สารอาหารธรรมชาติบำบัดเซลล์

สารอาหารธรรมชาติบำบัดเซลล์

เพจดูแลสุขภาพด้วยสารอาหารธรรมชาติ?

14/11/2022
Photos from สารอาหารธรรมชาติบำบัดเซลล์'s post 06/07/2022

รู้ทัน...สัญญาณเตือนโรคเบาหวาน
เกิดจากความบกพร่องของตับอ่อนในกระบวนการสร้างอินซูลินและความผิดปกติของกระบวนการเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นพลังงาน ส่งผลให้มีการสะสมระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นโรคเบาหวาน และเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเรื้อรังอื่นๆ มากมายแล้ว ปัจจุบันโรคเบาหวานยังเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ผู้ติดเชื้อ COVID-19 มีอาการรุนแรงจนถึงกับเสียชีวิตได้

ทั้งนี้ นอกจากการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เรายังสามารถสังเกตอาการเพื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน จากสัญญาณต่อไปนี้

1. ปัสสาวะบ่อยมาก
‣ จากภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากไตไม่สามารถกรองน้ำตาลส่วนเกินกลับคืนสู่เลือดได้หมด จึงปล่อยให้น้ำตาลออกมาพร้อมปัสสาวะ ผู้ป่วยเบาหวานจึงปัสสาวะบ่อยและมีปริมาณมาก โดยเฉพาะเวลากลางคืนมักต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ

2. คอแห้ง กระหายน้ำ
‣ เกิดจากร่างกายเสียน้ำไปกับการปัสสาวะบ่อยและในปริมาณมาก ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ ส่งผลให้มีอาการคอแห้งกระหายน้ำบ่อย

3. หิวบ่อย กินจุ
‣ เนื่องจากร่างกายขาดพลังงาน จึงทำให้รู้สึกหิวบ่อยจนต้องกินมากขึ้นกว่าเดิม

4. น้ำหนักลด
‣ ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้ และการขาดน้ำจากการปัสสาวะบ่อย ร่างกายจึงจำเป็นต้องนำโปรตีนและไขมันที่เก็บสะสมไว้มาใช้แทน จนทำให้น้ำหนักตัวลดลงโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าเกิดจากการเป็นเบาหวาน

5. ชาปลายมือปลายเท้า
‣ เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย ส่งผลให้อวัยวะบางส่วนชา หรืออาจมีอาการที่ใกล้เคียงกัน คือความรู้สึกจากการสัมผัสลดลงจนไม่เหลือความรู้สึกบริเวณปลายประสาท

6. แผลหายช้า
‣ เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง จนทำให้การทำงานของหลอดเลือดผิดปกติ เลือดจึงไม่สามารถหล่อเลี้ยงแผลได้เพียงพอ กระบวนการในการซ่อมแซมร่างกายที่ผิดปกติ ส่งผลให้แผลหายช้า หากดูแลรักษาไม่ดีอาจกลายเป็นแผลเรื้อรัง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย

7. ตาพร่ามัว มองไม่ชัด
‣ สายตาที่พร่ามัวเกิดจากระดับของน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป ส่งผลให้มีปริมาณน้ำตาลคั่งในเลนส์ตา และยังสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยากับดวงตาจนทำให้เส้นเลือดประสาทตา (Retina) ผิดปกติ โดยอาการตาพร่ามัวอาจรุนแรงจนถึงขั้นตาบอดได้

8. ผิวหนังแห้งและคัน
‣ เกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน จึงปัสสาวะบ่อยจนทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลให้ผิวแห้ง หรือมีอาการคันตามผิวหนังโดยไม่พบรอยโรค

ดังนั้น ใครก็ตามที่มีอาการหรือสัญญาณเตือนเหล่านี้ ก็บ่งบอกได้ว่าน่าจะมีภาวะเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานอยู่ ดังนั้นเมื่อสงสัยในความผิดปกติที่เกิดขึ้นร่างกาย จงอย่าชะล่าใจ! ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจ “คัดกรองเบาหวาน” จะได้ผลการวินิจฉัยที่ถูกต้องแม่นยำ เพื่อการรักษาอย่างทันท่วงที

เพราะ “โรคเบาหวาน” เป็นโรคที่เราสามารถป้องกันได้ เพียงแค่ปรับพฤติกรรม รักษาสุขภาพ ออกกำลังกาย ดูแลอาหารการกินให้ดี เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอก็ลดโอกาสที่จะไม่เป็นผู้ป่วยเบาหวานได้แล้ว! แต่หากมีอาการเมื่อไหร่ ควรรีบพบแพทย์
📌 ดูแลตัวเองด้วยผลิตภัณฑ์พอลลิติน
Pollitin สารสกัดธรรมชาติคุณภาพสูง จากอณูละอองเกสรดอกไม้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น NUTRACEUTICAL หรือสารอาหารบำบัด Pollitin มีการจำหน่ายไปกว่า 50 ประเทศใน 6 ทวีปทั่วโลก ยาวนานกว่า 50 ปี ขั้นตอนการผลิต เป็นไปตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก ได้รับค่า มาตรฐานเฉพาะผลิตภัณฑ์ระดับโลก คือ ORAC หรือ ค่าระดับความเข้มข้นของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สูงมาก ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีอยู่เกือบ 100%สอบถามเพิ่มเติม
โทร:093-8259240
🌺https://line.me/ti/p/SmiacMIEJO
🌺https://siripornmxproteinhappy.weebly.com/
#สารสกัดจากธรรมชาติ #ต้านอนุมูลอิสระ #เกสรดอกไม้สกัด

Photos from สารอาหารธรรมชาติบำบัดเซลล์'s post 23/06/2022

มะเร็งคือโรคร้ายที่รักษาได้ยาก แต่ป้องกันการเกิดได้ เพราะแม้จะเกิดได้จากหลายปัจจัย แต่มีมะเร็งบางชนิดที่เพียงแค่ปรับเปลี่ยนวิธีการกินก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดได้มาก นั่นคือ มะเร็งลำไส้ใหญ่
เรามีคำแนะนำจาก ศูนย์ระบบทางเดินอาหารและตับ (ชั้น 3) โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ถึงเคล็ดลับในการกินอยู่เพื่อลดเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่มาฝากกัน
กินอยู่อย่างไร ให้ห่างไกล "มะเร็งลำไส้ใหญ่"
หลักการกินที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้แก่

▸ รับประทานผัก ผลไม้ เนื่องจากมีไฟเบอร์สูง ทำให้เพิ่มมวลของอุจจาระ ที่สำคัญคือไฟเบอร์ช่วย "ล้างลำไส้" ลดการติดต่อระหว่างสารก่อมะเร็งในอาหารกับผิวลำไส้ แถมยังช่วยเพิ่มแบคทีเรียดีในลำไส้อีกด้วย

▸ งดเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง เนื้อแดง (เนื้อที่มีสีแดงเมื่อสุก และสีคล้ำเมื่อดิบ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู)หรืออาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก โดยเฉพาะอาหารแปรรูปซึ่ง WHO กล่าวว่าการกินอาหารแปรรูป 50 กรัมต่อวัน เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งถึง 18%

▸ ลดการดื่มสุรา
▸ งดสูบบุหรี่
▸ ออกกำลังกายเป็นประจำ
▸ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
📌 ดูแลตัวเองด้วยผลิตภัณฑ์พอลลิติน
Pollitin สารสกัดธรรมชาติคุณภาพสูง จากอณูละอองเกสรดอกไม้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น NUTRACEUTICAL หรือสารอาหารบำบัด Pollitin มีการจำหน่ายไปกว่า 50 ประเทศใน 6 ทวีปทั่วโลก ยาวนานกว่า 50 ปี ขั้นตอนการผลิต เป็นไปตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก ได้รับค่า มาตรฐานเฉพาะผลิตภัณฑ์ระดับโลก คือ ORAC หรือ ค่าระดับความเข้มข้นของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สูงมาก ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีอยู่เกือบ 100%สอบถามเพิ่มเติม
โทร:093-8259240
🌺https://line.me/ti/p/SmiacMIEJO
#สารสกัดจากธรรมชาติ #ต้านอนุมูลอิสระ #เกสรดอกไม้สกัด

10/06/2022

🍀ทำความรู้จักกับโรคฝีดาษลิง เกิดจากอะไร?

โรคฝีดาษลิง หรือไข้ทรพิษลิง (Monkeypox) เกิดจากไวรัส Othopoxvirus ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกันกับเชื้อไวรัสโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ พบในสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีการรักษาหรือมีวัคซีนป้องกันโดยเฉพาะ แต่สามารถควบคุมการระบาดได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ สามารถช่วยป้องกันได้ 85%

🍂อาการเป็นอย่างไร?

โรคฝีดาษลิง ต่างจากโรคฝีดาษทั่วไป โดยมีอาการที่สังเกตได้ คือ หลังจากที่สัมผัสเชื้อไปแล้วประมาณ 12 วัน ผู้ป่วยอาจมีอาการแสดง ได้แก่

📍ระยะก่อนออกผื่น (Invasion Phase)
เริ่มด้วยมีไข้ ปวดหัว ปวดตัว ปวดหลัง อ่อนเพลีย และต่อมน้ำเหลืองโต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการต่อมน้ำเหลืองโต เป็นอาการที่สังเกตได้ของโรคฝีดาษลิง ซึ่งแตกต่างจากโรคอื่นๆ ที่มีตุ่มน้ำตามมา เช่น โรคอีสุกอีใส (Chickenpox) , โรคหัด (Measles) , โรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ (Smallpox)
อาจมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ท้องเสีย อาเจียน และอาการทางระบบหายใจ เช่น เจ็บคอ ไอ เหนื่อย ได้อีกด้วย
📍ระยะออกผื่น (Skin Eruption Phase)
หลังจากมีไข้ประมาณ 1-3 วัน จะเริ่มมีอาการแสดงทางผิวหนัง มีลักษณะตุ่มผื่นขึ้น โดยเป็นตุ่มที่มีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ โดยเริ่มจากรอยแดงจุดๆ เป็นตุ่มนูนแดง ตุ่มน้ำใส ตุ่มน้ำหนอง และจากนั้นจะแห้งออกหรือแตกออกแล้วหลุด เรียงไปตามลำดับ
โดยตุ่มมักจะหนาแน่นที่บริเวณใบหน้า และแขนขา มากกว่าที่ร่างกาย
ในระยะออกผื่น ผื่นจะกลายเป็นสะเก็ดคลุม แห้งและหลุดออกมา โดยใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์
โดยทั่วไปแล้ว อาการป่วยจะกินเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ ส่วนใหญ่สามารถหายจากโรคเองได้ แต่ในกรณีผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีโรคประจำตัว อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม หรือเสียชีวิตได้
ติดต่อจากคนสู่คนได้ไหม?

โรคฝีดาษลิงสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้จากการสัมผัสใกล้ชิด โดยผ่านการสัมผัสทางผิวหนังกับผู้ติดเชื้อโดยตรง หรือสัมผัสวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสชนิดนี้

แม้ว่าโรคฝีดาษลิงจะมีโอกาสติดจากคนสู่คนได้น้อย แต่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อนี้สามารถเสียชีวิตได้ โดยมีอัตราการเสียชีวิต 1-10% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กเล็ก

🏵️ฝีดาษลิง ยังไม่เข้าไทย แต่ควรระมัดระวัง

แม้ว่าปัจจุบัน จะยังไม่พบการแพร่ระบาดโรคฝีดาษลิงในประเทศไทย แต่เราควรทำความรู้จักกับโรคนี้ เพื่อระมัดระวังและป้องกันตนเอง และไม่ตื่นตระหนกหรือวิตกกังวลจนเกินไป สำหรับใครที่ต้องเดินทางไปประเทศสถานที่เสี่ยง อาจมีโอกาสติดเชื้อ และนำเชื้อกลับมายังประเทศไทยได้ อย่าลืมป้องกันตนเอง และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และหากต้องเดินทางไปยังประเทศที่พบว่ามีผู้ป่วยโรคฝีดาษลิง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

🌼วิธีการป้องกันโรคฝีดาษลิง

หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่วย สัตว์ที่เป็นพาหะโดยเฉพาะลิง และสัตว์ฟันแทะ
หมั่นล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังสัมผัสสัตว์ หรือสิ่งของสาธารณะ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง บาดแผล เลือด น้ำเหลืองของสัตว์
ใส่หน้ากากอนามัย เมื่อต้องเดินทางไปยังสถานที่เสี่ยงมีการแพร่ระบาด
หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง แผล ตุ่มหนอง หรือตุ่มน้ำใส จากผู้มีประวัติเสี่ยง หรือสงสัยว่าติดเชื้อ กรณีที่สัมผัสเชื้อไปแล้ว ควรฉีดวัคซีนป้องกันในกรณีที่ยังไม่เกิน 14 วัน
(วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ แต่จะต้องฉีดในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงติดเชื้อเท่านั้น และยังสามารถรับวัคซีนได้ภายหลังจากการได้รับเชื้อไม่เกิน 14 วัน)
สอบถามเพิ่มเติม
โทร:093-8259240

05/06/2022

🌺โรคลมหลับ (Narcolepsy) เป็นความผิดปกติด้านการนอนที่เกิดขึ้นอย่างเรื้อรัง ผู้ป่วยจะรู้สึกง่วงอย่างมากในช่วงกลางวันและมักหลับไปโดยไม่รู้ตัว บางรายอาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงกะทันหันร่วมด้วย ซึ่งมักมีปัจจัยกระตุ้นมากมาย เช่น การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างฉับพลัน เป็นต้น แม้ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่ช่วยให้หายขาดจากโรคนี้ได้ แต่การรับประทานยาและการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสมก็อาจช่วยควบคุมอาการไม่ให้รุนแรงขึ้นได้
🏵️อาการของโรคลมหลับ

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเริ่มแสดงอาการผิดปกติตั้งแต่ช่วงอายุ 10-25 ปี โดยอาการอาจค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นใน 2-3 ปีแรก หรืออาจเกิดขึ้นภายในเวลาเพียง 2-3 สัปดาห์หลังเริ่มแสดงอาการ ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีอาการแตกต่างกันไป ดังนี้
📍ง่วงนอนอย่างมากในช่วงกลางวัน และผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม เช่น ทำงาน พูดคุย รับประทานอาหาร หรือแม้กระทั่งขับรถอยู่ เป็นต้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ และผู้ป่วยมักรู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อได้พักงีบ แต่ก็จะกลับไปมีอาการง่วงอีกครั้ง
📍กล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยมีปัจจัยกระตุ้นทางอารมณ์ เช่น การหัวเราะ ความรู้สึกตื่นเต้น ความโกรธ ความกลัว เป็นต้น
📍อาการผีอำ (Sleep Paralysis) คือ ภาวะที่ผู้ป่วยไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือส่งเสียงได้ในระหว่างที่นอนหลับหรือแม้แต่ขณะตื่น ทว่ายังสามารถเคลื่อนไหวดวงตาและหายใจได้ตามปกติ โดยมักเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น
📍ประสาทหลอนขณะนอนหลับหรืออยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น
🌼สาเหตุของโรคลมหลับ

ปัจจุบันในทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคนี้อย่างแน่ชัด แต่พบว่าผู้ป่วยหลายคนจะมีระดับสารเคมีในสมองที่เรียกว่าไฮโปเครติน (Hypocretin) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับลดต่ำลงกว่าปกติ ทำให้คาดว่าการขาดสารนี้อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรค โดยภาวะที่ร่างกายขาดไฮโปเครตินอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

🍀ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ มีงานวิจัยพบว่าผู้ป่วยโรคลมหลับบางรายมีภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง ทำให้มีการสร้างแอนติบอดี้ขึ้นมาต่อต้านโปรตีนบางชนิดที่ผลิตขึ้นจากสมองส่วนเดียวกับที่ผลิตไฮโปเครติน จึงอาจส่งผลกระทบให้ปริมาณไฮโปเครตินในร่างกายลดลงไปด้วย
ปัญหาสุขภาพ โรคหรือความผิดปกติในร่างกายบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อสมองส่วนที่ผลิตไฮโปเครติน ทำให้ปริมาณไฮโปเครตินในร่างกายลดลง เช่น โรคมะเร็งสมอง โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคสมองอักเสบ หรือการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นบริเวณศีรษะ เป็นต้น
ปัจจัยอื่น ๆ คาดว่าปัจจัยบางอย่างอาจกระตุ้นให้เกิดโรคลมหลับหรือทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานผิดปกติได้ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนอนหลับอย่างฉับพลัน ความเครียด การติดเชื้อ การรับวัคซีคบางชนิดอย่างแพนเดมิกวัคซีน เป็นต้น
🍂การวินิจฉัยโรคลมหลับ

ในขั้นแรกของการวินิจฉัยโรคลมหลับ แพทย์จะสอบถามอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น อย่างความรู้สึกง่วงนอนอย่างมากในเวลากลางวัน หรือความผิดปกติด้านการนอนหลับ และตรวจดูว่ามีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือไม่ หากประเมินแล้วว่ามีโอกาสเป็นโรคนี้ แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้าพบผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวิเคราะห์ลักษณะการนอนหลับอย่างละเอียด ดังนี้

สอบถามประวัติการนอนหลับ แพทย์จะให้ผู้ป่วยตอบแบบสอบถามเพื่อประเมินความเสี่ยงในการหลับไปโดยไม่รู้ตัว โดยให้ระบุตัวเลขความเป็นไปได้ที่จะนอนหลับในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ขณะนั่งพักหลังรับประทานอาการกลางวัน เป็นต้น
เก็บข้อมูลการนอนหลับ เป็นการจดบันทึกรูปแบบการนอนหลับของตนเองทุกวัน และแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยบางรายสวมเครื่องมือที่ข้อมือ เพื่อวัดระยะเวลาที่ตื่นและระยะเวลาที่นอนหลับ (Actigraphy)
🌱การแปลผลตรวจการนอนหลับ (Polysomnography) เป็นการติดขั้วไฟฟ้าไว้บริเวณหนังศีรษะ เพื่อตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง คลื่นไฟฟ้าหัวใจ คลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวของดวงตา และการหายใจขณะนอนหลับ โดยผู้ป่วยอาจต้องนอนที่โรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจชนิดนี้
ตรวจความง่วงนอน (Multiple Sleep Latency Test) เป็นการตรวจวัดระยะเวลาที่รู้สึกง่วงและเวลาที่หลับไปในช่วงกลางวัน โดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะให้ผู้ป่วยงีบหลับ 4-5 ครั้ง ครั้งละประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อสังเกตรูปแบบการนอน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้จะหลับอย่างง่ายดายและรวดเร็ว
🌷นอกจากการวินิจฉัยข้างต้น แพทย์อาจวินิจฉัยด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม เพื่อประเมินสาเหตุของอาการป่วยให้แน่ชัด อย่างการตรวจวัดความดันโลหิต หรือการตรวจเลือด เพราะอาการผิดปกติที่พบอาจเกิดจากการใช้ยาบางชนิด การบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือการเกิดโรคอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุของโรคลมหลับได้ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ โรคซึมเศร้า โรคลมชัก ภาวะขาดไทรอยด์ เป็นต้น
สอบถามเพิ่มเติม
โทร:093-8259249
https://line.me/ti/p/SmiacMIEJO

25/05/2022

3 สารอาหารเสริมภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายแข็งแรง
🔰 วิตามิน D
ปริมาณวิตามินดี ที่ควรได้รับคือ 600 IU ต่อวัน จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสติดเชื้อ
🔰 วิตามิน C
ปริมาณวิตามินซี ที่ควรได้รับคือ 85-100 มก. ต่อวัน เสริมการต้านอนุมูลอิสระ
🔰 ธาตุเหล็ก
ปริมาณธาตุเหล็กที่ควรได้รับต่อวัน คือ ผู้ชาย 11.5 มก. และ ผู้หญิง 20 มก. จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานปกติ ดูดซึมได้ดีเมื่อกินพร้อมกับอาหารวิตามินซีสูง
📌 ดูแลตัวเองด้วยผลิตภัณฑ์พอลลิติน
Pollitin สารสกัดธรรมชาติคุณภาพสูง จากอณูละอองเกสรดอกไม้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น NUTRACEUTICAL หรือสารอาหารบำบัด Pollitin มีการจำหน่ายไปกว่า 50 ประเทศใน 6 ทวีปทั่วโลก ยาวนานกว่า 50 ปี ขั้นตอนการผลิต เป็นไปตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก ได้รับค่า มาตรฐานเฉพาะผลิตภัณฑ์ระดับโลก คือ ORAC หรือ ค่าระดับความเข้มข้นของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สูงมาก ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีอยู่เกือบ 100%สอบถามเพิ่มเติม
โทร:093-8259240
#สารสกัดจากธรรมชาติ #ต้านอนุมูลอิสระ #เกสรดอกไม้สกัด

24/05/2022

🍎🍐ทุเรียนมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญหลายอย่าง เช่น วิตามินซี กรดโฟลิก วิตามินบี โบรบลาเวีย ไนอาซิน และวิตามินเอ และมรแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น โพแทสเซียม เหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียมโซเดียม และฟอสฟอรัส นั้นก็พบได้ในทุเรียน นอกจากนี้ประโยชน์ของทุเรียนยังมีสารอาหาร เช่น ไฟโตนิวเทรียนท์ โปรตีนและไขมัน ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทุเรียนมีใยอาหารในปริมาณสูง ซึ่งใยอาหารนั้นจำเป็นต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบย่อยอาหาร ใยอาหารทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยในเรื่องการขับถ่าย และล้างสารพิษได้

🥝 ประโยชน์🍊

1. ดีต่อของหัวใจ
งานวิจัยประโยชน์ของทุเรียน แสดงให้เห็นว่าทุเรียนสามารถป้องกันโรคหัวใจได้ อธิบายได้ว่าเส้นใยในทุเรียนจะช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด โดยการขูดคอเลสเตอรอลประเภท LDL (โคเลสเตอรอลไม่ดี) ออกจากร่างกายและกำจัดออกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ LDL จะทำอันตรายต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด

2. ลดความดันโลหิต
จากการศึกษาในหัวข้อ “การกินทุเรียนมีผลต่อความดันโลหิตสูงหรือไม่” ได้ผลสรุปว่า การกินทุเรียนไม่ส่งผลให้ระดับความดันโลหิตสูงขึ้นและยังช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจเป็นปกติดี
ทุเรียนยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยธาตุโพแทสเซียม เนื่องจากโพแทสเซียมเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความสมดุลของของเหลวในเซลล์ทั่วร่างกาย โพแทสเซียมจึงมีส่วนช่วยในเรื่องลดความดันโลหิต และยังช่วยในการยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจอีกด้วย

3. มีคุณสมบัติต่อต้านริ้วร้อย
“ราชาแห่งผลไม้” อย่างทุเรียนมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ อันเนื่องมาจากวิตามินและสารเคมีอินทรีย์ที่ช่วยลดจำนวนอนุมูลอิสระในร่างกาย การรับประทานทุเรียนจะช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการกำจัดอนุมูลอิสระได้อย่างดี ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่จะเกิดริ้วรอยและจุดด่างดำก่อนวัย

4. ป้องกันโรคโลหิตจาง
ทุเรียนมีกรดโฟลิคในระดับสูง กรดโฟลิคเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ทุเรียนยังเป็นแหล่งของธาตุเหล็กและทองแดง ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกสองอย่างของเซลล์เม็ดเลือดแดง เมื่อขบวนการผลิตเม็ดเลือดแดงกลับสู่ปกติ อาการของโรคโลหิตจางจะหายไป ซึ่งรวมถึง ไมเกรน อ่อนเพลีย ความวิตกกังวลและความผิดปกติทางสติปัญญา

5. เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
ทุเรียนเป็นแหล่งรวมของแมกนีเซียม โพแทสเซียม แมงกานีสและทองแดง ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงและความทนทานของกระดูก โพแทสเซียมยังเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารจากเซลล์ ดังนั้นจึงช่วยเพิ่มแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์มากมายที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ และแร่ธาตุที่จำเป็นเหล่านี้ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้

🍑สรรพคุณของทุเรียน
-ช่วยทำให้ฝีแห้ง (เนื้อทุเรียน)
-ช่วยแก้โรคผิวหนัง (เนื้อทุเรียน)
-สารสกัดจากใบและรากทุเรียนใช้เป็นยาแก้ไข้ได้ ด้วยการใช้น้ำจากใบวางบนศีรษะของผู้ป่วยจะช่วยลดไข้ได้ (ราก, ใบ)
-ทุเรียนมีสรรพคุณช่วยแก้อาการท้องร่วง (ราก)
-ช่วยขับพยาธิ (ใบ, เนื้อทุเรียน)
-ทุเรียนมีสรรพคุณทางยาช่วยแก้ดีซ่าน (ใบ)
-ช่วยทำให้หนองแห้ง (ใบ)
-ช่วยแก้ตานซาง (เปลือก)
-ช่วยรักษาโรคคางทูม (เปลือก)
-ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย (เปลือก)
-ช่วยแก้ฝี (เปลือก)
-ช่วยรักษาแผลพุพอง (เปลือก)
-ใช้สมานแผล (เปลือก)
-เปลือกทุเรียนใช้ไล่ยุงและแมลง (เปลือก)

🍓เรื่องของทุเรียน
เนื่องจากทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน เพราะถ้าหากทานเข้าไปอาจจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วได้ เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีควรทานทุเรียนในปริมาณที่พอดี
สอบถามเพิ่มเติม
โทร:093-8259240

15/05/2022

🔰 ลิเวอร์โร่ วัน ประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้น สารสกัดจากละอองเกสรดอกไม้ รอยัลเจลลี่ และสารสกัดจากโสม โดยมีคุณสมบัติลดการทำลายของเซลล์ตับจากสารพิษต่างๆ ลดภาวะไขมันพอกตับ ดูแลสุขภาวะของเนื้อเยื่อตับ และรักษาสมดุลย์การทำงานของตับ
🔰 น้ำนมผึ้ง (รอยัล เจลลี่) ประกอบด้วยสารอาหารที่หลากหลายได้แก่ โปรตีน น้ำตาล วิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโน กรดไขมันเอชดีเอ เป็นสารที่มีบทบาทในการเจริญเติบโตของผึ้ง สารแอซิติลโคลีน เป็นสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความรู้สึกและกลไกการทำงานของสมอง รวมถึงฮอร์โมนเพศ เช่น เทสโทสเตอโรน โปรเจสเตอโรน เป็นต้น นอกจากนี้ นมผึ้งยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยในการชะลอวัยและทำให้สุขภาพแข็งแรง เป็นแหล่งของสารอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์มาก
🔰 รากโสมเกาหลีสกัด มีรายงานวิจัยโสมช่วยเพิ่มกลไกการป้องกันสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยบำรุงอวัยวะภายในร่างกาย มีส่วนทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ลดอาการอ่อนเพลีย อีกทั้งยังมีส่วนช่วยปรับสมดุลให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับของ จินซีโนไซด์สอบถามเพิ่มเติม
โทร:093-8259240
#สารสกัดจากธรรมชาติ #ต้านอนุมูลอิสระ #เกสรดอกไม้สกัด

12/05/2022

🍀ไตเป็นอวัยวะหนึ่งที่สำคัญมากกับร่างกาย ทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย ดังนั้นการดูแลไตจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องให้ความสำคัญ เพื่อที่ไตจะได้คงสภาพการทำงานต่อไปได้ หากไตมีปัญหาจะทำให้ประสิทธิภาพในการขับของเสียลดลง ทำให้เกิดอาการตัวบวม และในที่สุดจะทำให้เกิดไตวาย หรือภาวะไตล้มเหลวได้

🌸อาการโรคไตระยะเริ่มต้น

ผู้ที่เริ่มมีอาการของโรคไต ในช่วงแรกแทบไม่มีสัญญาณเตือน โดยอาการมักจะปรากฏในช่วงระยะท้ายๆ เนื่องจากไตได้รับความเสียหายไปมากแล้ว ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคไตมักจะมีอาการต่างๆ เหล่านี้

🥕ปัสสาวะเป็นเลือด ปกติแล้วปัสสาวะจะมีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีเหลืองเข้ม ขึ้นอยู่กับปริมาณการดื่มน้ำในขณะนั้น แต่ถ้าพบว่าปัสสาวะมีเลือดปน อาจจะเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรืออาจเกิดเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
🥕ปัสสาวะเป็นฟอง เกิดจากการมีโปรตีนไข่ขาวรั่วออกมาในปัสสาวะ ซึ่งมักเป็นอาการของภาวะโรคไตเรื้อรัง
🥕ปัสสาวะกลางคืนบ่อยกว่าปกติ ผู้ที่ไตมีความผิดปกติ เช่น โรคไตเรื้อรัง ไตจะไม่สามารถดูดน้ำกลับเก็บในกระเพาะปัสสาวะได้ปกติ จึงทำให้ต้อง ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
🥀มีอาการบวมของหน้าและเท้า
🥀อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ขาดสมาธิ
🥀บางรายน้ำหนักลด แต่บางรายผู้ป่วยอาจจะตัวบวม น้ำหนักขึ้นก็ได้
🥀คลำพบก้อนเนื้อ บริเวณไต
🥀ผิวหนังจะซีด คัน มีจ้ำเลือดขึ้นง่าย
🥀เบื่ออาหาร คลื่นไส้
🥀ปากขม ไม่สามารถรับรสอาหารได้
หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรัง

🍂อาหารที่ผู้ป่วยโรคไตควรรับประทาน
ดูแลสุขภาพไตให้แข็งแรงโดยเน้นการรับประทานอาหารเหล่านี้

🌱เนื้อสัตว์ ควรรับประทานจำพวกปลาทะเลน้ำลึกที่มีไขมันต่ำและโอเมก้า3 หรือเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน
🌱ไข่ขาววันละ 2-3 ฟอง
เลือกใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันคาโนล่า และน้ำมันมะกอกแทน
🌱รับประทานผลไม้ที่มีโพแทสเซียม ผักและผลไม้ที่มีสีอ่อน เช่น แอปเปิ้ล องุ่น ชมพู่ แตงกวา เป็นต้น
🌱ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพรไม่หวานจัด เช่น น้ำใบเตย น้ำอัญชัน เป็นต้น
🌱ใช้วิธีการย่าง ต้ม และอบแทนวิธีการทอด
🏵️อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยโรคไต

สำหรับผู้ป่วยโรคไต นอกจากการหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเค็มแล้ว ควรหลีกเลี่ยงอาหารดังนี้

📍อาหารที่มีโซเดียมและอาหารที่มีรสเค็มเช่นผงชูรส ผงปรุงรส และซอสต่าง ๆ
📍อาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า ผักกาดดอง
📍เนื้อสัตว์ปรุงรสหรืออาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ เบคอน
📍อาหารกระป๋อง เช่น อาหารกึ่งสำเร็จรูปผลไม้กระป๋องปลากระป๋องเป็นต้นเพราะอาหารพวกนี้จะใส่อาหารสารกันบูดและมีปริมาณโซเดียมสูงมาก
📍อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูงจากไขมันอิ่มตัวของพืชและสัตว์ เช่น กะทิ ไข่แดง หมูสามชั้น
📍อาหารที่มีส่วนผสมของเนยและครีม เช่น เค้ก คุกกี้ ขนมปัง รวมถึงของหวาน ขนมที่ใส่กะทิ
เนื้อสัตว์ติดมัน
สอบถามเพิ่มเติม
โทร:093-8259240

04/05/2022

☘️ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Sebaceous Cyst)
ความหมาย ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Sebaceous Cyst)

🌼Sebaceous Cyst หรือ ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง เป็นซีสต์หรือถุงน้ำขนาดเล็กชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นใต้ผิวหนังอย่างช้า ๆ โดยสามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย มักไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงหรือกลายไปเป็นมะเร็ง ยกเว้นเกิดการติดเชื้อหรือการอักเสบมีขนาดใหญ่ หรือซีสต์ชนิดนี้ขึ้นในบริเวณที่อาจเกิดการเสียดสีบ่อย ๆ เช่น ตามลำคอ

🏵️อาการของซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง
ผู้ป่วยจะมีก้อนหรือตุ่มนูนขนาดเล็กบริเวณผิวหนัง ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ไม่กี่มิลลิเมตรไปจนถึงหลายเซนติเมตร โดยมีรูปทรงคล้ายโดม ผิวเรียบ ภายในมีสารสีขาวคล้ายชีสต์หรือไขมัน ก้อนซีสต์มีความนิ่ม สามารถจับเคลื่อนที่ได้เล็กน้อย พบได้บ่อยตามใบหน้า คอ หลังช่วงบน หน้าอก และหนังศีรษะ โดยทั่วไป ก้อนซีสต์ขนาดเล็กมักไม่ค่อยก่อให้เกิดความเจ็บปวด แต่หากมีขนาดใหญ่มากอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัวหรือมีอาการเจ็บปวด โดยเฉพาะซีสต์ที่เกิดบริเวณใบหน้าหรือลำคอ

อย่างไรก็ตาม ซีสต์ในลักษณะนี้ไม่ค่อยเป็นอันตราย แต่อาจเสี่ยงเกิดความผิดปกติหรือกลายเป็นมะเร็งได้ โดยผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจอย่างละเอียดหากสังเกตพบอาการดังต่อไปนี้

🌷ก้อนซีสต์ขยายใหญ่มากกว่า 5 เซนติเมตร
มีก้อนซีสต์โตขึ้นใหม่อย่างรวดเร็วหลังจากผ่าออกไปแล้ว
พบสัญญาณการติดเชื้ออื่น ๆ เช่น มีอาการปวด เกิดรอยแดง มีหนอง เป็นต้น
🍂สาเหตุของซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง
โดยทั่วไปแล้ว ต่อมไขมันใต้ผิวหนังจะทำหน้าที่หลั่งสารประเภทน้ำมันหรือซีบัม (Sebum) ออกมาตามรูขุมขนเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังและเส้นผม เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของต่อมไขมันหรือท่อต่อมไขมันอุดตันหรือได้รับความเสียหาย สารดังกล่าวจะไม่สามารถหลั่งออกไปสู่ผิวชั้นนอกได้ตามปกติและเกิดการสะสมตกค้างอยู่ในรูขุมขนจนกลายเป็นก้อนซีสต์ใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ Sebaceous Cyst อาจเกิดจากเซลล์ผิวหนังชั้นนอกอยู่ผิดที่ โดยไปอยู่ในผิวชั้นหนังแท้แล้วผลิตสารเคอราตินสะสมจนเกิดซีสต์ขึ้น ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ นานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือนถึงเริ่มสังเกตเห็นก้อนซีสต์ได้

🍁โดยการอุดตันของต่อมไขมันใต้ผิวหนังจนทำให้เกิด Sebaceous Cyst อาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น

การเกิดบาดแผลที่ผิวหนัง เช่น รอยขีดข่วน แผลผ่าตัด หรือสิว เป็นต้น เพราะเมื่อร่างกายซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังหลังมีแผล อาจทำให้เซลล์ต่าง ๆ เกิดขึ้นผิดที่ได้
ท่อต่อมไขมันผิดปกติหรือผิดรูปร่าง
ท่อไขมันหรือต่อมเหงื่อเกิดการอุดตัน
เซลล์ได้รับความเสียหายจากการผ่าตัด
เป็นโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคการ์ดเนอร์ซินโดรม (Gardner’s Syndrome) โรคมะเร็งผิวหนังบางชนิด (Basal Cell Nevus Syndrome) หรือเซลล์ผิวหนังอยู่ผิดตำแหน่งแต่กำเนิด
ได้รับรังสียูวีหรือแสงแดดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
การวินิจฉัยซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง
🌸แพทย์สามารถวินิจฉัย Sebaceous Cyst ได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

🥕การซักประวัติและตรวจร่างกาย แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการได้จากการสังเกตลักษณะก้อนเนื้อที่ผิวหนังและการตรวจร่างกายทั่วไป แต่หากพบว่าก้อนซีสต์มีความผิดปกติ สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็ง หรือผู้ป่วยต้องการผ่าก้อนซีสต์ออก แพทย์อาจต้องวินิจฉัยด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม
🥕การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ ซีที สแกน เป็นวิธีที่ช่วยให้แพทย์เห็นลักษณะของก้อนซีสต์ได้ชัดเจนมากขึ้น อาจใช้ตรวจดูบริเวณที่เกิดความผิดปกติอย่างละเอียดหรือเพื่อประเมินการผ่าตัด
การตรวจอัลตราซาวด์ ใช้สำหรับตรวจดูของเหลวที่อยู่ภายในซีสต์
🥕การตัดชิ้นเนื้อตรวจ แพทย์จะผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อบางส่วนจากถุงซีสต์ไปส่งตรวจอย่างละเอียดในห้องปฏิบัติการทางพยาธิวิทยา เพื่อตรวจลักษณะชิ้นเนื้อ ชนิดของเซลล์ และตรวจหาความเป็นไปได้ในการเกิดมะเร็ง
🌿การรักษาซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง
Sebaceous Cyst ไม่มีอันตรายและอาจสลายไปได้เอง จึงไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา ยกเว้นหากเกิดการติดเชื้อ มีอาการอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือต้องการกำจัดออกเพื่อเหตุผลทางความงาม ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม

🌻วิธีการรักษา Sebaceous Cyst แบ่งออกได้เป็น

การดูแลอาการด้วยตนเอง อาจใช้ผ้าอุ่นประคบที่ก้อนซีสต์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการบวมให้ยุบลง และไม่ควรแกะ เกา หรือบีบบริเวณที่เป็นซีสต์ เพราะอาจเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้

🍀การใช้ยา แพทย์จะพิจารณาใช้ยาตามอาการของผู้ป่วย โดยยาที่ใช้มีอยู่หลายชนิด ได้แก่

ยาสเตียรอยด์ ซีสต์ที่เกิดการบวมอาจรักษาได้ด้วยการฉีดยาในกลุ่มสเตียรอยด์เพื่อช่วยให้ก้อนซีสต์ยุบลง แต่หากเกิดการติดเชื้อ จำเป็นต้องกรีดระบายให้หนองออกมาก่อน
ยาปฏิชีวนะ มีทั้งรูปแบบรับประทานและชนิดทาเฉพาะที่ ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังการผ่าตัด หรือใช้เมื่อมีการอักเสบของซีสต์
ยาทาลดรอยแผล เมื่อแผลผ่าตัดหายสนิทดีหลังการผ่าตัด แพทย์อาจให้ผู้ป่วยทายาลดรอยแผล เพื่อช่วยให้รอยแผลดูจางลง
การผ่าตัด เป็นการกำจัดก้อนซีสต์ออกอย่างถาวร แต่อาจมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นตามมา หรืออาจเกิดซีสต์ขึ้นมาใหม่หากผ่าตัดออกไปไม่หมด โดยเฉพาะซีสต์ที่เป็นก้อนนิ่มและมีขนาดใหญ่ หลังผ่าตัดผู้ป่วยควรดูแลรักษาความสะอาดแผล เฝ้าระวังอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น และไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ

🌲วิธีการผ่าตัดแบ่งออกได้หลายแบบ ดังนี้

การผ่าตัดเอาก้อนซีสต์ออกทั้งหมด วิธีนี้อาจส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็นขนาดใหญ่
การผ่าตัดซีสต์ออกไปบางส่วน แม้ทำให้เกิดรอยแผลเป็นน้อยที่สุด แต่ก็มีโอกาสที่ซีสต์จะโตขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน
การผ่าตัดซีสต์ด้วยเลเซอร์ แพทย์จะใช้เลเซอร์ทำลายผนังซีสต์และระบายของเหลวในก้อนซีสต์ออก
ภาวะแทรกซ้อนของซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง
ส่วนใหญ่ภาวะแทรกซ้อนของ Sebaceous Cyst อาจเป็นการติดเชื้อจากการอักเสบหรือถุงซีสต์แตก ซึ่งผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์ทันที และแม้หลังจากเจาะเอาของเหลวในซีสต์ออกหรือผ่าตัดซีสต์ออกไปแล้วจะแทบไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ เกิดขึ้น แต่ผู้ป่วยบางรายก็อาจเกิดซีสต์ขึ้นมาใหม่ได้หลังการผ่าตัด

🥀การป้องกันซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง
แม้การป้องกัน Sebaceous Cyst อาจทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากมีหลายสาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการอุดตันในต่อมไขมันใต้ผิวหนัง แต่อาจลดความเสี่ยงได้ด้วยการรักษาความสะอาดของผิวหนัง และหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจ้า ส่วนผู้ที่มีสิวหรือมีปัญหาทางผิวหนังประเภทอื่น ๆ ควรรักษาให้หายขาด ไม่ปล่อยให้อาการลุกลาม เพื่อลดโอกาสในการเกิดซีสต์ประเภทนี้
สอบถามเพิ่มเติม
โทร093-8259240

24/04/2022

🌺โรคไบโพลาร์☘️

โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) หรือโรคอารมณ์สองขั้ว เป็นโรคที่ผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวนผิดปกติ โดยมีอารมณ์ดีมากจนผิดปกติหรืออยู่ในภาวะอารมณ์ดีตื่นตัวผิดปกติ (Mania) สลับกับมีภาวะซึมเศร้าอย่างหนัก (Depression) ทำให้เกิดความยากลำบากต่อการทำงาน การเข้าสังคม และการใช้ชีวิต

🌼อาการของโรคไบโพลาร์

ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์มี 2 ลักษณะเด่นสลับกัน คือ มีภาวะอารมณ์ดีผิดปกติและภาวะซึมเศร้าสลับกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยมีอาการสังเกตที่เด่นชัด ดังนี้

🍀ภาวะอารมณ์ดีผิดปกติ (Mania)
รู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา มีพลังงานสูงมากจนผิดปกติ
อารมณ์ดี ร่าเริงเกินไปอย่างไม่สมเหตุสมผล อยู่ไม่นิ่ง
โต้ตอบต่อสิ่งเร้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย อารมณ์ไม่คงที่ ไม่มีเหตุผล
ทำกิจกรรมต่าง ๆ มาก ๆ ในคราวเดียวกัน
หุนหันพลันแล่น คิดเร็ว พูดมาก พูดเร็ว ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว
มีความต้องการทางเพศสูง อาจมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าได้ง่ายโดยไม่ป้องกัน
ประมาท ตัดสินใจได้ไม่ดี มีความผิดพลาดสูง ใช้ชีวิตบนความเสี่ยง ใช้เงินฟุ่มเฟือย
🏵️ภาวะซึมเศร้า (Depression)

รู้สึกไร้เรี่ยวแรง อ่อนเพลีย หมดพลังงาน ไม่สดชื่น
ซึมเศร้า เก็บตัว เสียใจง่าย ร้องไห้ง่าย
เหนื่อยหน่าย เบื่อ ท้อแท้ สิ้นหวัง
ครุ่นคิด วิตกกังวลต่อสิ่งต่าง ๆ ฟุ้งซ่าน มองโลกในแง่ร้าย
ไม่มีความสุขในชีวิต ไม่มีอารมณ์ขัน ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ทำให้รู้สึกดีหรือผ่อนคลาย
รู้สึกผิดหวัง ว่างเปล่า โดดเดี่ยว ไร้ค่า มีความคิดอยากตายหรืออยากฆ่าตัวตาย
มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ ไม่สามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ ไม่มีสมาธิในการทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วง
ทำกิจกรรมต่าง ๆ ลดน้อยลงมาก ไม่อยากทำอะไร
มีปัญหาในการนอน นอนไม่หลับ นอนมากหรือน้อยเกินไป
มีปัญหาด้านการกิน กินอาหารปริมาณมากหรือน้อยจนเกินพอดี
มีแนวโน้มใช้สารเสพติด

🌸สาเหตุของโรคไบโพลาร์

ปัจจัยทางชีวภาพ
อาการของโรคไบโพลาร์จะเกิดขึ้นเมื่อมีสารสื่อประสาทนอร์อะดรีนาลีน เซโรโทนิน และโดปามีน ในระดับที่ไม่สมดุลกัน ซึ่งจะทำให้มีอารมณ์ดี อยู่ในภาวะร่าเริงผิดปกติ และจะมีภาวะซึมเศร้า เบื่อหน่าย สลับกันไป โดยสารสื่อประสาทในสมองที่ส่งผลต่อการเกิดโรคนี้ มีลักษณะดังนี้

📍สารนอร์อะดรีนาลีน (Noradrenaline) ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ซึ่งเกี่ยวข้องกับอารมณ์และการตอบสนองต่อความเครียด ความกลัว หรือความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น รวมทั้งระบบความจำ การรับรู้ และการรู้สึกตัว
📍สารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่ควบคุมการรับรู้ความรู้สึกและการทำงานของสมองสั่งการ เช่น ความรู้สึกอยากอาหาร ความจำระยะสั้น การนอนหลับ เป็นต้น
📍สารโดปามีน (Dopamine) เป็นสารที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก เมื่อมีการหลั่งสาร จะกระตุ้นการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ทำให้ตื่นตัว กระฉับกระเฉง และว่องไว
🍁ปัจจัยทางกรรมพันธุ์
ผู้ป่วยไบโพลาร์มักมีญาติที่ป่วยเป็นโรคนี้หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางอารมณ์ โดยเฉพาะญาติที่มีความใกล้ชิดเชื่อมโยงกันทางสายเลือดอย่างพ่อแม่ พี่หรือน้อง แม้จะยังไม่มีงานวิจัยสนับสนุนที่แน่ชัด แต่ก็ยังคงมีการศึกษายีนส์ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคนี้อยู่อย่างต่อเนื่อง

🌻ปัจจัยอื่น ๆ
ผู้ป่วยอาจได้รับแรงกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกที่กระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจ เช่น ความผิดหวัง ความเสียใจอย่างรุนแรงหรือฉับพลัน การเจ็บป่วยทางร่างกาย ปัญหาความสัมพันธ์กับบุคคลใกล้ชิด ความเครียดจากการเรียนและการทำงาน เป็นต้น

🌲การวินิจฉัยโรคไบโพลาร์

ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคนี้ต้องไปพบจิตแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย รวมถึงอาจต้องตรวจเลือดหรือปัสสาวะด้วย เพื่อหาสาเหตุของอาการเจ็บป่วยทางร่างกายอันเป็นที่มาของสภาวะทางอารมณ์ที่ไม่มั่นคง โดยจิตแพทย์จะใช้ชุดคำถามจากคู่มือการวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต เพื่อทดสอบว่าผู้ป่วยเป็นโรคอารมณ์สองขั้วหรือไม่ รวมทั้งซักถามลักษณะอาการและปัญหาที่ประสบจากอาการที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซักประวัติครอบครัวว่ามีญาติที่เคยประสบปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่ ซักถามว่าเคยมีความคิดที่เป็นอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่นหรือไม่ และสอบถามเกี่ยวกับประวัติการใช้ยาที่อาจมีผลกระทบต่ออารมณ์ แล้วจึงจัดเตรียมขั้นตอนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

🍂การรักษาโรคไบโพลาร์

ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาตามกระบวนการที่เหมาะสมกับความรุนแรงและลักษณะอาการ อย่างไรก็ตาม โรคไบโพลาร์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถใช้ยาปรับสมดุลสารสื่อประสาทและการบำบัดเพื่อช่วยบรรเทาและควบคุมอาการป่วยได้ ดังนี้

🥀การรักษาด้วยยา
ผู้ป่วยต้องใช้ยาเพื่อปรับสารสื่อประสาทในสมองให้กลับสู่สภาวะปกติ ควบคุมสารไม่ให้สูงหรือต่ำจนทำให้เกิดภาวะอารมณ์ดีผิดปกติหรือภาวะซึมเศร้า แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว แต่ผู้ป่วยต้องใช้ยาตามคำสั่งแพทย์อย่างต่อเนื่องหรือจนกว่าแพทย์จะสั่งให้หยุดใช้ รวมทั้งมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากหยุดใช้ยาอย่างกะทันหันหรือขาดการรักษาอย่างต่อเนื่อง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลับไปมีอาการของโรคซ้ำอีก หรืออาจมีอาการรุนแรงกว่าที่เคยเป็น

🌿โดยยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยไบโพลาร์ ได้แก่

🥕ยากลุ่มลิเทียม (Lithium Carbonate) ใช้รักษาระยะยาวภายใต้การดูแลของแพทย์ และต้องควบคุมยาให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกายเสมอ เพื่อลดการเกิดผลข้างเคียง โดยผู้ป่วยที่ใช้ยาลิเทียมต้องรับการตรวจเลือด ตรวจการทำงานของไตและต่อมไทรอยด์ และตรวจระดับลิเทียมในเลือดเป็นระยะ
🥕ยารักษาโรคลมชัก (Anticonvulsant) เป็นยาที่ใช้รักษาอารมณ์แปรปรวนในระยะยาว ซึ่งอาจใช้ควบคู่กับยาลิเทียมตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย โดยมีตัวอย่างยา เช่น วาลโปรเอท คาร์บามาซีปีน และลาโมไตรจีน เป็นต้น
🥕ยารักษาอาการทางจิต (Antipsychotic) ใช้รักษากลุ่มอาการทางจิตที่เกิดขึ้นในขณะเป็นโรคอารมณ์สองขั้ว เช่น อะริพิพราโซล โอแลนซาปีน เควทาเอปีน และเรสเพอริโดน เป็นต้น
ยาต้านเศร้า (Antidepressant) ใช้รักษาร่วมกับยาอื่นในกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในภาวะซึมเศร้า เพื่อปรับสภาวะทางอารมณ์ให้มั่นคง เช่น ฟลูออกซิทีน เป็นต้น
🥕ยาคลายกังวล (Anti-Anxiety) ช่วยคลายความวิตกกังวล ความคิดฟุ้งซ่าน และบรรเทาปัญหาด้านการนอนที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยไบโพลาร์อย่างอาการนอนไม่หลับ เช่น เบนโซไดอะซีปีน เป็นต้น
การบำบัดรักษา
นอกเหนือจากการรักษาฟื้นฟูทางร่างกาย ผู้ป่วยไบโพลาร์ต้องเข้ารับการบำบัดจากจิตแพทย์อย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งประกอบไปด้วยการรับคำปรึกษาและการบำบัดทางจิต (Psychotherapy) การเข้าร่วมกลุ่มบำบัดกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ และการศึกษาเกี่ยวกับโรคความผิดปกติทางจิตและอารมณ์ที่ตนเป็นอยู่ เพื่อให้รับมืออาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น

🌷ภาวะแทรกซ้อนของโรคไบโพลาร์

โรคไบโพลาร์เพิ่มความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น โรคความผิดปกติด้านการกิน โรคทางจิต โรคไมเกรน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคสมาธิสั้น และโรคอ้วน เป็นต้น

นอกจากนี้ พฤติกรรมหรืออาการที่เกิดจากอารมณ์แปรปรวนมักจะก่อปัญหาให้กับชีวิตผู้ป่วยอยู่เสมอ เช่น มีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เกิดผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการเรียน การทำงาน และการตัดสินใจต่าง ๆ ติดสุราหรือยาเสพติด เกิดปัญหาอาชญากรรม ตลอดจนมีความคิดหรือพยายามฆ่าตัวตาย เป็นต้น

🌳การป้องกันโรคไบโพลาร์

แม้จะไม่มีวิธีที่แน่นอนในการป้องกันโรคไบโพลาร์ แต่อาจป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ หรือป้องกันการเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ เช่น

🔸ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุ
รักษาสุขภาพจิตให้ดี หลีกเลี่ยงการเผชิญความเครียดต่าง ๆ
🔸เข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ และกินยาตามคำสั่งของแพทย์ เพื่อให้สภาวะทางอารมณ์คงที่ และป้องกันการเกิดอารมณ์แปรปรวนที่ควบคุมไม่ได้
ไม่หยุดการรักษา และไม่เลิกกินยากลางคันเพราะคิดว่าอาการดีขึ้นแล้ว เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่อาการจะกลับมา หรืออาการอาจกำเริบหนักกว่าเดิม
ระมัดระวังเรื่องการใช้ยาชนิดอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อระดับสารเคมีในสมองที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์
สังเกตอาการที่เป็นสัญญาณสำคัญของโรคหรืออาการแทรกซ้อนต่าง ๆ แล้วรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมหากพบความผิดปกติ
สอบถามเพิ่มเติม
โทร093-8259240

Telephone

Website