิ่งที่เจ้าของกิจการควรทำคือ
1.ลดรายจ่ายให้มากที่สุด เช่น fixed cost ค่าเช่า
ลอง list รายการดูครับ ว่าตัดอะไรออกได้บ้าง
ถ้ายอดขายคุณ 100,000 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไม่ควรเกิน 10%
ยิ่งลีนได้เท่าไหร่ยิ่งดี
2.ใช้คนให้น้อยที่สุด
ใช้คนเท่าที่จำเป็น ค่าใช้จ่ายเรื่องคน
ไม่ควรเกิน 10-15% ของยอดขาย
จำเป็นต้องปล่อยก็ปล่อยครับ
อย่ายื้อกัน มันจะพากันจมไปด้วยกันเปล่าๆ
3.คำนวณความพอดีของยอดขายต่อวัน
นาทีนี้ คนขายเยอะ ไม่ได้แปลว่ากำไร
อย่าพยายามมุ่งไปที่การยอดขาย
แต่ให้มุ่งไปที่รักษากำไรพอประมาณ
ที่จำนวนคน x ค่าใช้จ่ายอื่นๆ พอรับไหว
คุณต้องอยู่รอดให้ได้อีก 2 ปี
ลองคิดถึงจุดที่ยอดขายลดลง 50% ดูครับ
ว่าจะรอดด้วยค่าใช้จ่ายนี้ยังไง
4.ถ้าเป็นหนี้ด้วยควรทำยังไง
หยุดขายก็ไม่ได้ มีรายจ่ายประดังประเดเข้ามา
ขายไปก็ไม่พอรายจ่าย ควรทำยังไง
คำตอบคือ ให้ตัดสินใจว่าจะไปต่อ หรือพอแค่นี้
ในเวลาแบบนี้ แพ้ไม่เป็นไรครับ
คุณไม่ได้เป็นแบบนี้คนเดียวแน่นอน
มันเป็นแทบจะทุกคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ
เดินหน้าเจรจากับเจ้าหนี้ครับ
เราไม่ได้ฆ่าคนตาย ไม่ได้หนี ทยอยจ่ายเรื่อยๆ
ก็คุยกัน ปรึกษากันกับเจ้าหนี้
5.หยุดค่าใช้จ่ายส่วนตัว และเก็บเงิน 10% กันไว้ทุกวันครับ
คนไม่เคยเจ๊ง ไม่เคยล้มมาก่อน จะไม่เข้าใจมุมนี้ครับ
ว่าทำไม ต้องเก็บเงิน ทั้งๆ ที่มีรายจ่ายจำนวนมาก
คำตอบคือ ถ้าความหวังหมด เปิดบัญชีดูไม่มีเงินเลย
ธรรมชาติของคน จะรู้สึกไม่มั่นคง สุดท้ายก็จะถอดใจ
ยอมแพ้ไปทั้งแบบนั้น
6.คุยกับสรรพากร ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการครับ
บอกว่า ตอนนี้เป็นยังไง บอกไปว่าขอความช่วยเหลือ
ถ้ารอด ก็จะค่อยกลับมาจ่ายเหมือนเดิม
7.คุยกับคนในครอบครัวหรือเพื่อนเยอะๆ ครับ
เก็บไว้คนเดียวก็ไม่ช่วยอะไร รวมกันหลายหัวดีกว่า
ลองมองหา แนวทางหารายได้ใหม่ๆ
ดีเสียอีกที่ได้หยุดพัก คิดหาทางใหม่
อาจจะได้ไอเดียทำเงินในช่วงหยุดพักก็ได้
8.จดบัญชีรายรับรายจ่ายทุกวัน
แนะนำแอพ spendee เอาไว้จดรายรับรายจ่าย
เงินเหลือเท่าไหร่ ออกไปทางไหนบ้าง พยายามทำทุกวันครับ
มีฟังก์ชั่นเชื่อมแอพธนาคารอีกด้วย (ได้ 3 ธนาคาร)
9.หารายได้เสริม
การมีรายได้เข้ามาจากสิ่งที่ตัวเองทำได้
เป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด พอทำอะไรได้ก้ทำเลยครับ
อย่าปล่อยเวลาไปเปล่าๆ
อีโก้เจ้าของกิจการ ถือไว้ก็หนักครับ
ปล่อยแล้วลองกลับมาดูว่าเรามีความสามารถอะไร
จะช่วยใครได้บ้าง หาวิธีหารายได้อื่นๆ เสริมเข้าไปครับ
10.มีความสุขในทุกลมหายใจของชีวิต
ไม่ว่าสถานการณ์ของคุณจะแย่แค่ไหน
ยอดขายตก เครียด หาทางออกไม่เจอ
เจ้าหนี้ตาม ลูกน้องทอดทิ้ง
ก็จงมีความสุขในทุกลมหายใจ
เพราะเรามีเวลาบนโลกจำกัด
แต่ขอให้ลุกขึ้นมาก่อน อย่าเพิ่งหยุดลงมือทำ
นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่หนัก แต่ก็ขอให้ทำต่อไป
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ผ่านไป 2-3 เดือน ไม่แน่เราหาทางออกเจอก็ได้
ขอบคุณครับ
Payu sagethaphat
คลาส Online 9Ep. ที่ผู้เรียน เรียนแล้ว หารายได้เพิ่มจากการขายของออนไลน์ รับ 10 คน เรียนในกลุ่ม Facebook
ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตทางการเงิน หลายคน Focus ที่การทำงานเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว
แน่นอนครับว่าสิ่งที่คุณจะได้ คือ “เงิน”
แต่สำหรับผมแล้ว สิ่งที่สำคัญมากกว่าเงิน
คือ ประสบการณ์ ในการสร้างเงิน
การทำงานเพื่อสร้างเงิน สำคัญกว่า
การทำงานเพื่อหาเงิน
เพราะการทำงานเพื่อหาเงิน คุณต้องเอาแรงที่จำกัด + เวลาที่จำกัด + ความรู้ที่จำกัด ไปแลกเงินที่จำกัด
แต่การทำงานเพื่อสร้างเงิน
คือ การที่คุณใช้ แรงจำกัด + เวลาจำกัด + ความรู้จำกัด ไปสร้างเครื่องผลิตเงินที่สร้างได้ไม่จำกัด และสร้างเงินให้คุณแบบไม่จำกัด
การทำงานเพื่อสร้างเงินย่อม ยากกว่า
การทำงานเพื่อหาเงิน
มันจึงเป็นเหตุผลที่หลายคนติดกับดักนี้
และสุดท้ายก็ไม่เหลือเงิน
เพราะการทำงานเพื่อหาเงินคือการที่เราวิ่งหาเงิน
แต่การทำงานเพื่อสร้างเงิน เงินจะวิ่งหาเรา
แล้วคุณเลือกแบบไหนครับ ?
สำหรับผม ผมเลือก “ทำงานเพื่อสร้างเงิน”
ผมสร้างธุรกิจ สร้างพอร์ตลงทุน
ให้เงินวิ่งเข้าหา
มันเหนื่อยกว่าหลายเท่า
ใช้ความรู้มากกว่าหลายเท่า
เครียดมากกว่าหลายเท่า
แต่มันทำให้ผมมีความสำเร็จ
มากกว่าคนอื่นหลายเท่าเช่นกัน
มีคนขโมยเงินคุณไปได้
แต่ไม่มีใครสามารถขโมยประสบการณ์ของคุณไปได้
อย่าทำงานเพื่อเงิน !
แต่จงทำงานเพื่อให้ได้ประสบการณ์ ในการสร้างเงิน
Payu
# # 10 เหตุผลที่ทำให้ธุรกิจคุณเจ๊ง ! ตั้งแต่เริ่ม! # #
# # 10 เหตุผลที่ทำให้ธุรกิจคุณเจ๊ง ! ตั้งแต่เริ่ม! # #
:
Live นี้ผมตั้งใจมาแบ่งบันสิ่วที่เป็นหลุมพรางขนาดใหญ่
ที่ผมเคยเจอ จากการทำธุรกิจมา 5 ปี
และหลุมพรางเหล่านี้ คือสิ่งที่นักเรียนของผม
ที่เป็นเจ้าของธุรกิจเจอเช่นกัน
ถ้าคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังทำธุรกิจอยู่
Live สำคัญมากสำหรับคุณ !
เจอกัน 2 ทุ่มวันนี้ครับ
Payu
ถ้าผลลัพธ์ของคุณคือ ขายเท่าไหร่ ก็ไม่มีเงินเพิ่ม
ระบบหลังบ้านไม่แน่น
ขาดกลยุทธ์ ขาดทิศทางไปต่อ
กำลังต้องลงทุนโครงการ แต่ Financial Plan ไม่มี
ไม่รู้จะหุ้นกับนักลงทุนยังไง
และขาดระบบบัญชี เสียภาษีจำนวนมาก
ลองมาเป็น 1 ใน นักเรียน Private ของเรา
เรียนแล้วรอผลลัพธ์ 2 เท่า Peace Wirotwranun
คลาสที่จะทำให้คุณต้องทำการบ้าน
และคิดต่อหลังจากจบคลาสทุกวัน
คลาสที่คนเรียนตอนแรกคิดว่าสอนยิงแอท
ที่ไหนได้สอน เรื่องที่ “เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไร”
สอน 2 วัน ต่อด้วย กรุ๊ป coaching ทุกวันพุธ จนถึงสิ้นปี
เรียนแล้วเหมือนได้ที่ปรึกษาทุกเรื่องของการทำธุรกิจ
และการวางแผนชีวิต เน้นผลลัพธ์ ไม่มีน้ำ อัดแน่นเต็มที่
เรียนแล้วต้องรื้อที่เคยทำใหม่ทั้งหมด
1 ในนักเรียน หลังจาก greeting 1 ชม. ก่อนเรียนจริง
ได้ผลลัพธ์เพิ่มขึ้น จาก 9 แสน ไป 1.2 ล้าน
ปัจจุบัน กำลังวางแผน และกำหนดทิศทางใหม่
มารอดูผลลัพธ์อีก 3 เดือน ว่ากำไรจะเพิ่มเท่าไหร่
สนใจทักมาขอลิ้งสัมภาษณ์ นัดวัน greeting
เหลือ 1 ที่นั่งสุดท้าย 🔥
ปรับธุรกิจยังไงให้รอด
สร้างวันขายดี ประจำเดือน ด้วยช่องทาง Marketplace (1)
Ep.1
ทำไมเราต้องลีนธุรกิจ ตอนช่วงวิกฤต ?
เคยสงสัยไหมครับว่า
ทำไมช่วงนี้หลายบริษัท
ถึงไม่สามารถไปต่อได้ จนต้องปิดกิจการ
ในขณะที่บางบริษัทกลับอยู่รอดได้
จนเราก็ต้องมาแปลกใจว่า
คนที่อยู่รอดได้จนถึงทุกวันนี้
กับโควิทที่สาหัสมาแล้วเกือบจะเข้าปีที่สอง
เขาทำกันยังไง?
ส่วนตัวผมคิดว่า ที่ผ่านมาหลายคน
ขยายบริษัทกันเป็นเรื่องปกติมากๆ
ยิ่งเป็นยุคที่ออนไลน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ยิ่งบูมไปกันใหญ่
ผมยังจำช่วงที่เจ้าของกิจการแต่ละคน
ขยายโกดัง ขยายทีมงานกันเป็นร้อยคนได้อยู่เลย
แต่จู่ๆ โควิทตัวร้ายก็เข้ามา
และทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม
ผมเองก็เป็นหนึ่งในเจ้าของบริษัท
ที่อยู่ในช่วงเวลานั้น ที่ยังรอดจนถึงเวลานี้
จะขอเล่าเรื่องของตัวเองที่ผ่านมาได้ ให้ฟังกันนะครับ
1.เงินที่จ่ายทุกเดือน > มูลค่าที่ได้รับ
พูดในแง่ของที่ผ่านมา
เจ้าของกิจการพยายามขยายบริษัทขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อให้ได้กำไร ได้ยอดขาย เพื่อภาพลักษณ์ที่ดูดี
และประสบความสำเร็จ
จนทำให้ต้องเพิ่มคน เช่าโกดัง
เพิ่มสต้อกสินค้า หรือจ้างพรีเซ้นเตอร์ที่เป็นดาราดัง
ที่พูดมาผมทำหมดแล้วครับ
หมดเงินหลายล้าน พอโควิทมา
ทุกอย่างพังครืนลงมา
เราจึงกลับมาตระหนักได้ว่า
มูลค่าที่ลงไป ไม่ได้เท่ากับที่ได้รับกลับคืนมา
วิธีแก้คือ อะไรที่จ่ายไปแล้ว ก็ให้ปล่อยวาง
แต่กลับมาจัดการสิ่งที่ยังเหลืออยู่ให้รอดผ่านไป
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสต้อกสินค้า ค่าเช่า ที่ต้องตัดออก
และเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด
ที่ต้องปลดทีมงานบางส่วนออก
เพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ
เพื่อรักษาบริษัทเอาไว้
บทเรียนที่ได้คือ ก่อนจะเพิ่มอะไรก็ตาม
คิดให้ดีก่อนว่า
“ถ้ายอดขาย หรือกำไรไม่มาตามที่คาดไว้
บริษัท จะอยู่ได้กี่เดือน แล้วค่อยตัดสินใจเดินต่อ”
2.ถอย ไม่ได้เท่ากับ คำว่าแพ้
โอเคครับ ถ้าเราทำบริษัทเพื่อการกุศล
หรือเพื่อสาธารณะ
แบบนั้นเราจะไม่พูดถึงเรื่องกำไรก็ได้
และเจ้าของยอมเป็นหนี้ได้
แต่ว่า ปกติแล้วไม่ใช่แน่นอน
หลายคนทำธุรกิจเพื่อครอบครัว
เพื่อตัวเอง เพื่ออนาคต
การที่ต้องมาพ่ายแพ้แถมเป็นหนี้อีก
เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
เจ้าของกิจการ แทบทุกบริษัท
ใช้เงินในอนาคตมาลงทุนเพื่อขยายบริษัท
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไปในสถาการณ์ปกติครับ
แต่การที่ยอดขายหาย รายได้หด
แต่ยังทนจ่ายเงินอยู่
โดยไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการ
ประนอมหนี้ กับทางธนาคาร
คือความคิดที่ไม่ถูกต้อง
มันจะทำให้คุณเป็นหนี้ขึ้นไปอีก
และบางคนก็ยอมรักษาบริษัทไปเรื่อยๆ
เพื่อหวังว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะดีขึ้น
ขอบอกไว้เลยครับ จากประสบการณ์
คุณกำลังทำผิดวิธี
การหลอกตัวเองไปวันๆ โดยไม่ยอมแก้ไขอะไรเลย
จะทำให้สุดท้ายคุณไม่เหลืออะไรเลย
การถอย ไม่ได้แปลว่าแพ้ครับ เราถอยมาตั้งหลักใหม่
ในโลกของการทำธุรกิจ ทุกอย่างเจรจาได้ครับ
ถึงแม้ว่าต้องไปเจรจากันที่ศาลก็ตาม
3.ไม่มีช่วงไหนดีเท่าช่วงโควิทอีกแล้ว
ทำไมคนรุ่นก่อนๆ ถึงเจ๊งกันได้
เขาไม่รู้จักปรับตัวกันหรือยังไง
ถ้าเป็นผม ผมคงไม่ทำแบบนั้นหรอก
เคยได้ยินประโยคนี้บ้างไหมครับ
เวลาเราพูดถึงวิกฤติปี 40
เรามักจะได้ยินคนพูดทำนองนี้
แน่นอนว่าต้องเคยได้ยินแน่ๆ
ตอนนี้ถึงคราวพวกเราบ้างแล้ว
ที่ต้องเผชิญสนามจริง แบบที่คนรุ่นก่อนพบเจอมา
สถาณการณ์นี้ ทำให้เราได้เรียนรู้
วิธีการจัดการกับธุรกิจ วิธีเอาตัวรอด
ได้เรียนรู้ว่า ค่าใช้จ่ายไหนควรจ่าย
สิ่งใดที่ต้องรักษาไว้กันแน่
มันจะทำให้เราลีนตัวเราเองโดยธรรมชาติ
ผมเองตัดสินใจปิดหลายๆ อย่างที่ไม่เกิดรายได้
ลดรายจ่ายพวกค่าเช่า ด้วยการเจรจาขอลดกับผู้เช่า
และ เลือกวิธีการหารายได้แบบไม่ต้องเพิ่มรายจ่าย
มันทำให้ผมต้องใส่ใจรายละเอียดมากกว่าเดิม
และคิดหาวิธีที่ดีกว่า ถูกกว่า ฉลาดกว่าเดิมมาใช้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเชื่อว่า เจ้าของกิจการที่รอดได้
จนถึงทุกวันนี้ กำลังทำแบบเดียวกับที่ผมกำลังทำอยู่
การมีภาพจำว่า
ประสบความสำเร็จในฐานะเจ้าของกิจการ
ว่าต้องมีบริษัท หรือโรงงานใหญ่ สินค้าเต็มโกดัง
มีสาขามากกมาย มีลูกน้องหลายร้อยคน
ไม่ได้ทำให้เราเป็นเจ้าของกิจการ
ที่ประสบความสำเร็จ
แต่มันบ่งบอกถึง ความฟุ้งเฟ้อ
และความไม่เอาใจใส่ในตัวเลข
ไม่เอาใจใส่ในอนาคต
คำถามคือ
เราอยากจะเป็นเพียงแค่ภาพจำแบบนั้น
หรือเป็นเจ้าของกิจการที่อยู่รอดมาได้ ?
Payu Sagethaphat
คุณเข้าใจ คำว่า "อิสรภาพทางการเงิน" ว่ายังไง?
มุมมองของผม "อิสรภาพทางการเงิน"
คือ การที่ผมไม่ต้องทำงาน !!
หรือ ทำโดยที่ไม่มีความกดดันเรื่องของเงิน
ปัญหาของหลายๆคนที่ไม่สามารถ
มีอิสรภาพทางการเงินได้ เกิดจากการที่เขาไม่ได้วางแผนอย่างชัดเจน
ก่อนที่ผมจะประสบความสำเร็จ
ผมวางแผนไว้ด้วยกัน 3 แผน คือ
1. แผนเพื่อความมั่นคง คือ เรื่องของการประกันชีวิต
เงินเก็บสำรอง เงินใช้จ่ายในแต่ละเดือน
2. แผนเพื่อความสุขสบาย ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเอง
ได้ในสิ่งที่ตัวเองฝันไว้ ไม่ว่าจะรถ หรือบ้าน
3. แผนเพื่อความร่ำรวย คือ เรื่องของการลงทุน
แล้วถ้ายังไม่มีแผนอะไรเลย จะเริ่มจากอะไรดี ?
ผมแนะนำให้คุณเรียนรู้ ทำความเข้าใจ
คำศัพท์ เรื่องของทรัพย์สิน หนี้สิน การลงทุน อัตราเงินเฟ้อต่างๆก่อน
หลังจากนั้นคุณต้องเริ่มตั้ง "เป้าหมาย"และ
ต่อมา ต้องมองว่า วิธีไหน ที่จะพาให้เราไปถึงเป้าหมายได้จริงๆ ที่เราตั้งไว้
สรุปง่ายๆ "อิสระภาพทางการเงิน"
คือ การที่เราจะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ หรือไม่ทำในสิ่งที่เราไม่ต้องการ
โดยไม่ถูกจำกัดด้วยเรื่องเงิน
สุดท้ายแล้ว...อิสรภาพทางการเงินสำหรับผม ก็คือ
"คุณมีเวลา มีเงิน และได้อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข"
ผมว่ามันคือที่สุดแล้ว
ขอบคุณครับ
Payu Sagethaphat
ไม่อยากจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขายบ่อย ๆ
แต่อยากได้ยอดขายตลอดทั้งปี วิธีเหล่านี้ช่วยได้ !
หลาย ๆ ธุรกิจกำลังประสบปัญหา ลูกค้ารอซื้อช่วงโปรฯ เท่านั้น แต่ในช่วงเวลาปกติลูกค้ากลับเงียบหาย 😩
เคล็ดลับที่ผมใช้ในการเพิ่มยอดขายตลอดปี
และ ใช้มาโดยตลอดก็คือ...
1. “รักษาลูกค้าเก่า”
ซึ่งผมใช้การส่งการ์ดขอบคุณ และโบรชัวร์ไปให้ (อาจจะให้เป็นอย่างอื่นก็ได้นะครับ สามารถปรับได้ตามความเหมาะสม)
ส่วนตัวผมใช้เทคนิคนี้มาโดยตลอดเพราะว่า ถ้าลูกค้าเก่าอยากได้สินค้าแนวเดียวกับเรา ลูกค้าเหล่านั้นจะนึกถึงเราเป็นคนแรกเสมอ
2. “เปิด Member card”
หรือ พูดง่าย ๆ ก็คือการจัดทำระบบสมาชิกนั่นเองครับ
เวลาเราไปเดินห้างต่าง ๆ เขามักจะให้เราทำบัตรสมาชิก พร้อมให้ส่วนลด เพราะวิธีนี้เป็นการกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้อย่างดีเลย
โดยอาจจะลองเริ่มต้นโดยมี Silver และ Gold แค่ 2 แบบดูก่อนก็ได้นะครับ ปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับจัดทำระบบสมาชิกอยู่เยอะมากลองศึกษาดูได้ครับ
3. “ใช้ Market Place ให้ครบทุกช่องทาง”
เช่น Shopee, Lazada ฯลฯ รายได้จากช่องทางเหล่านี้ จะเข้ามาเองตามพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ แม้ว่าจะสามารถสร้างรายได้ไม่มากเท่าเพจ Facebook ก็ตาม แต่ก็สร้างยอดขายให้เราได้ตลอดปีนะครับ
4. “Upsale เป็นประจำด้วยการโทรขาย”
การขายผ่านการโทร ฯ ยังคงเป็นสิ่งที่ใช้ได้เสมอ ใครยังเคยลองใช้วิธีนี้ ลองจ้างพนักงาน Telesale ดูนะครับ 👍
5. “อย่ายึดติดแค่สินค้าเดียว ช่องทางเดียว”
การตลาดออนไลน์ ทำให้ครบทุกช่องทางครับ แล้วยอดขายจะมาเองโดยเฉพาะ Google เพราะลูกค้าที่เข้ามาจะเป็นคนที่มีความต้องการอยู่แล้ว เค้าอยากได้อะไรก็มาเสิร์ช
“อย่าลืมนะครับว่า… โปรโมชั่นเป็นสิ่งที่เอาไว้กระตุ้นยอดขายระยะสั้น ๆ เท่านั้น การวางแบรนด์ที่ดีพอ จะช่วยหาลูกค้าที่ใช่ และมีกำลังซื้อเข้ามาเอง”
ขอบคุณครับ
Payu Sagethaphat
หลุดจากกับดักหนี้ได้ง่าย ๆ
ด้วย 6 พฤติกรรมทางการเงิน ที่ทุกคนควรมี !
หลายคนเป็นหนี้ หาเงินมาจ่าย พยายามเพิ่มรายได้
เท่าไหร่ก็แล้ว ก็ไม่หลุดจากกับดักหนี้สักที
เพราะอะไรน่ะหรอ ?
เพราะอาศัยการเพิ่มรายได้อย่างเดียว
ไม่สามารถแก้หนี้สินที่คุณมีได้ยังไงล่ะครับ
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ หยุดขุดหลุมฝังตัวเองก่อน !
ด้วยการกลับมาดู "พฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง"
แล้วหันมาทำวิธีที่ผมกำลังจะบอกนี้...
1."จ่ายให้ตัวเองก่อน"
เป็นเงินเก็บอย่างน้อย 10%
2."หยุดใช้จ่ายฟุ่มเฟือย"
ประหยัดไปก่อน ลดการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยลง
ของที่ไม่จำเป็นทั้งหลาย ไม่ว่าจะกระเป๋าแบรนด์เนม
รถหรู ฯลฯ
3."หยุดดึงเงินในอนาคตมาใช้"
ในกรณีนี้ผมจะพูดถึงบัตรเครดิต ที่ทำให้เราสะดวกสบายในการจับจ่าย อยากได้อะไรก็รูด ๆ รูดดึงเงินในอนาคตมาใช้ โดยไม่ได้ดูเงินที่มี สุดท้ายก็เลยจบด้วยการจ่ายขั้นต่ำนั่นเองครับ
หากใครที่ต้องการจบนี่บัตรเครดิตให้เร็วที่สุด
บทความหน้าผมมีคำตอบมาให้ครับ !
4."ซื้อของจากร้านลดราคา"
พยายามคิดเสมอนะครับว่า เราซื้อของจาก "มูลค่า" ไม่ใช่ราคา สินค้าลดราคา ที่มีมูลค่าสมควรซื้อก็ซื้อครับ อย่าติดภาพหรูของตัวเองว่าต้องซื้อของเต็มราคาเท่านั้น
5."มีวินัยในการใช้จ่าย"
กำหนดงบประมาณ แต่ละวันไปเลย ว่าใช้ได้เท่าไหร่ ต้องเก็บเท่าไหร่ ทำทุก ๆ วันจนเป็นนิสัย แค่นี้คุณก็ได้สร้างนิสัยของคนรวยแล้วครับ
6."ลดเบี้ยประกันให้น้อยลง"
ซึ่งจะช่วยให้เรามีกระแสเงินสดมากขึ้น พอหลังจากเราหลุดหนี้แล้ว จะกลับมาซื้อเพิ่มก็ยังไม่สายถูกมั้ยครับ ? (ข้อนี้แล้วแต่ดุลยพินิจนะ)
เพียงเท่านี้คุณก็จะมีความรู้ทางด้านการเงิน
พอที่จะหลุดจากกับดักหนี้เสียต่าง ๆ
และยังมีเงินไปลงทุนต่อได้อีกด้วยครับ
ถ้าคิดว่าบทความนี้ช่วยคุณได้ มีประโยชน์กับคุณและเพื่อน แชร์ไปให้เพื่อน ๆ ในหน้าเฟสบุ้คของคุณได้ประโยชน์ด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
Payu Sagethaphat
#วิธีออกจากหนี้ให้เร็วที่สุด
#พายุ
พนักงานเริ่มเยอะบริหารจัดการคนยังไงดี ?
1. วางระบบ Pay roll ก่อน ควรเริ่มจากจ่ายเงินด้วยระบบ pay roll ของธนาคาร
** แนะนำของ scb เพราะฟรีค่าธรรมเนียม **
2. ใช้ระบบติดตามงาน มาช่วย track งาน
ส่วนตัวผม ใช้ trello และให้ HR เก็บคะแนนไว้ประเมินโบนัสสิ้นปี ช่วยเรื่องควบคุมเวลาแต่ละโปรเจคได้ดีขึ้น
3. ให้หัวหน้าประชุมกันบ่อยๆ ส่วนตัวผมให้หัวหน้า ประชุมกันทุกวัน อาจจะเป็นช่วงเช้า หรือช่วงเย็นก็ได้
เพื่อให้เกิดการสื่อสารภายในองค์กรให้มากที่สุด แต่ "ระวังอย่าให้เกิน 30 นาที !!"
4. ระบบ KPI อาจจะดูล้าหลัง แต่ยังคงใช้ได้จริง
ที่บริษัทผมใช้ระบบ KPI เข้ามาใช้ เพื่อให้พนักงานแต่ละคน รู้ถึงภาระหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบ เป็นเป้าหมายส่วนตัวของพนักงานแต่ละคน หลักการง่ายๆ คือ ทำไปทำไม ทำอะไรบ้าง และทำแล้วได้อะไร ใครเป็นคนประเมิน
5. กระบวนการลงโทษ และให้รางวัล
ผมมีการให้รางวัลผู้สอนดีเด่นประจำบริษัท ช่วยให้คนมาใหม่เรียนรู้งานไว ส่วนบทลงโทษ ถ้ามีคนทำผิดกฏบริษัท ไม่ว่าจะสนิท หรือเคยทำงานด้วยกันมานานแค่ไหน ก็ต้องลงโทษ ห้ามใจอ่อน ไม่อย่างนั้นจะทำให้เสียระบบการจัดการของบริษัทได้
6. กระจายอำนาจการตัดสินใจ
โดยแบ่งเป็น
- ระดับหัวหน้า เน้น ความเก่งในสายงานนั้น
- ระดับผู้ช่วย เน้น ความสามารถในการตัดสินใจเรื่องคน
- ระดับผู้จัดการ เน้น ความสามารถด้าน Concept คือมองภาพรวมขององค์กรร่วมด้วย ใช้คนก็เป็น แค่ไม่เน้นใช้ทักษะ
** พยายามอย่ากระจายอำนาจแบบแนวนอน ให้กระจายแบบแนวตั้ง **
7. ให้ถือมติที่ประชุมเป็นหลัก แต่ต้องหาคนรับผิดชอบ หากมตินั้นส่งผลเสีย หรือผลกระทบในแง่ลบกับบริษัท เอาไว้ป้องกันการประชุมจากคนที่ไม่เข้าใจในสายงานนั้นจริงๆ
สรุประบบการจัดการ ที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้ทั้ง 7 ข้อ
"จะมีพนักงานแค่ไหน ก็ไม่หวั่น สามารถจัดการได้แน่นอน !!"
ขอบคุณครับ
Payu Sagethaphat
จัดเวลาเพื่อสร้างความมั่งคั่ง !
สำหรับ "คนที่ทำงานประจำ"
และ "ธุรกิจส่วนตัว" ไปด้วย
หลายคนอยากเริ่มทำธุรกิจ
ในขณะที่ทำงานประจำไปด้วย
อาจจะสงสัยว่าเราจะแบ่งเวลายังไงดี ?
งานประจำก็รัดตัว เวลาที่มีก็น้อย
ยังต้องมาตอบลูกค้าไปด้วยอีก
ตอนเริ่มธุรกิจเมื่อหลายปีก่อน
ตอนนั้นผมเรียนไปด้วย เปิดบริษัทไปด้วย
ถ้าเราไม่บริหารจัดการเวลา
ชีวิตและธุรกิจของเราจะพังแบบไม่ทันตั้งตัว
แต่ในทางกลับกัน
ถ้าเราบริหารจัดการเวลาได้
เราก็จะประสบความสำเร็จในชีวิต
และธุรกิจแบบมันคงและยังยืน
วิธีที่ผมใช้จัดการเวลา คือ
1. แบ่งเวลาหลังเลิกเรียน
ช่วง 18.00 น. ถึง 22.00 น.
เอาเวลามาทำ รายรับ-รายจ่าย
คีย์ออเดอร์ สั่งของ
2. จ้างเด็กพาร์ทไทม์ มาช่วย 1-2 คน
ให้เรทค่าจ้างเป็นชั่วโมง วันละ 3-4 ชม. ต่อวัน
ตกเป็นเงิน 130-150 บาท ต่อวัน วันไหนมีงานก็จ้าง
วันไหนไม่มีงาน ก็แจ้งน้องเขาให้หยุดไปก่อน
3. อย่าทำธุรกิจส่วนตัวในเวลางานประจำ
หรือเวลาเรียน
สิ่งสำคัญเลยคือ เราต้องอดทน
และพยายามบริหารจัดการเวลาไปด้วย
เพื่อไม่ให้งานประจำ หรือการเรียนต้องพัง
ธุรกิจก็จะพังไปด้วย เพราะพึ่งเรามากเกินไป
4.เรื่องการแพ็คของ จ้าง outsorce ช่วยในการแพ็ค
แนะนำเฉพาะสินค้าชิ้นเล็ก
ชิ้นใหญ่ให้จ้างคนแถวบ้าน
แพ็คเอาดีกว่า ประหยัดกว่า
ช่วยประหยัดเวลาไปได้มากกว่าครับ
5.แยกบัญชีระหว่าง บริษัท กับ
บัญชีส่วนตัว ออกจากกัน
แนะนำจากประสบการณ์
ถ้าไม่แยกจากกันเตรียมตัวพบกับ
ความปวดหัวในการทำบัญชีได้เลย
ถ้าไม่ทำ เผลอๆ "อาจจะขายดี จนขาดทุน!"
6.แบ่งสัดส่วนของกำไร ที่ได้แต่ละเดือน
เพื่อสร้างความมั่งคั่ง
30% เป็นเงินเข้ากระเป๋า
20% เป็นเงินสำรองบริษัท
อีก 50% เป็นเงินขยายบริษัท
จะจ้างคน เช่าออฟฟิศ หรือ
อะไรก็ตามแต่ ก็ให้อยู่ในงบนี้
ทำแบบนี้ทุกเดือน รับรองบริษัทโต
แถมเรายังมั่งคั่งขึ้นอีกแน่นอนครับ
7.เริ่มทำธุรกิจเต็มต้ว
เมื่อเงินเก็บเพียงพอ
สำหรับการสำรองค่าใช้จ่ายในชีวิต
ประจำวัน 6 -12 เดือนแล้ว
จะคิดเรื่องลาออกมาทำธุรกิจ
เต็มตัวก็ได้ แต่ต้องมั่นใจว่า
ยอดขายและกำไรจะได้คงที่
ทุกเดือน อย่างน้อย 1 ปี
(ได้มากกว่านั้นถือว่าเป็นกำไรชีวิตแล้ว)
ทำได้ 7 ข้อนี้ รับรองว่า
ความมั่งคั่งจะอยู่กับคุณแน่นอน
ปัจจุบัน เราไม่จำเป็นต้องมีรายได้ทางเดียว
การเป็นทั้งเจ้านายบริษัทตัวเอง และลูกจ้างคนอื่น
ก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย.
ดีซะอีก ที่จะได้เรียนรู้ระบบธุรกิจ
จากบริษัทจริงๆ ไปด้วย
สุดท้าย ชีวิตของเรา เราสามารถออกแบบได้เองครับ
แต่ลองถามคนที่อยู่เคียงข้างเราดูครับ
ว่าเขาพร้อมรับความเสี่ยงกับเราไหม ถ้าเราจะลาออก
ถ้าเป้าหมายของคุณ คือการทำให้
ครอบครัวมีชีวิตดีขึ้นแบบผม
ก็ลองทำมันให้สุดทางดูครับ
Payu Sagethaphat
ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดได้แค่มี "ทีมที่ดี"
ตอนแรกผมคิดมาเสมอว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด
สำหรับธุรกิจ ก็คือ... 'เงิน'
แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
ทำให้ผมค้นพบสิ่งที่สำคัญกว่าเงิน
Payu Sagethaphat
ทักษะขั้นสูงของนักธุรกิจที่ทำให้นักศึกษาธรรมดา
กลายเป็นนักธุรกิจได้ใน 8 วิธี
วันนี้ผมได้ถอดประสบการณ์การสร้างธุรกิจหลักร้อยล้าน
มาเป็นเคล็ดลับง่าย ๆ ที่นักศึกษาอย่างคุณก็ทำได้
เริ่มกันเลยครับ !
Payu Sagethaphat
ทำธุรกิจมานาน แต่ธุรกิจไม่โตขึ้นสักที !
มีพี่ๆนักธุรกิจหลายท่าน
ที่ทำธุรกิจมาสักระยะหนึ่ง
มาปรึกษาผมเรื่องนี้ !
แน่นอนครับว่า ในยุค Digital Transformation
โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะปรับตัว
จนบางครั้งอาจทำให้ธุรกิจของเราหยุดชะงัก
หรือกรณีที่แย่ที่สุด คือ "ยอดตกลงเรื่อยๆ"
แต่ในทางกลับกันครับ
มันก็จะมีบางธุรกิจที่เติบโตแบบก้าวกระโดดไปเลย
ก็มีเช่นเดียวกันครับ
เวลาเราทำธุรกิจ พอถึงจุดๆ หนึ่ง
เราจะเกิดคำถามว่า
"ทำไม เราใช้เวลาเยอะมาก ทุ่มเงิน ทุ่มเวลา
ทุ่มทุกอย่างไปกับมัน
แต่ธุรกิจของเรา มันไม่โตสักที ?"
ปัจจุบัน ผมเปิดบริษัทมา 3 ปีกว่า
ดูจากงบการเงินโตขึ้น 2 digit ทุกปี
วันนี้ผมจะมาแชร์ 5 สิ่งที่ที่ทำให้ธุรกิจของผมโต
แบบก้าวกระโดดใน 3 ปีที่ผ่านมา
จากยอดขาย 0 บาท จนมากกว่า 100 ล้านต่อปี
1. จ้าง “คนเก่ง” มาทำงาน
ถ้าวันนี้คุณเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก
คุณคือคนที่ “เก่ง” ที่สุดในบริษัท
เมื่อมีคนเก่งอยู่คนเดียว จึงทำให้ธุรกิจไม่โต
และสุดท้ายคุณไม่ใช่เจ้าของธุรกิจ
แต่ธุรกิจเป็นเจ้าของคุณ!
แต่ถ้าวันนี้ คุณเรียนรู้ที่จะจ้าง “มืออาชีพ”
จ้าง “คนที่เก่งกว่า”
แล้วบริหารจัดการคนเหล่านั้น
คุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่แท้จริง
และธุรกิจของคุณจะเติบโตแบบก้าวกระโดดทันที
ผมเลือกคนเก่ง มาทำงาน เสมอ
“ลูกน้องผมต้องเก่งกว่าผม”
ถ้าใครเก่งน้อยกว่าผมในด้านที่เขารับผิดชอบ
ผมจะพิจารณาหาคนที่เก่งกว่า มาทำงานแทน
2. เลือก “คนที่ใช่” เข้ามาในทีม
เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช่ด้วย !
ผมเปรียบคนที่ใช่ 1 คน เท่ากับคน 10 คน
การจะหาคนที่ใช่ คุณจะต้องมี “ภาวะผู้นำ” เพียงพอ
และแสดงให้เขาเห็นว่า ถ้าเขาอยู่กับเรา เขาจะได้ในสิ่งที่เขาต้องการ (ความมั่นคง ความก้าวหน้า)
อีกหนึ่งเคล็ดลับในการเลือกคนที่ใช่ของผม
คือการมี “mission” พันธกิจ ของธุรกิจต้องชัดเจน
ว่าธุรกิจเราสร้างมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ?
มีเป้าหมายยังไง ?
มีวิสัยทัศน์ยังไง ?
เพราะมันจะดึงดูดคนที่ใช่ให้อยู่กับเรา
และคนที่ไม่ใช่ก็จะออกไป
3. การมี “ระบบ” จะทำให้ธุรกิจเติบโต
“ระบบ” เป็นรากฐานสำคัญของธุรกิจ
และเป็นสิ่งที่จะเป็นเครื่องทุ่นแรง (พลังทวี)
ให้กับคุณในอนาคต
ระบบธุรกิจ เป็นอะไรที่ราคาแพง
ไม่ว่าจะเป็นระบบบัญชี
ระบบหลังบ้าน
ระบบการขาย
ระบบการจัดการสินค้า
และระบบอื่นๆ ที่จำเป็นต่อธุรกิจของคุณ
การจะหาสักคนมาช่วยคุณวางระบบธุรกิจ
ต้องจ่ายหลักแสน หลักล้าน
แต่ก็ผมบอกเลยว่าคุ้ม กับสิ่งที่จะได้ !
เพราะถ้าเราจะเรียนรู้ทุกระบบด้วยตัวเอง
อาจจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะเข้าใจทั้งหมด
สิ่งที่ผมทำในช่วงเริ่มต้นคือ
จ้างมืออาชีพมาช่วยวางระบบ
และผมเรียนรู้จากเค้า
จนทำให้ตอนนี้ผมสร้าง “ระบบ”
ให้กับหลายธุรกิจ และประสบความสำเร็จ
ให้ธุรกิจเค้าเติบโตได้เช่นกัน
ผมสามารถมีอิสระ ด้านเวลาก็เพราะ “ระบบ”
ถ้าวันนี้คุณอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ
สร้าง “ระบบ” ให้เป็นเครื่องผลิตเงิน
อย่าใช้ “แรง” ทำเงินเพียงอย่างเดียว
4.สร้างสินค้าหรือบริการที่ “ตลาดต้องการ”
สินค้าดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ผมเพิ่งมาค้นพบว่า......
ธุรกิจที่ดี ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก
แค่หาสิ่งที่ตลาดต้องการให้เจอ
ผมเคยกรุยทาง สร้างตลาดเองมาแล้วครับ
แต่สู้การหาสินค้าที่มีความต้องการอยู่แล้วไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น สินค้าดี เล่นในตลาดที่มีความต้องการ จะทำให้ธุรกิจคุณเติบโตได้แน่นอน
5.มีความรู้ทางการเงิน เพื่อเพิ่ม “ทุน” (capital)
ให้กับธุรกิจได้เสมอ
เงินสด ก็เหมือนเลือดครับ จำเป็นต้องใช้
เพื่อลงทุน ขยายธุรกิจ ให้เติบโต
เราต้องรู้จักการ หาทุน ระดมทุน การกู้
เป็น Capitalism (นักทุนนิยม)
และอีก 1 สิ่งที่ผมใช้มาตลอด
คือการเปลี่ยน “ไอเดีย” ให้เป็นเงิน
คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินสักบาท
ถ้าวันนี้คุณมี “ไอเดีย” ที่ทำเงินได้
แต่แน่นอนครับ คุณต้องมีเครดิต (Authority)
และประสบการณ์ในเรื่องนั้นระดับนึง
แล้วขาย “ไอเดีย” เป็น !
ด้วยทักษะการโน้มน้าวใจ (persuasion)
ซึ่งก็มาจากความสามารถของเจ้าของกิจการเอง
ลองฝึกพูดโน้มน้าวคนอื่นบ่อยๆ ครับ
แล้วก็ฝึกพูดในที่คนเยอะๆ (public speaking)
สื่อสารให้คนรู้จักคุณว่า
คุณเป็นใคร?
ทำอะไร?
และจะช่วยเขาได้ยังไง?
แค่คุณเรียนรู้เรื่องนี้
เงินจะไม่ใช่ปัญหาของคุณอีกต่อไป
และนี้คือ 5 สิ่งที่ที่ทำให้ธุรกิจของผม
เติบโตแบบก้าวกระโดด
และมันจะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตเช่นเดียวกันครับ
Payu Sagethaphat
" ผู้นำต้องเป็นคนที่สั่งงานลูกน้องเก่ง "
" ผู้นำต้องโอ๋ลูกน้องเก่ง "
หลายคนคิดแบบนี้ แต่ถ้าถามผมแล้ว...
ผู้นำที่ดีนั้นไม่ต้องทำอะไรเลย !!
Payu Sagethaphat
# # สร้างธุรกิจหลักหลายล้านได้ แค่มี "ทีมที่ดี" # #
จากประสบการณ์ในการสร้าง
ยอดธุรกิจกว่าร้อยล้าน
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการ
สร้างธุรกิจ ก็คือ... "ทีม"
และทีมที่ดีเกิดจาก "คนที่ใช่"
วันนี้ผมมีเคล็ดลับในการเลือกคน
และ สร้างทีมให้เติบโต จะมาบอก...
# # อยากจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง ต้องรู้จักสิ่งนี้ ! # #
ช่วงที่ผ่านมานี้ ผมทำอะไรก็ราบรื่นดีทุกอย่าง
หยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด
ผมไม่ได้มีของดี หรือ บูชาอะไรหรอกครับ
แต่มันเป็นเพราะผมรู้จักกับ...
“Timing” หรือ การควบคุมจังหวะเวลา
เมื่อเรามีความรู้ ประสบการณ์ และ
เงินส่วนเกิน (เงินเย็น) ของเราพร้อมแล้ว
Timing จะเข้ามาช่วยให้เราใช้ปัจจัย
ทั้ง 3 ข้อข้างต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
Timing ตามความเข้าใจของผม
นั้นแบ่งเป็น 4 ระยะ
1.ระยะก่อเกิด
2.ระยะเตรียมพร้อม
3.ระยะรอคอย
4.ระยะควบคุมจังหวะ (Timing)
การใช้ Timing ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โดยไม่อิงเรื่องโชค หรือ วาสนา
ต้องเกี่ยวกับ “คน” เท่านั้น
คนที่เก่ง หรือ Masterในแต่ละด้าน
จะช่วยทำให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
แต่แน่นอนว่านอกเหนือจากนั้น
คุณก็ต้องเข้าใจเรื่อง “เงิน” ดีพอ
รวมถึงเข้าใจเรื่องของ character
(รูปแบบการตั้งบริษัท) เพื่อจะช่วย
ให้คุณจ้างคนเก่ง ๆ มาได้นั่นเอง
ไม่อย่างนั้น คุณก็จะไม่สามารถ
สร้าง "โอกาส" ที่ดีเยี่ยมได้เลย
เมื่อเราเตรียมพร้อม ! คนเก่งพร้อม !
บวกกับเราเจอโอกาสที่เหมาะสมแล้ว
เมื่อนั้นเราถึงจะสามารถ
ควบคุม Timing ได้
แล้วโอกาสจะพาเราไปหาคน
ที่ควบคุมจังหวะของตัวเองได้
หากเราเข้าใจการใช้ Timing
ทั้ง 4 ระยะดีแล้วล่ะก็...
เราจะกลายเป็น Midas ผู้หยิบจับ
อะไรก็เป็นทองตามตำนานกรีกแล้วครับ
ขอบคุณครับ
Payu sagethaphat
# # ธุรกิจเติบโตได้ ด้วย 8 เทคนิคนี้ # #
" อยากจะสร้างธุรกิจต้องทำไง ? "
หนึ่งในเคล็ดลับที่ทำให้ธุรกิจผมเติบโต
แล้วก็เป็น Passive income ให้กับผม
มีอะไรบ้าง...
มาดูกันครับ !
# # 3 เทคนิคง่าย ๆ เริ่มต้นได้ แม้ไม่มีเงินทุน # #
เคยสงสัยมั้ยครับ....
ทำไมคน 10% ถึงถือครอง
เงินของคนตั้ง 90%
ที่สำคัญคนพวกนี้
ต่อให้เค้าจนอีกสักกี่รอบ
เค้าก็จะกลับมารวยได้อยู่เสมอ
และคุณเองก็สามารถเป็น
คน 10% นั้นได้ แม้ไม่มีเงินทุน
หาคำตอบได้ในคลิปนี้ครับ !!
# # 3 สาเหตุที่ทำให้คนต้องเจ๊ง และ สูญเสียเงิน ! # #
1.เป็น “นักลงทุน” ทันที ! ที่มีเงินเยอะ ๆ
ทั้งที่จริงๆ แล้วเขายังขาดทั้งความรู้
และ ประสบการณ์ในการลงทุน
คุณเคยเห็นดารา หรือ คนดัง
ที่นำเงินไปลงทุนอะไรที่
มันไม่มีใครลงทุนไหมครับ?
แล้วก็เจ๊ง เป็นข่าวดังให้เห็นมากมาย !
นี่ก็เป็นตัวอย่างของคน
ที่เผอิญโชคดีได้เงินมา
แต่ไม่รู้จะทำอะไรกับมัน
อีกเช่นกัน...
2.ปฏิเสธคนรักไม่ได้ ใครมาขอ
ต้องให้ยืมเงินตลอด
ใครที่เป็นแบบนี้อยู่ก็
เตรียมหมดตัวได้เลยครับ
บางคนบอกว่าการให้เงินที่บ้าน
คือ ความสุข ความสำเร็จของตัวเอง
ผมบอกเลยว่า คุณคิดผิดนะ !
เงินเหมือนผลไม้อาบยาพิษครับ
ยิ่งเงินที่ได้มาง่าย ๆ ยิ่งทำให้ชีวิตดิ่งลง
พอมีคุณให้อยู่ตลอด บางคน
ก็จะทำอะไรไม่เป็นเลย
แล้วถ้าวันหนึ่งคุณไม่อยู่บนโลก
พวกเขาจะอยู่ยังไงล่ะครับ ?
3.รวยแล้ว กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้ !
ไลฟ์สไตล์ต้องมา ลองรวยแล้ว
กินข้าวแกงเหมือนเดิมไม่ได้
โอเค ผมคงไม่สนหรอก
ว่าคุณจะใช้เงินยังไง...
แต่คนที่ทำตัวเหมือนตัวเอง
เป็นเจ้าของเหมืองขุดบิทคอยน์
ใช้จ่ายประเภทที่ว่าเงินไม่มีวันหมด
ยังไงก็เจ๊งครับ หมดตัวแน่นอน !
เงินก็เปรียบเหมือนคนคนหนึ่งครับ
เราต้องปฏิบัติกับเขาอย่างเท่าเทียมกัน
เพราะเงินชอบอยู่กับคนที่
มีความรู้ทางการเงินสูง
และเงินก็เป็นของไหล…
ขอแค่คุณรู้ว่าเงินจะไหลไปทางใด
คุณก็จะไม่มีวันหมดตัวแน่นอน !
Payu Sagethaphat
ความหมายที่แท้จริง ของ "อิสรภาพทางการเงิน"
เด็กอายุ 18 กับเส้นทางจาก 0 สู่อิสรภาพทางการเงิน
# # เราจะ “เป็น” ในสิ่งที่เรา “เชื่อ” # #
แต่ก่อนผมเคยมีความคิดหนึ่งว่า
โลกนั้นมี 2 ปัญหา คือ...
ปัญหาที่แก้ได้ กับ แก้ไม่ได้
ผมเชื่อแบบนั้นมาตลอด
ซึ่งสุดท้ายผมก็มาตกผลึกว่า
คำพูดนี้ไม่สามารถใช้ได้จริง !
เพราะแต่ก่อนผมคิดว่าปัญหา
เรื่องคนแก้ไม่ได้ ทำให้ผมคิด
ไปหาคนอื่นมาช่วย
สุดท้ายก็เฟลอีก
วนแบบนี้ไม่จบไม่สิ้น
จนในที่สุดก็เลยตัดสินใจ
พัฒนาทักษะ และ ความสามารถ
ในการบริหารคนขึ้นมา
เพราะถ้าเกิดปัญหา
เรื่องคนอีกเราก็แก้ได้
และทุกครั้งที่เกิดปัญหา
ผมจะคิดเสมอว่า
เรายังมีองค์ความรู้ไม่พอ
อีกอย่างโลกมีคน 7 พันล้านคน
มันก็ต้องมีคนที่เจอปัญหาแบบเรา
แล้วเขาแก้ได้แน่ๆ
คิดได้แบบนี้...
จึงลงมือควานหาวิธี หรือ ที่ปรึกษา
จนในที่สุด ก็สามารถจัดการมันได้
ทำให้ปัจจุบันผมคิดว่า...
ไม่มีปัญหาไหนที่แก้ไม่ได้
ยกเว้นเรื่องของธรรมชาติ
อย่างเช่น การเกิด แก่ เจ็บ
หรือ ตาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
ของชีวิต อยู่แล้วนะครับ
อันนี้ต้องทำความเข้าใจว่า
เราไปบังคับอะไรมันไม่ได้
แต่ก็ไม่แน่ อีก 100 ปี อาจจะ
มีวิธีทำให้ชะลอสิ่งเหล่านี้ได้
เราเพิ่งมีมอร์ฟีน
ในกาช่วยลดความเจ็บ
เราเพิ่งมีนวัตกรรม
ชะลอความแก่
และเราสามารถฟื้นสิ่งมีชีวิต
จากความตาย ได้ในบางงานวิจัย
ใครจะไปรู้ ว่าโลกในอนาคตจะมีคน
คิดวิธีแก้ปัญหาอะไรเจ๋งๆ ได้อีกไหม
ปัญหาที่เราเจอ คนอื่นก็เจอครับ !
การเชื่อว่ามันทำไม่ได้
ไม่ได้ส่งผลดีกับชีวิตเราเลย
แต่ให้เปลี่ยนจาก "ทำไม่ได้" เป็น
เราสามารถ "แก้ไขมันได้" ดีกว่า
Payu Sagethaphat