Natah Beverage & Steak 90’ Cafe
“นตา”(natah) Co-Working Space ที่พร้อมเสริฟ กาแฟ เครื่องดื่ม และ สเต็ก ท่ามกลางดนตรียุค 90‘
Natah Cafe ขอขอบคุณ
ท่านกำพลศักดิ์ คลังแสง
กับ ท่านอภิศักดิ์ พละวิชัย
เลขารัฐมนตรี และที่ปรึกษาความมั่นคง
กระทรวงกลาโหม
ที่มาเยี่ยมเยียน ถ้ำเสือ แห่งนี้
The one treat wellness
แวะมาหาเพื่อนแท้ ได้ที่นี่
เราเต็มที่เรื่องของคนอื่นเสมอ!!!
กฏของการเป็นเสือ
คือไม่หลงรักเหยื่อ
และไม่แย่งเนื้อคนอื่น
มุมเสือที่ Natah Beverage & Steak 90’ Cafe
มาทานกาแฟกันครับ
ดร.สนุก สิงห์มาตร เขต 1 จ.ยโสธร ของกลุ่ม
#ยโสธรสร้างชาติ
ร่วมให้กำลังใจกับนิสิตสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ณ วัดป่าศรีสุนทร ต.ดู่ทุ่ง อ เมือง จ ยโสธร
ที่เข้าร่วมการปฏิบัติธรรมประจำปี
ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
https://www.komkhaotuathai.com/contents/44024
ทั่วไทยนิวส์
https://www.thuethainews.com/110630/
และ เกาะกระแส
https://kohkrasaekhao.com/?p=15151
ที่ให้เกียรติ กล่าวถึงในการร่วมเป็นคณะกรรมการ
ตัดสินผลงานนวัตกรรมและวิทยาศาสตร์ของ น้องๆ
นักเรียน โรงเรียนเซนต์เทเรซา ครับ
ขอขอบคุณโรงเรียนบ้านนาดีนาอุดม
อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร
ในการ์ดและคำอวยพรวันเกิดที่มอบให้
เนื่องในโอกาสที่ผมได้นำอาหาร
ขนมและนม ไปเลี้ยงน้องๆทั้งโรงเรียนในวันนี้
ตามปกติช่วงวันเกิดผมจะบริจาคโลหิต
แต่เนื่องด้วยป่วยอยู่
จึงเปลี่ยนมาเป็นเลี้ยงอาหารกลางวัน
และนำสิ่งของไปมอบให้กับเด็กนักเรียน
ในพื้นที่ของผมเองแทน
การดำเนินการเหล่านี้
อาจจะดูเหมือนเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ
และ ทำได้เป็นครั้งคราว
ซึ่งการแก้ไขที่ต้นเหตุ ผมกำลังดำเนินการ
ผมจึงขอโอกาสให้ผมได้เข้าไปทำให้น้องๆ
ได้อิ่มท้องอย่างมีคุณภาพ
เพื่อช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต
และพัฒนาการ เพื่อการเรียนรู้ ต่อไปครับ
#ทีมครูนพ
#พรรคสร้างอนาคตไทย
#สร้างอนาคตการศึกษาไทย
“ใครมาซื้อก็ไม่ขาย จะขายทำไม มีเด็กเรียนอยู่ บางคนเขายังไม่ได้บอกว่าจะซื้อเท่าไร ไม่ได้สนใจเพราะไม่ขายอยู่แล้ว ก็นี่โรงเรียนของใครล่ะ โรงเรียนของเรา ที่ดินของแม่เรา นักเรียนของเรา อนาคตของเด็กอยู่ตรงนี้ มันประเมินค่าไม่ได้”
ขอไว้อาลัย ม.ร.ว.รุจีสมร
ครูผู้ เห็นอนาคตของเด็ก สำคัญกว่าเงินพันล้าน
ศิษย์เก่าแห่อาลัย "ม.ร.ว.รุจีสมร" อดีตครูใหญ่แห่งโรงแรียนวรรณวิทย์ อาลัย "ม.ร.ว.รุจีสมร สุขสวัสดิ์" คุณครูใหญ่ รร.วรรณวิทย์ ถึงแก่อนิจกรรม
บุญ คือการ กระทำ “ดี”
ผู้ที่มีบุญ จะดูได้ จาก 9 ลักษณะ นี้ครับ
1. ไม่บ่น
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นปัญญา ทำให้ยอมรับต่อความเป็นจริงของชีวิต ทำให้รู้เห็นและเข้าใจถึงระดับวาสนาของตนและบุคคลอื่น ความเป็น ไปของชีวิตนั้นขึ้นตรงต่ออำนาจบุญกรรมที่ทำไว้ บ่นไปก็แค่นั้นเอง ที่ได้มา ที่มีอยู่ ที่เสียใจ ที่ไม่ได้ดั่งใจ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มันคือ “ผลแห่งกรรม” อันเป็นสมบัติของเราเอง
2. ไม่กลัว
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นความเข้มแข็ง กล้าหาญ ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ทำให้ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคและปัญหาที่จะเกิดขึ้น เพราะมีความมั่นใจในความเป็นผู้บริสุทธิ์ ความเป็นผู้มีบุญของตน เมื่อจะคิด จะทำอะไรลงไป ล้วนมีกำลังบุญมารองรับทั้งหมดทั้งสิ้น
3. ไม่ทำชั่ว
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นตัวควบคุม บริหารจัดการ ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ทำให้เกิดความกลัว ความละอายต่อบาป ต่อกรรม�ความผิดน้อยใหญ่ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เห็นถึงความเสียหาย หลายภพหลายชาติ เห็นถึง ผลกระทบต่อครอบครัว ต่อโลกต่อสังคม อย่างมากมายมหาศาล
4. ไม่คิดมาก
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นความสะอาด ความสว่าง ความสงบ ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ทำให้เกิดพลังแห่งความสงบ แห่งจิตแห่งใจ ไม่ฟุ้งซ่านรำคาญใจ ไม่คิดเป็นทุกข์ ความคิดทุกความคิด ล้วนนำมาซึ่งความเบิกบานกายใจ ไม่คิดเบิกความทุกข์ มาใช้ก่อน
5. รอได้ คอยได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นความใจเย็น มีความยืดหยุ่น ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ไม่ใจร้อน ใจเร็ว เห็นถึงจังหวะ และโอกาสของชีวิต
6. อดได้ ทนได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นพลังงานเข้มแข็ง ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ทำให้มีความอดทน ที่เป็นหนึ่งเป็นเลิศ มีความคิดที่ไม่หวั่นไหว เห็นความสำเร็จทุกชนิดมาจากความอดทน อดทนอย่างมีความสุข
7. สงบได้ เย็นได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะเป็นสภาพให้เป็นคนที่สงบได้ เย็นได้ ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ไม่เป็นคนที่ร้อนรน กระวน กระวาย สับส่าย วุ่นวาย ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ในสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น แม้จะตกอยู่ใน เหตุการณ์ที่เลวร้าย ก็ทำใจได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
8. ปล่อยได้ วางได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นคนที่รู้จักการละ การวาง ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ไม่เป็นคนที่แบกทุกอย่างที่ขวางหน้า ยึดทุกอย่างที่เกิดขึ้น
9. รู้ได้ ตื่นได้ และเบิกบานได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นความรู้ตื่น เบิกบาน ตามกำลังของบุญฤทธิ์ เป็นผู้รู้ ต่อความ เป็นจริงของชีวิต ไม่ปล่อยชีวิตให้ตกไปในกระแสของความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตใจมีความอิสระเต็มที่ ทุกวันทุกเวลาทุกนาที
ผมขอกราบขอบคุณ โอวาทธรรม จากหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
(วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี)
ครับ
ผมขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกท่าน
ได้เติบโต ก้าวตามความฝัน
ประสบความสำเร็จในทุก ๆ เรื่อง นะครับ
ในยุคที่ ความเจริญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสารพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
การหาข้อมูล หรือเรียนรู้ สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เพียงปลายนิ้ว จากมือถือ หรือ อุปกรณ์เชื่อมต่ออื่นๆ สะดวก รวดเร็ว แถมยัง 24 ชั่วโมง ตลอดเวลา
แล้วในยุคที่การสื่อสาร ยังไม่เจริญ
เทคโนโลยียังเข้าถึงได้อยาก เฉพาะบางคนอยู่
เค้าค้นคว้าหาข้อมูล กันจากที่ไหน?
ถ้าเด็กยุค 90’ เช่นผม ลงไป (80’ 70’ หรือย้อนไปได้มากกว่านั้นอีก)
“ห้องสมุด” คือ คำตอบของคำถามด้านบน
โดยที่สถานศึกษา โรงเรียน จะเป็นสถานที่หลักๆ ในการมีห้องสมุด ของตนเอง
ในบางชุมชนก็ จะมีห้องสมุดชุมชนของตน
ปัจจุบันห้องสมุดชุมชนเหล่านี้
ในกรุงเทพมหานครได้มีการปรับปรุงห้องสมุดในพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพฯ ให้น่าใช้บริการมากขึ้น เปลี่ยนพื้นที่ห้องสมุดให้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้จนเกิดเป็นชื่อ ‘ห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้’
ที่ 36 แห่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรุงเทพมหานคร
และ หอสมุดแห่งชาติ (ดูแลภายใต้กรมศิลปากร)
แถมห้องสมุดบางแห่งยังมีธีมประจำตัวด้วย
ซึ่งทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย สามารถเข้าใช้บริการได้ทุกวัน ตามวัน และเวลาที่กำหนด
การสมัครเป็นสมาชิกนั้นราคา หลักสิบ (หรือฟรี)
สามารถยืมหนังสือไปอ่าน ที่บ้านได้ในระยะเวลา 7 วัน และนำมาคืน
ถ้าไม่คืน ก็ ปรับวันละ 2 บาท
แต่จำนวนรวม 36 แห่ง
ตั้งอยู่ใน 31 เขต ผมว่ายังไม่พอ
ในการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ และ ส.ก. ที่กำลังจะมาถึง
นโยบายในการจัดการแหล่งเรียนรู้
และสถานที่สำหรับการออกกำลัง
หรือพื้นที่สีเขียว เป็นสิ่งสำคัญ
โอกาสเลือก กลับมาแล้ว
ใช้โอกาส ให้ดีกันครับ
และขอสนับสนุนให้ออกไปใช้สิทธิ
ลงคะแนนกันทุกคน ในวันอาทิตย์ที่
22 พฤษภาคม (วันเกิดคนน่ารักเจ้าของเพจเองครับ) 5555
พอดีมีงานวิจัยที่ผมกำลังทำอยู่
แล้วต้องรวบรวมข้อมูลต่างๆในอดีต
พอเห็นข้อมูลผมรู้สึกอยากแสดงความยินดี กับตัวเอง
เพราะรู้สึกว่าตัวผมในวัย 40 นี่ “เจ๋ง” อะ!!
เพราะผมผ่านโควิดมาได้แล้ว 6 ซีซั่น
ผ่าน 2 น้ำท่วมใหญ่ ในปี 2554,2560
ผ่านเมนูอิ่มอร่อย คือ
วิกฤตต้มยำกุ้ง ในปี 2540
และ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ในปี 2551
แถมผ่านมาแล้ว 3 ปฏิวัติ-รัฐประหาร ในปี 2534,2549,2557 แค่นั้นเอง!!!
ซึ่งถ้าคุณยังรอด และผ่านวิกฤตเหล่านี้
หรือเคยผ่านมากกว่านี้มาได้
คุณก็ “เจ๋ง” เช่นกันครับ
ลองย้อนดูว่าเราผ่านอะไรมาแล้วบ้าง
จากนั้นให้พลังใจกับตัวเอง
ให้พลังงานบวกกับตัวเองไว้
จากนี้ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไร
เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เหมือนเดิม
เรียนรู้จากอดีต ผสานองค์ความรู้ในปัจจุบัน
เพื่อแก้ไข และวางแผนอนาคต
เป็นความหวัง ของการเปลี่ยนแปลง
ให้มันดียิ่งขึ้น
แล้วมารอดูกันต่อซิว่าเราจะเจออะไรอีก??
#สร้างอนาคตไทย
#สร้างอนาคตการศึกษาไทย
ถึงลูกศิษย์ “ครูนพ” ทุกคน และคนที่สนใจ นะครับ
😁😁
ตอนนี้เปิดรับสมัครตำแหน่งนักวิจัย-เจ้าหน้าที่
ประจำโครงการฯ
ปฏิบัติงานที่คณะวิศวกรรมศาสตร์
ม.มหิดล ศาลายา
รับทั้งวุฒิปริญญาโท และ ปริญญาตรี หลายตำแหน่ง
ความสามารถที่ต้องการ (Requirment! )
1) สามารถใช้ Microsoft Office ได้ในระดับดี
(ถ้าสามารถจัด Format เอกสารได้ จะรับพิจารณาเป็นพิเศษ)
2) สามารถอ่าน Text Book, Journal หรือเอกสารทางวิชาการ ทั้ง (ไทยและอังกฤษ หรือ ภาษาที่สาม ยิ่งดีมาก)ถ้าเป็นผู้ที่รักการอ่าน หรือมีนิสัยที่ชอบอ่านหนังสือ สามารถเขียนหนังสือภาษาราชการได้
จะดีมาก
3) สามารถทำงานเป็นทีม มีความรับผิดชอบ
และมีความยืดหยุ่นในการทำงาน
เพราะการทำงานมีลักษณะในการทำโครงการวิจัย ครับ
ไม่ใช่การทำงานแบบ Routine ที่เข้าเป็นเวลา และเลิกเป็นเวลา
ในบางครั้ง หรือบางช่วง จะต้องทำงานดึก ตื่นเช้าได้ แต่ความอิสระ มีสูงครับ
4) มีทักษะการประสานงาน หรือ ติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นได้ ยิ้มสู้ อดทน รักการบริการ และประสานงานแบบราชการ
ซึ่งทักษาะทั้งหมด สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเป็นคน ที่ "ขยัน รักการเรียนรู้" ก็พร้อมรับพิจารณาครับ
สิ่งตอบแทน (Benefit)
1.เงินเดือนระดับมาตรฐานเริ่มต้นของข้าราชการ
แต่ประสบการณ์ที่ได้รับ เกินเงินเดือนไปมาก
ที่สำคัญคือการได้รับโอกาสจากการทำงานร่วมกับ
ผู้บริหารระดับประเทศ กับได้ฝึกกาทำงานร่วมกับคนเก่งๆ
2.สำหรับคนที่ต้องการพัฒนาตนเอง และไม่หยุดนิ่งในการเรียนรู้ ที่นี่เหมาะกับคุณ สามารถเจริญเติบโตในงานสายสนับสนุนทางการศึกษา
3.การทำงานเน้นลักษณะของ WFH เน้นผลสัมฤทธิ์ของงาน คือ ถ้างานเสร็จ คุณภาพงานเรียบร้อย
จะลาไปไหน ก็ได้ครับ ให้ อิสระ เต็มที่
ส่ง Resume ได้ที่อีเมลล์ [email protected]
หรือติดต่อ สอบถาม กับผม ก่อนได้ เลยครับ
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ผมมีโอกาสได้ไปร่วมประชุม
ในทีม #สร้างอนาคตกรุงเทพ
ที่สวนเบญกิติ
สิ่งหนึ่งที่ผมตื่นตาตื่นใจเลยคือ
ผมเพิ่งทราบว่าเรามีสวน ที่สวย
และใหญ่ขนาดนี้ สร้างเพิ่งเสร็จ
เปิดให้ทุกคนใช้กันเมื่อไม่นานมานี้
ผมเป็นคนที่สนใจในการเรียนรู้วิชาการหรือสิ่งใหม่ๆ รอบตัวอยู่เสมอครับ
อะไรที่ล้ำ อะไรที่ดี อะไรที่เป็นเทรนด์
ที่เกี่ยวกับการศึกษา และโลจีสติกส์
อันเป็นมุมมอง และสิ่งที่ถนัดของผม
ผมจะสนใจมากเป็นพิเศษ
แต่ยอมรับเลยว่า
ผมไม่เคยสนใจเรื่องของผังเมือง
สิ่งแวดล้อม หรือปัญหาเรื่องการระบายน้ำ
พื้นที่สีเขียว ฝุ่นพิษ สุขภาพ ฯลฯ
พี่โจ (คุณพงศ์พรหม ยามะรัต)
คือคนที่เปิด “โลกทัศน์” เหล่านี้ให้กับผม
เป็นครู ที่คอยสอน และชี้ให้เห็นถึงปัญหา
ที่คาบเกี่ยว เชื่อมโยงกัน อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งสิ่งแวดล้อม-สังคม-สุขภาพ
ผมตื่นตาตื่นใจมากกับความใหญ่ และสวยของสวนกลางเมืองแห่งนี้ จนคิดไปว่า มันเจ๋งและสุดยอดแล้ว
จึงถามพี่โจ เป็นความรู้ว่า ตอนนี้พื้นที่สีเขียวเราเป็น กี่ % ของพื้นที่กรุงเทพฯ แล้ว ครับ
“ประมาณ5%” พี่โจตอบ และเล่าว่า
พี่ต่อสู้ มา ตั้งแต่ 3% กว่าๆ ในหลายปีก่อน
แบบนี้ เพียงพอ ต่อ สุขภาพ ที่ดี หรือ เป็นปอดของ กทม. มั้ยครับพี่? ผมถามไปด้วยความมั่นใจที่คิดว่าน่าจะ “พอ”
ต้องประมาณ 27% ครับ…..พี่โจตอบมา
ในใจผมร้องว่า “คุณพระ!”
แต่คำในใจจริงๆ ไม่น่าจะใช่คำนี้
จากสีหน้าของผม พี่โจคงเดาได้ว่า ผมคิดอะไร
จึงเพิ่มข้อมูลให้อีกว่า แต่สิงคโปร์ ได้ เกือบ 30% นะ!!
ผมจึงหาข้อมูลครับ
ว่าจริงๆ เกณฑ์มาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO กำหนดไว้ว่าเมืองใหญ่ๆ เนี่ยควรมีพื้นที่สีเขียวให้มากกว่า 9 ตารางเมตร/คน
ประชากรใน กรุงเทพเรา รวมทั้งอยู่จริง
และประชากรแฝง ประมาณ 10 ล้านคน
เมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่แล้ว คือ 3.54 ตารางเมตร/คน
เกิดคำถามในหัวผมมากมายครับ
ว่าจะต้องทำอย่างไร ให้เพิ่ม
ไม่เพิ่มเพราะอะไร และยากแค่ไหน ที่จะให้มันเพิ่ม
สุดท้ายพี่โจ และทีมสร้างอนาคตกรุงเทพ
ได้ร่วมกันพูดคุย และชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งสิ่งแวดล้อม-สังคม-สุขภาพ อย่างที่ผมกล่าวไปในตอนแรก รวมถึงวิธีการ และสิ่งที่พวกเราจะทำร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
ทุกครั้งที่ได้เจอทุกท่าน
มันคือการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ แบบไม่มีวันสิ้นสุด
และการที่มีทีมงานเจ๋งๆ แบบนี้ทำงานร่วมกัน
ผมว่าประเทศไทยยังมีความหวังครับ
ผมมั่นใจว่าจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ของผม คือ เขต 2 จ.ยโสธร ด้วยเช่นกัน
ซึ่งหลายคนยังไม่ทราบว่า
บ้านผมนี่เป็นเมืองที่โดดเด่นเรื่องเกษตรอินทรีย์
แถมมีการขยายพื้นที่สีเขียวแบบก้าวกระโดด นะครับ
#สร้างอนาคตไทย
จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่พัฒนาขึ้น
ทำให้เกิดการสื่อสาร ที่เรียกว่า สื่อสังคม (social media)
สื่อสังคมนี้ ปัจจุบันมีความสำคัญ อย่างมากในสังคม
หลายคนมีความต้องการที่จะแสดงตัวตนหรืออยากมีตัวตนให้เป็นที่รู้จักของสังคม
ซึ่งการที่จะมีตัวตนให้ได้ในสังคม ต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะมีกันได้ทุกคน
บางคน แสดงตัวตน และนำเสนอเนื้อหา (Content) ในรูปแบบที่ปกติ ตามความเป็นจริง
อาจจะ สำเร็จบ้าง และไม่สำเร็จบ้าง
แต่ก็มีหลายคนที่ แสวงหาการมีตัวตนด้วยการด้อยค่าคนอื่น หรือแม้แต่ ด้อยค่าตัวเอง โดยมีแนวความคิดที่ว่า “ทำดีโลกไม่จำ ทำชั่วถึงจะดัง”
และยิ่งคนที่ถูกด้อยค่าได้ หรือด้อยค่าตัวเองแสดงความเจ็บปวดให้เห็นด้วยแล้ว
คนเหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าตนประสบความสำเร็จสูง
ดังนั้น การด้อยค่าบุคคลในบางครั้ง
จึงไม่จำเป็นต้องอ้างอิงกันในข้อเท็จจริง
แต่เป็นการสร้างข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอมก็ได้
ข้อมูลที่ผิดๆ ในการนำไปใช้นำเสนอ
จึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ทำลายคนที่ตนด้อยค่าได้ เครื่องมือหนึ่ง
ยิ่งการด้อยค่าที่ถูกนำไปใช้ในทางการเมืองด้วยแล้วจะเห็นถึงความผิดปกติเข้าไปใหญ่ เพราะมันแสดงให้เห็นว่า คนเหล่านี้ไม่ได้ต้องการ ชี้ให้เห็นความผิด ถูกหรือเอาชนะกันด้วยข้อเท็จจริง
และไม่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามกับตนด้วยวิธีปกติได้ตามตรรกะ และเหตุผล
จึงต้องใช้วิธีที่ไม่ปกติ นั่นคือ การด้อยค่าคนอื่นผ่านสื่อสังคมด้วยคำที่หยาบคาย ต่ำตม และมืดบอดทางสติปัญญา หรือ ไม่มีข้อมูลที่เป็นจริง
ซึ่งคนเหล่านี้สามารถทำการด้อยค่าคนอื่นได้
อีกไม่นานก็จะสามารถทำได้แม้แต่กับพวกเดียวกันเองที่เพียงแค่คิดต่างในประเด็นเล็กน้อยกันตน
ก็พร้อมจะพูดก่นด่าทอ ด้อยค่ากันอย่างสาดเสียเทเสีย แต่กลับเรียกตนว่าเป็น “นักประชาธิปไตย”
ผมจะไม่ ด้อยค่าใคร เพื่อให้ตัวเองสูงขึ้น
ถ้าจะสูงขึ้นได้ ตัวเองต้องดี จริง
Cr.บางส่วนจาก “สื่อสังคมกับการด้อยค่าบุคคล”
ชื่อก็บอกนะครับว่า “กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา”
กำไร 4 หมื่นกว่าล้าน
มีเงิน ไปจ้างทนาย ไล่บี้เด็กอีกพันล้านต่อปี
ตกลง มีไว้ เพื่อช่วยเหลือเด็ก
หรือหากำไร กับเด็ก ครับ?
#เป็นธรรม หรือไม่ ?
กยศ. ฟันรายได้จากดอกเบี้ยและค่าปรับ รวม 7 ปี เกือบ 40,000 ล้านบาท จ้างทนายทวงหนี้นักศึกษาปีละ 1,000 ล้านบาท กยศ. มีไว้เพื่อนักศึกษา หรือมีไว้ทำกำไรบนคราบน้ำตาประชาชน ?
จากรายงานงบการเงินของ กยศ. ตั้งแต่ปี 2557 ถึง 2563 พบว่า กองทุนมีรายได้จากดอกเบี้ยและค่าปรับ เป็นเงินทั้งสิ้น 38,744 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 5,535 ล้านบาท อีกทั้ง กยศ. ยังได้ใช้เงินไปกับการจัดการ การดำเนินคดีต่อลูกหนี้ที่ผ่านมา ทั้งสิ้น 8,788 ล้านบาท เฉลี่ยแล้ว กยศ.ใช้เงิน 1,255 ล้านบาท เป็นค่าจ้างทนายไปทวงหนี้
จากการบริหารหนี้ที่คิดแต่ผลกำไร คิดดอกเบี้ย คิดเงินค่าปรับ ทำให้เด็กนักเรียนนักศึกษากว่า 1.6 ล้านคนติดหนี้ กยศ. รวมทั้งผู้ปกครองและผู้ค้ำประกัน ได้รับผลกระทบกว่า 20 ล้านคน ผิดวัตถุประสงค์ของกองทุน และขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศ
การคิดดอกเบี้ยและค่าปรับของ กยศ. เป็นการค้ากำไรบนคราบน้ำตาของประชาชน ซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา กยศ. ไม่ใช่กองทุนที่มีวัตถุประสงค์จัดตั้งขึ้นมาเพื่อค้าหากำไร แต่เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือนักเรียน นักศึกษา ให้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้มากที่สุด
ผมจึงขอเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการต่อไปนี้ เพื่อเปลี่ยน กยศ. จากกองทุนที่ค้าหากำไรบนคราบน้ำตาของประชาชน มาเป็นกองทุนที่ส่งเสริมและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียน นักศึกษา ให้เข้าถึงการศึกษาได้อย่างแท้จริง ได้แก่
1. ยกเลิกการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ยืม กยศ. เนื่องจากเงินกู้ยืมนี้เป็นการกู้ยืมเพื่อการศึกษา รัฐมีหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปคิดดอกเบี้ยจากผู้ด้อยโอกาส
2. ยกเลิกการคิดเบี้ยปรับเงินกู้ยืม กยศ. โดยกองทุนต้องถือหลักที่ว่ากองทุนจะต้องช่วยส่งเสริมให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้โดยเร็ว ไม่ใช่ไปแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดจากลูกหนี้
3. พักชำระหนี้แก่ลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ หยุดการดำเนินคดี ไม่ต้องฟ้องร้องบังคับคดี หรือฟ้องยึดทรัพย์ ให้ผู้กู้ได้มีเวลาหางาน หาเงินมาใช้หนี้ ในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำ เงินหดรายได้หายเช่นนี้
4. นำงบประมาณปีละ 1,000 ล้านบาท ที่กองทุน กยศ. นำไปจ้างทนายมาทวงหนี้ประชาชน เอาไปชดใช้กองทุนในส่วนที่เกิดหนี้เสีย ซึ่งผู้กู้ไม่มีความสามารถอย่างแท้จริงในการใช้หนี้คืน หรือนำไปเป็นงบประมาณดำเนินการด้านอื่นของกองทุน
ข้อเสนอในเบื้องต้นทั้ง 4 ข้อนี้ จะช่วยพลิกฟื้นกองทุน กยศ. ให้กลับมาเป็นกองทุนที่ทำเพื่อนักศึกษาและประชาชน ไม่ใช่กองทุนที่ค้าหากำไรบนคราบน้ำตาของประชาชน ให้กลายมาเป็นกองทุนที่สร้างความเป็นธรรม และเสริมสร้างโอกาสให้คนไทย เข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้นต่อไป
ดร.ปิติพงศ์ เต็มเจริญ
หัวหน้าพรรคเป็นธรรม
🏮🏮🧧🧧新正如意, 新年发财
(ซิงเจียหยู่อี่ ซิงนี้ฟาไฉ)🧧🧧🏮🏮�🎊คิดหวังสิ่งใดขอให้สมหวังสมปรารถนา
มีแต่ความสุขและร่ำรวยตลอดปี🎊
“ตรุษจีนปีนี้ไม่ขออั่งเปา
ขอแค่เธอหันมารักเราสักนิดก็พอ”
ก็เพราะว่า “หัวหมูมีไว้ไหว้เจ้า
แต่หัวใจเราอ่ะมีไว้ให้เธอ”❤️❤️
จัดไป 1 คำอวยพร กับอีก 2 แคปชั่น
ถ้ายังไม่มาตกหลุมอีก
โดนน้ำมันพรายแน่ 555
ได้ 23,150 ชิ้นแล้วนะครับ
เท่ากับว่า ตอนนี้ เราสามารถช่วยเด็กได้แล้ว
เกือบ 1,000 คน ให้มีหน้ากากอนามัย
ใช้ได้ ใน 1 เดือน
เป็นโครงการเล็กๆ ที่กุศล ยิ่งใหญ่จริงๆ ครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยบริจาค
ร่วมกันมองเห็นถึงปัญหา
กับมองเห็นศักยภาพและเชื่อมั่นในตัวผม
การบริหารจัดการของผู้บริหารสถานศึกษา
คือส่วนสำคัญ ส่วนหนึ่งในการพัฒนาเด็ก
นี่คือตัวอย่างของการบริหารจัดการงบประมาณ
อาหารกลางวัน สำหรับเด็ก ที่ ดีมาก ตัวอย่างหนึ่ง
คือโรงเรียนท่าตอเลิศบุญยงค์วิทยา
อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา ครับ
โรงเรียนนี้ เป็นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา
คือ เรียนประถม ที่ มีการจัดการเรียนการสอน
ในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เพิ่มเติม
งบประมาณในอาหารกลางวันคือ ขั้นอนุบาลจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6
ข้อคำถาม แล้ว มัธยมศึกษาตอนต้นละ?
เราอาจจะได้หลายคำตอบ คือ
-ซื้อทานเอง
-กลับไปทานที่บ้าน
-โรงเรียน จัดจำหน่ายในราคาประหยัด
-ห่อมาทาน
และอีก หลายคำตอบมากมาย
ซึ่งถ้าคิดตามกันง่ายๆ
ถ้ามีปัจจัยในระดับหนึ่ง
ทำไมถึงเรียน มัธยมต้นในโรงเรียนขยายโอกาส?
นั่นเพราะ เค้า เข้าไม่ถึง โอกาส ครับ
ผู้บริหารสถานศึกษาแห่งนี้ จึงบริหารจัดการ
งบประมาณอาหารกลางวัน
ของเด็กเล็ก ให้พี่เด็กโต ได้ อิ่มท้องด้วย
สิ่งใดขาด หรือไม่พอก็ไม่อยู่เฉยๆ
ดิ้นรน หามาเติม และเสริม ให้เด็กๆ
และการเป็นเครือข่ายกัน ทำให้ ผมจัดทำโครงการ
อาหารกลางวัน ร่วมกับ ไพลิน
วันนี้ ผมสามารถสนับสนุนข้าวห้อมมะลิ ให้น้องๆ
ภาพอาหารกลางวันยั่วๆ แบบนี้
จะมีทุกวันจนจบภาคการศึกษาครับ
#สร้างอนาคตไทย
ครูดี ศรีย่อมติด ถึงศิษย์ด้วย
ศิษย์ดีช่วย เชิดครู ชูศักดิ์ศรี
ครูชูศิษย์ เพราะว่าคิด ให้ศิษย์ดี
ศิษย์ชูครู เป็นผู้มี กตัญญู
เมื่อเป็น ศิษย์ เป็นครู กันแล้ว
ก็จะเป็นตลอดไป
ระลึกถึงพระคุณครูทุกท่าน ตั้งแต่ อดีต จนถึงปัจจุบัน
เราจะเข้าใจ หัวใจของครู ในวันที่เรา เป็นครู
“ความภูมิใจมิได้อยู่ในพานไหว้ครู
แต่อยู่ในวันที่รู้ ว่าศิษย์นั้นไปได้ดี”
ขอบคุณ ทุกท่านที่ ร่วมบริจาค ครับ
ยอดผู้ติดเชื้อ เพิ่มขึ้นทุกวัน
แถมยอด 1 ใน 3 (ของบางพื้นที่) ติดในเด็ก
ดังนั้นหน้ากากอนามัยนี้ จะเป็นประโยชน์
และเป็นเครื่องมือหนึ่งในการต่อสู้ วิกฤต ครั้งนี้
จะได้มาก ได้น้อย สำหรับผมดีกว่า “ไม่ได้”
และจะทำได้มาก ทำได้น้อย ย่อมดีกว่า “ไม่ทำ” ครับ
#ความหวัง_สร้างได้
2 วันที่ผ่านมาหลังจากที่ผมแสดงถึงปัญหา
ของเด็กๆในชนบทที่ในตอนนี้ไม่มีหน้ากากอนามัยใช้
วันนี้ผมได้รับทั้งหน้ากากอนามัย
และเงินสำหรับนำไปจัดหาแมสสำหรับเด็ก
ทั้งแบบปกติ แบบเกาหลี หรือแบบ 3D
จำนวนที่ได้ในตอนนี้คือ 12,967 ชิ้นแล้วครับ
ขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่าน
แทนเด็กๆ ด้วยนะครับ
มีเสียงสะท้อนว่า มาแก้ไขที่ปลายเหตุ
ซึ่งผมก็ทราบดีครับ ว่ามันคือการแก้ไข ที่ปลายเหตุจริงๆ
แต่ในความคิดของผม การได้ลงมือทำ
มันก็ ยังดีกว่าไม่ได้แก้ไข อะไร
และมองผ่าน กับ เอ่ยปากบ่นไป
ซึ่งการแก้ไขในระยะที่สอง ผมจะประสาน
ส่วนปกครองท้องถิ่น หรือ สาธารณสุข อบต.
ให้ทราบถึงปัญหา และสร้างทางแก้ไขร่วมกันต่อไปครับ มันจะไม่จบแค่นี้
ตอนนี้ผมจะเปิดรับ แมส หรือปัจจัยบริจาค
ไปจนถึง วันที่ 25 มกราคม นี้นะครับ
และจะรีบนำไปมอบให้ถึงมือเด็กๆ ในท้องที่ทันที เพื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งในการต่อสู้กับโควิด-19 ที่เริ่มกลับมาระบาดอีกครั้ง
จะมาอีกกี่ระลอก ก็ให้มันมา
เราจะผ่านไป วิกฤตนี้ไปด้วยกันครับ
เราจะต้องเจอข่าวแบบนี้กันอีกกี่ครั้งครับ?
Videos (show all)
Contact the restaurant
Opening Hours
Monday | 11:00 - 20:00 |
Tuesday | 11:00 - 20:00 |
Wednesday | 11:00 - 20:00 |
Thursday | 11:00 - 20:00 |
Friday | 11:00 - 23:00 |
Saturday | 11:00 - 17:00 |
Sunday | 11:00 - 20:00 |