หนังสือและสื่อภาษาอังกฤษเสริมพัฒนาการเด็ก : Reading Grove

แนะนำหนังสือเก่า

กิจกรรมการสร้างสรรค์วรรณกรรมเยาวชน โดย วิทยากรรับเชิญ คุณแพรว - พราวพรรณราย มัลลิกะมาลย์ จาก บริษัทอาร์ทิพาเนีย จำกัด ผู้มีประสบการณ์ทำงานด้าน Design Thinking และ Visual Thinking มากกว่า 15 ปี ทั้งด้านการออกแบบ สื่อสาร และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์

ในการบรรยาย คุณแพรวแชร์ประสบการณ์การทำหนังสือเด็กในยุคแรกของคุณแพรวที่จัดทำในแบบ crowd funding platform คือการรวมตัวกันกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญและมีใจรักในการแบ่งปันกับสังคม ตอบโจทย์ความต้องการของคนอ่านและผู้ปกครอง หนังสือในชุดแรกเป็นหนังสือเรื่องราวของเด็กที่มี LD (Learning Disability) เช่น เรื่อง เด็กชายกะปิ, ทำไมแม่ตื่นเช้า, บ้านเลี้ยงเดี่ยว, พ่อไม่ได้ท้อง, และ กระท้อนไปหาหมอ ซึ่งปัจจุบันมีเหลือแค่เรื่องเดียวคือ กระท้อนไปหาหมอ

ช่วงสอง คือการแชร์ประสบการณ์การทำ workbook สื่อสร้างสรรค์เสริม emotional literacy ตอบโจทย์การนำไปใช้เอง โดยผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่จะนำไปใช้ให้คำแนะนำ เสริมสร้างความสุขให้เด็ก ในชุด สุข...ศึกษา และ เสริมสร้าง social skills ในชุด สังคม...ศึกษา จุดเด่นของหนังสือชุด workbook คือ การที่เด็กได้ทำแบบฝึกที่ช่วยให้เขาได้เข้าใจอารมณ์และการแก้ปัญหาทางอารมณ์ที่เหมาะสม การใช้คำ และการออกแบบแบฝึกมีกราฟฟิกที่เรียบเรียงความคิด ก่อนนำไปสู่คำตอบให้เด็กค้นพบเอง โดยที่ผู้ปกครองคอยแนะนำห่างๆ

ตัวอย่างบางส่วนอยู่ในคลิป
https://www.youtube.com/watch?v=XG1rZEG-_FU

การใช้ภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์ คือเรียนรู้เขียน_อ่าน_บทกวีขนาดสั้นไร้ฉันทลักษณ์ free verse หรือทำในแบบไฮกุสมัยใหม่ modern haiku ประกอบภาพเขียน เหมาะกับการเรียนศัพท์ในบริบท

11-12ธ.ค.2563 พบกับเราที่งาน Ubon Art Festival หนังสือวรรณกรรมเด็ก โปสการ์ดภาพสีน้ำพร้อมบทกวี

Coming-up book reviews

ฝากช่อง YouTube สำหรับน้องๆที่มองหาที่ติวฟรีออนไลน์ค่ะ

เฉลย อังกฤษ O-Net ป. 6 ปี 62 ข้อ 1-22 เฉลยอังกฤษ ป. 6 โอเน็ต 62

หนังสือและสื่อภาษาอังกฤษเสริมพัฒนาการเด็ก : Reading Grove updated their business hours.

หนังสือและสื่อภาษาอังกฤษเสริมพัฒนาการเด็ก : Reading Grove updated their website address.

***เมื่อหนังสือเดินทางข้ามเวลามาพบกัน***

นวนิยายเยาวชนเรื่อง See You in The Cosmos (2017) เป็นผลงานของนักเขียนอเมริกันเชื้อสายจีน--Jack Cheng--- เขาเกิดที่เซี่ยงไฮ้ แต่มาเติบโตในรัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มอาชีพเขียนหนังสือหลังจากที่ Cheng ได้ทำงานในสายโฆษณาและเทคโนโลยี ที่นิวยอร์กร่วมสิบปี นวนิยายเรื่อง See You in the Cosmos เป็นนวนิยายเยาวชนเรื่องแรกของเขา ปัจจุบัน Cheng อยู่ที่เมือง Detroit, Michigan

ครูแนะนำผู้อ่านอายุ 10-12 ปีที่อ่านภาษาอังกฤษคล่อง ฟัง พูด อ่าน เขียน ด้วยภาษาอังกฤษเกือบทุกวันตั้งแต่เรียนอนุบาล โดยเทียบเคียงอายุและประสบการณ์ ที่ตัวเอกของเรื่องคือ เด็กชาย Alex ผู้มีอายุ 11 ปี ครูอยากแนะนำนวนิยายเล่มนี้สำหรับน้องๆ อายุมากกว่า 11 ทีเข้าใจโครงสร้างภาษาอังกฤษระดับ B1 ของ CEFR ความยาวหนังสือ 312 หน้า ผู้ใหญ่ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยตามเกณฑ์มาตรฐานที่ระดับ B2 สามารถอ่านจบภายใน 3-4 ชั่วโมง อย่างต่อเนื่องสบาย ๆ นอกจากนี้แล้ว ผู้สนใจทุกวัยก็อ่านได้ตามระดับของตน อาจใช้เวลาและอุตสาหะต่างกันไป

เด็กชาย Alex มีความปรารถนาจะส่งเสียงที่อัดในอุปกรณ์ iPod ของเขาไปยังมนุษย์ต่างดาว โดยเส้นทางฝันเริ่มที่การเข้าร่วมพูดคุยในฟอรั่มแห่งหนึ่งในเว็บไซต์หรือชมรมคนประดิษฐ์จรวด ทำให้ได้ข่าวงานชุมนุมคนรักจรวด SHARF และ Alex เชื่อว่าเขาจะสามารถติด iPod ที่บรรจุไฟล์เสียงเรื่องราวของมนุษย์และโลกใส่ในจรวดที่ตนประดิษฐ์เองขึ้นสูงถึงนอกชั้นบรรยากาศ เพื่อให้มนุษย์ต่างดาวเก็บไปศึกษา การเดินทางของ Alex มีอุปสรรค แต่ชีวิตที่ไม่เพียบพร้อมกลับได้พบเจอแต่เรื่องราวดีๆ กำลังใจจากเพื่อนใหม่ต่างวัย และสุนัขน้อยร่วมเดินทางชื่อ Carl Sagan สุนัขหลงทางที่ Alex นำมาเลี้ยงไม่นานก่อนเดินทาง เขาตั้งชื่อตามฮีโร่ของเขา นวนิยายใช้เทคนิคการเล่าเรื่องโดย Alex แต่ละบทแต่ละตอน คือเสียงที่อ่านและบันทึกใน iPOD

เข้าเรื่องตามภาพประกอบ และที่ตั้งชื่อไว้ "เมื่อหนังสือเดินทางข้ามเวลามาพบกัน" เหตุเกิดที่ครูเองที่ทำให้ปรากฏการณ์นี้เป็นจริง เนื่องจาก See You In The Cosmos หนังสือปี 2017 ได้กล่าวถึงหนังสือของ Dr. Carl Sagan ที่ประพันธ์ไว้ ใน ปี 1985 ครูเห็นภาพเสมือน เด็กชายอายุ 11 ปี ได้พบกับอัจฉริยะทางดาราศาสตร์อายุ 34 ปี

เมื่อครูอ่านจนถึงชื่อ Carl Sagan ในบรรทัดแรกของหน้าที่ 2 และหลายๆ หน้าต่อมา จนเมื่ออ่าน See You In The Cosmos จบ ครูก็ไปรื้อหาหนังสือในกรุจนได้ และเปิด Contact อ่านอีกรอบ หน้าคำอุทิศ ท่านกล่าวอุทิศให้ Alexandra (ครูก็เริ่มคิดแล้วว่า คุณ Cheng ตั้งชื่อพระเอกวัย 11 ขวบ ว่า Alex คงจะเกี่ยวกันสักอย่าง) ประโยคอุทิศว่า "แด่ Alexandra ผู้ที่จะเข้าสู่วัยรุ่นในยุคมิลเลเนียม พวกเราขอส่งมอบโลกที่สวยงามกว่าโลกที่พวกเราได้รับมา แด่เธอและคนรุ่นของเธอ" และในหน้าแรก Part 1 ยกเอาบทกวีของเด็ก เกรด 5 ด.ช. มาร์วิน เมอร์เซอร์ ที่เขียนว่า

หัวใจของผมสั่นไหวเหมือนใบไม้ที่น่าสงสาร
เหล่าดาวเคราะห์หมุนติ้วในความฝัน
ดวงดาวแนบแก้มกับหน้าต่างห้องผม
ผมหมุนตัวบนเตียงนอน
ที่นอนของผมคือดาวเคราะห์อันอบอุ่น

---มาร์วิน เมอร์เซอร์
พีเอส 153 เกรด 5 ฮาร์เล็ม
นิวยอร์ก ซีตี้ นิวยอร์ก ๖1981)

บทแรก Dr. Sagan ก็ได้โปรยบทกวีคลาสสิก ของ William Blake ไว้อย่างนี้

แมลงวันตัวน้อย
ฤดูร้อนคือช่วงเวลาละเล่นของเจ้า
มือสิ้นคิดของข้า
ปัดโดนตัวเจ้าเสียแล้ว

หรือข้ามิใช่
แมลงวันเช่นเจ้า?
หรือเจ้ามิใช่
มนุษย์เช่นข้า

ด้วยข้าเต้นรำ
ดื่มกิน และร้องเพลง
จวบจนมือหนึ่งซึ่งมืดบอด
ตวัดโดนปีกข้า

---วิลเลี่ยม เบล๊ค
บทแปล "The Fly" จาก Songs of Innocence
วรรคที 1-3 (ค.ศ. 1795)

และบทกวีงดงาม อีกบท ของ Walt Whitman

โลก ที่ซึ่งพอเพียง
ข้าพเจ้าไม่หวังให้หมู่ดาวใดชิดใกล้กว่านี้
ข้าพเจ้ารู้ว่าดาวเหล่านั้นมีอัตภาพดีในที่สถิตย์อยู่
พวกเขาตอบแทนจนอิ่มใจ เฉพาะคนที่คู่ควร
---จาก Leaves of Grass (ค.ศ. 1855)

ใครๆ ได้อ่าน See You In The Cosmos จะหลงรักน้อง Alex ก็จะรักชื่นชมงานเขียนของ Dr. Carl Sagan ต้องขอบคุณ Jack Cheng มาก ๆ ที่ทำให้ได้หยิบ Contact มาอ่านอีกรอบ (ในรอบยี่สิบปีที่เดียวเชียว)

เรื่องและภาพประกอบ โดย ปรียาภรณ์ พลังจักรวาล เจริญบุตร C.

a concrete poem or shape poem วรรณรูป

21 ต.ค.62

Stephen Krashen ปรมาจารย์การสอนการอ่าน กล่าวถึงงานวิจัยด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ พบว่า คนที่จนมากๆ มีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่ระดับการอ่านออกเขียนได้นั้นไม่ดี

ในอเมริกายังพบว่าคนที่เรียนจบปริญญาตรีจำนวนหนึ่ง แม้จะน้อยมากก็ตาม คือคนที่อ่านหนังสือไม่คล่อง อ่านไม่ออกบางคำ เป็นผลมาจากขาด "พลังในการอ่าน" และการสร้างทักษะอ่านที่ดีคือเกิดจากการอ่านในเวลาว่าง แค่วันละอย่างน้อย 16 นาทีติดต่อกัน ไม่ใช่อ่านจากหนังสือฝึกการอ่านหรือการฝึกทำข้อสอบอ่าน

Tai Lopez ผู้ประสบความสำเร็จในการแนะแนวเรื่อง How to Live a Good Life ก็ยังกล่าวว่า เขาอ่านหนังสือวันละ 1 เล่ม ทุกวัน (คำนำ บทแรก บทสุดท้าย และวนกลับมาอีกในอนาคตเพื่ออ่านจบ หรือไม่จบก็ได้ แต่หนังสือหลายเล่มจะได้เปิดอ่านเรื่อย ๆ)

รองศาสตราจารย์สายวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง ได้ตั้งคำถามน่าคิดว่า หลักสูตรปริญญาตรีด้านภาษาอังกฤษ ที่มีอยู่นี้ "ดีกว่า Google ยังไง" ก็เป็นความคิดเห็นที่น่าสนใจมาก ๆ อีกเรื่อง เพราะเราคิดเสมอว่าของเราดี ยิ่งทำให้เราทบทวนตัวเองและโลกที่หมุนรอบตัวเองใหม่

เอาจริงๆ ก็คงมีคนสงสัยแบบที่ท่านนี้ที่ถามลอยๆ มา ถ้าจะตอบแบบลอยๆ ไป ไม่ต้องหางานวิจัยมาสนับสนุน ก็คือ Google ให้เครื่องมือ ค้นหาคำตอบมาตอบอะไรก็ได้ ช่วยหาข้อความ ลอกคนอื่นมาทำงานส่งก็ได้ แปลภาษา ที่ทำให้คนใช้ภาษาอังกฤษ สื่อสารในชีวิตประจำวันระดับปฏิบัติการก็ได้ แต่ในเชิงทักษะความคิดวิเคราะห์ การเชื่ิอมโยงความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับบริบท ประสบการณ์ นั้น ไม่สามารถทำได้เหมือนมนุษย์ และ Google อาจจะทำให้คนเป็น Active user ได้ แต่ในเรื่องการเข้าใจตนเองและมนุษย์อื่นนั้น Google ไม่ได้เน้นแน่นอน

นึกถึงนวนิยาย SciFi เรื่อง Feed (ผลงานปี 2002 หรือ ปี พ.ศ. 2545) ของ M T Anderson นมนามมาก แต่ไอเดียคือตอบตรงนี้ได้ เมื่อผู้เขียนจินตนาการว่า โลกอนาคตนี้ ่คนเกิดมาต้องฝังชิปในสมอง เอาไว้เชื่อมทุกสิ่งอย่างในอินเตอร์เน็ต ยิ่งรวยก็ยิ่งได้ความจุข้อมูลที่เข้าถึงความรู้ เครือข่ายจำนวนมากกว่าเด็กลูกคนจน แต่ปรากฏว่าสิ่งที่มีผลตามมาคือ คนรวยพูดสื่อสารกันไม่ได้ มีลักษณะ passive ในทักษะคิด สื่อสารผิดพลาด และก่อาชญากรรมได้ง่ายกว่าเด็กคนจนที่ได้อ่านหนังสือของจริง เพราะเค้าไม่มีเน็ตในสมองตลอดเวลา ทำให้ต้องไปห้องสมุดโบราณ เปิดหนังสืออ่าน มีเวลาเล่นกลางแจ้ง มีปฏิสัมพันธ์ ทักษะด้าน interpersonal skills ได้สัมผัสธรรมชาติ สุขภาพจิตและกายดีกว่าคนรวยอินเตอร์เน็ต

แนะนำหนังสือมือสอง เหมาะสำหรับเด็กที่อ่านอังกฤษเองได้ 8-10 ขวบ (แอดมินแนะนำให้อ่านกับผู้ใหญ่ จะสนุกกว่า ) กรุณาสอบถามราคาทาง in-box

แนะนำหนังสือ Dr.Pree’ s pick
Odd and The Frost Giants
เรื่องโดย Neil Gaiman (อ่านว่า เกแมน)
ภาพโดย Chris Riddell
125 หน้า รวมหน้าภาพประกอบ

สำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบแนวเทพนิยาย แฟนตาซี แต่จะคาดไม่ถึงแน่นอนว่าจะเป็นเรื่องราวอะไร คร่าวๆพอเป็นน้ำจิ้ม —ย้อนเวลาไปสัมผัสชาวไวกิ้ง หนุ่มน้อยกำพร้าพ่อ มีขวานใหญ่เป็นมรดก เชาว์ปัญญาของฮีโร่ที่ไม่ซ้ำแบบใคร สัตว์พูดได้ ธอร์ โลกิ โอดิน ก็มา ยักษ์น้ำแข็งทำอะไร โหดไหม? ชวนให้ติดตาม วางไม่ลงเลย คำศัพท์ดี โครงสร้างประโยคง่าย เด็ก ม ต้น อ่านได้ค่ะ

นิทานและนิยายเกี่ยวกับสัตว์ (Animal Stories) สำหรับเด็ก

เรื่องราวของเหล่าสัตว์เมื่อมาอยู่ในโลกวรรณกรรม เป็นโลกที่อบอุ่นปลอดภัย เรื่องของสัตว์เป็นไปได้หลายแบบ เด็กจะได้อ่านเรื่องและเห็นแต่ภาพสัตว์น่ารักก็ได้ สัตว์แปลกๆ หรือสัตว์ที่มีนิสัยประหลาดก็ได้ ในความ "แปลก" หรือ "ประหลาด" สำหรับคนอ่านวัยเยาว์ คือ ประสบการณ์ใหม่ วรรณกรรมที่ดีมักจุดประกายความคิดให้เด็กเรียนรู้ พ่อแม่ครู ย่อมอยากให้เด็กอ่านเพื่อเพิ่มความรู้และประสบการณ์ น้องๆ จินตนาการถึงการกระทำ รู้สึก ได้ยิน รู้สัมผัส โดยเทียบเคียงประสบการณ์เดิม เช่น ลูกแมวกับกิริยาที่คล้ายประสบการณ์ตนเอง "tumble about the door" หรือ "play in the dust" และน้องๆคงจะแปลกใจกับพฤติกรรมแมวอังกฤษ ที่คุณแม่จะสอนว่าต้องอาบน้ำแต่งตัวให้สะอาดเรียบร้อยเมื่อถึงเวลามีแขกมาจิบชาที่บ้าน ซึ่งถือเป็นกำไรสมองเพราะนี่คือการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่นอกขอบเขตโลกใบน้อย และนักเขียนที่ดี เช่น คุณBeatrix Potter ก็ไม่ลืมรายละเอียดที่บ่งบอกธรรมชาติสัตว์ ้ว่าแมวเป็นสัตว์รักสะอาด เลียขนเลียตัวได้ทั้งวัน - By Dr.Pree @ Reading Grove

การอ่านหนังสือวรรณกรรมภาษาอังกฤษจากต้นฉบับเดิมที่ไม่มีการปรับเปลี่ยนภาษา มีข้อดีอย่างไร

ตอบ - งานวรรณกรรมที่ดี มักจะมีความเข้มข้นทางเนื้อหา และ ภาษา มี คำศัพท์ และสำนวนมากมาย มีบริบททางสังคมและวัฒนธรรมการใช้ภาษาที่ไม่ได้แยกอออกจากภาษา ต่างจากการเรียนท่องศัพท์ ท่องสำนวนในแบบพจนานุกรม หรือหนังสือตำราวิชาการ นอกจากนี้ ผู้อ่านเยาวชนจะพัฒนาเป็น "นักอ่าน" จากการซึมซับสำนวนการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร โดยเฉพาะจากงานวรรณกรรมที่ประณีตและคัดสรรว่ามีคุณค่าทั้งเนื้อหาและตัวภาษา - Reading Grove by Dr. Pree

สิ่งที่เด็กควรทำได้ก่อนเริ่มเขียนตัวอักษร
ก่อนที่เด็กจะเขียน "A B C" หรือ "ก ข ค” ได้ เด็กๆ ควรทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ก่อน
1. Hand and finger strength: ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมือและนิ้วมือ เพื่อที่จะจับอุปกรณ์การเขียนได้

2. Crossing the midline: ข้ามเส้นกึ่งกลาง หากเด็กเอื้อมไปทั่วร่างกายเพื่อไปยังปลายทั้งสองข้างของร่างกายได้ จะสามารถเขียนทั้งสองแถบบนพื้นที่กระดาษได้

3. Correct pencil grasp: สามารถจับดินสอได้ถูกต้อง โดยต้องดูตามความเหมาะสมตามวัย

4. Hand eye coordination: ตาและมือประสานงานกันได้ดี เช่น ตามองมือเอื้อมจับสิ่งนั้นได้ถูกต้อง

5. A strong core: ความแข็งแรงของร่างกายแกนกลาง เพื่อที่จะนั่งเขียนได้อย่างมั่นคง

6. A strong neck: คอที่เเข็งแรงเพื่อที่จะนั่งเขียนโดยที่ศีรษะตั้งอยู่มั่นคง

7. A strong shoulders and wrists: ไหล่ ข้อมือทั้งสองข้างที่แข็งแรง เพื่อช่วยให้เขียนได้โดยไม่เมื่อยล้าไปเสียก่อน และลงน้ำหนักการเขียนได้เหมาะสม ไม่หนักหรือเบาจนเกินไป

8. Visual perception: การรับรู้ภาพ เพื่อแยกแยะความแตกต่างระหว่างภาพ เพื่อพัฒนาไปสู่การจดจำภาพ ตัวอักษรที่แตกต่างกัน
**********
เมื่อร่างกายและท่าทางของเขาเหมาะสมแล้ว เขาควรจะวาดเส้นและรูปทรงเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน ก่อนที่เราจะสอนเขาเขียนตัวอักษร เพื่อให้เขาสามารถเขียนได้อย่างมั่นคง และคล่องแคล่วจากการเขียนเส้นและรูปทรงเหล่านี้ได้
เด็กวัย 1-1 ขวบครึ่ง เราคาดหวังแค่ให้เขาได้ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก (มือ นิ้วมือ) ของเข้าในการกำ ขยำ (โดยอาจจะให้ขยำตุ๊กตา แป้งโดว์ ทราย) ดังนั้นสีเทียนด้ามใหญ่พิเศษ (Jumbo crayon) มีความเหมาะสมกว่าดินสอนัก และกระดาษควรมีขนาดใหญ่กว่า A4 ยิ่งกว้าง ยิ่งใหญ่ ยิ่งดี ให้เขานอนคว่ำตัวละเลงสีเทียนที่กำในมือไปจนทั่วได้เลย
วัยนี้เราไม่คาดหวังการเขียน เราแค่หวังว่า “เขาจะสนุกกับการใช้สีละเลงไปทั่วกระดาษ และพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กให้พร้อมก็เพียงพอ”
***
เด็กวัย 2-2 ขวบครึ่ง เรายังคงเน้นพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กเช่นเดิม แต่เราสามารถให้เขาลองฝึกวาดเส้นตรงแนวตั้ง และแนวนอนได้ อุปกรณ์ที่ใช้ควรเป็นสีเทียนด้ามใหญ่ หรือ ดินสอไม้ด้ามใหญ่ เพื่อให้เด็กจับได้ถนัดมือ หรือ ถ้าเป็นดินสอไม้ธรรมดาอาจจะมีปลอกจับดินสอให้เขา กิจกรรมที่เราชวนเขาวาดเส้นตรง อาจจะชวนเขาวาดฝนตกลงมา (ขีดลง) และวาดถนน (ขีดขวาง)
***
เด็กวัยวัย 3-4 ขวบ เรายังคงเน้นพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กต่อไป (กิจกรรมปั้น ขยำ ดินทรายจำเป็น) ช่วง 3 ขวบ “วงกลม” จะเป็นสิ่งที่เด็กวัยนี้จะเริ่มวาดได้ เพราะความเเข็งแรงที่กล้ามเนื้อมือของเขาที่มีมากขึ้น และวัย 3 ขวบครึ่ง จะเริ่มวาดเครื่องหมายบวก (+) ได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการวาดเส้นแนวตั้งและแนวนอนได้ เมื่ออายุ 4 ขวบ “สี่เหลี่ยมจตุรัส” เป็นรูปทรงต่อไปที่เขาวาดได้ เพราะเส้นพื้นฐานจกเส้นแนวตั้งและแนวนอนเช่นกัน
ในช่วงวัยนี้ เราควรคาดหวังให้เด็กๆ สนุกกับการวาดภาพอิสระ แต่เราเริ่มสอนเขาในรูปทรงใหม่ๆ กิจกรรมที่เหมาะกับการฝึกฝนเส้นและรูปทรงของเด็กวัยนี้ คือ การวาด “พระอาทิตย์” “รถยนต์” และภาพอื่นๆ ที่มีเส้นและรูปทรงเหล่านี้เป็นส่วนประกอบ
***
เด็กวัย 4-5 ขวบ การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กยังเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปตลอด (เน้น การออกเเรงที่มือ นิ้ว เช่น ชวนเด็กๆ นวดแป้ง เช็ดพื้น ซักผ้า) ช่วง 4 ขวบครึ่ง เด็กๆ ควรฝึกเส้นแนวเฉียงขึ้น (/) เฉียงลง (\) เมื่อเขาวาดเส้นทั้งสองได้อย่างแม่นยำแล้ว จึงค่อยๆ เขยิบมาที่การวาดเครื่องหมายกากบาท (X) ซึ่งเกิดจากนำสองเส้นนี้มาวาดตัดกัน สุดท้ายช่วง 5 ขวบขึ้นไป เด็กๆ สามารถฝึกวาด “สามเหลี่ยม” ได้ เพราะ เส้นเฉลียงขึ้นเฉลียงลงที่ฝึกมาจะสามารถช่วยให้เขาวาดภาพนี้ได้
กิจกรรมที่เหมาะกับการฝึกฝนเส้นและรูปทรงของเด็กวัยนี้ คือ การวาด “บ้าน” “ภูเขา” และภาพอื่นๆ ที่มีเส้นและรูปทรงเหล่านี้เป็นส่วนประกอบ
**********
ถ้าเด็กๆ ยังไม่สามารถเส้นและรูปทรงต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้นได้ จะเป็นการยากที่เราจะเริ่มให้เขาเขียนตัวเลขหรือตัวอักษร โดยเฉพาะตัวอักษรภาษาไทย
ทั้งนี้การวาดเส้นและรูปทรงต่างๆ ควรทำควบคู่กับการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก คือ มือ และนิ้วมือทั้งสองของเด็กด้วย เขาไม่ควรใช้เวลากับการนั่งบนโต๊ะและฝึกวาดเส้นและรูปทรงเป็นระยะเวลาที่นานเกินไป โดยประมาณวันละ
10 นาทีในเด็กวัย 2-2 ขวบครึ่ง (3-5 วันต่อสัปดาห์)
15 นาทีในเด็กวัย 3-3 ขวบครึ่ง (3-5 วันต่อสัปดาห์)
20 นาทีในเด็กวัย 4-5 ขวบ (3-5 วันต่อสัปดาห์)
ซึ่งการทำกิจกรรมนี้ ควรเป็นไปด้วยความสนุกสนาน เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต่อการจับดินสอขึ้นมาวาดเขียนลงบนกระดาษ และทำอย่างสม่ำเสมอมากกว่าการทำครั้งละยาวนาน
ส่วนการเริ่มเขียน ควรเริ่มไล่ไปจาก ตัวเลขอารบิค>ตัวอักษรภาษาอังกฤษ>ตัวอักษรภาษาไทย เพราะลักษณะเส้นที่เริ่มควรเริ่มจากเส้นพื้นฐาน (เส้นตรง มุมฉาก มุมแหลม) ไปยังเส้นที่ยากขึ้น (ม้วนหัว โค้งมน คดเคี้ยว)
ถึงแม้ว่า “การเขียน” จะเป็นหนึ่งในทักษะที่ผู้ใหญ่มักเป็นกังวลมากทักษะหนึ่ง เพราะ สำหรับโรงเรียนส่วนใหญ่แล้ว การเขียนเป็นแบบทดสอบว่า เด็กคนนี้พร้อมสำหรับการเรียนหรือไม่
อย่างไรก็ตามนอกจาก "ทักษะการเขียน” แล้วยังมี "ทักษะการช่วยเหลือตนเอง" “ทักษะการสื่อสาร" และอื่นๆ ที่เราควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน หรือ ควรจะให้ความสำคัญก่อนการเขียนเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าหากเด็กคนนี้ยังช่วยเหลือตัวเอง (ตามวัย) ไม่ได้ เราอาจจะต้องสอนเขาเรื่องนี้ก่อนการเขียน
**********
สุดท้าย แม้ว่า เด็กๆ ของเราจะยังวาดหรือเขียนไม่ได้ตรงตามค่าเฉลี่ยของเด็กวัยเขา นั่นไม่ได้หมายความว่า เด็กคนนี้จะไม่มีความสามารถในการเรียนรู้ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า “การเขียน” เป็นเเค่หนึ่งในทักษะที่ผู้ใหญ่คาดหวังให้เด็กสามารถทำได้ ดังนั้นเมื่อเขาทำไม่ได้ตามวัยของเขา
เด็กแต่ละคนมีจังหวะในการเรียนรู้ และเดินไม่เท่ากัน เราจึงมีหน้าที่สอนเขา ฝึกฝน และค่อยๆ ทำให้เขาก้าวไปข้างหน้าได้
ข้อสำคัญ “อย่าใช้การเขียน ในการตัดสินตัวเด็ก”
เพราะ เราใช้ “การเขียน” เพื่อพัฒนาสมองของเขา ไม่ใช่ เพื่อตีตราว่า เขาไม่มีความสามารถ
ดังนั้น เมื่อ “เด็กยังเขียนไม่ได้" เรามีหน้าที่มองกลับไปยังการจับดินสอ กล้ามเนื้อมัดเล็ก และทัศนคติที่มีต่อการเขียนของเขา ไม่ใช่มาเพื่อจับผิด และทำโทษเขา
“ไปทีละขั้น อย่าเร่งเขาจนเกินวัย อย่าสร้างทัศนคติแง่ลบต่อการเรียนรู้”
เพราะ “การเรียนรู้ที่ดี” ไม่ใช่ การวิ่งระยะสั้น แต่คือ การวิ่งมาราธอน
ใครวิ่งเร็วอาจจะได้เปรียบในช่วงแรก แต่ใครที่วิ่งไปได้ตลอดคือผู้ที่ไปถึงเป้าหมาย
ด้วยรักจากใจ
เม
เพจตามใจนักจิตวิทยา
ป.ล. “การเขียน” ไม่เคยทำร้ายเด็ก แต่ “การให้เขียนในสิ่งที่เกินวัย และคาดหวังว่า เขาต้องทำได้” ต่างหากที่ทำร้ายเขา

อ้างอิง
Schickedanz, J. A. (1999). Much More than the ABCs: The Early Stages of Reading and Writing. NAEYC, 1509 16th Street, NW, Washington.

https://www.growinghandsonkids.com/hands-on-ways-to-practice-pre-writing-lines.html

ขายเล่มละ 120 บาท (ในอเมซอน 4.99 เหรียญ) ของแท้จาก USA ใช้เมจิก non-permanent เขียนแล้วลบเขียนใหม่ได้ กลับมาฝึกเขียนใหม่ได้อีก

ขอบคุณทุกLike ค่ะ แอ้ดมินพึ่งว่างจากงานสอน วันนี้มีคอลเล็กชั่น Dr.Seuss เล่มละ 250 บาท ค่าส่ง 40 บาท สนใจ Inbox ค่ะ

ทักมาได้ค่ะ

Flashcards 324 บัตรคำ มือสอง สภาพดี อายุ 4+ ราคา 419 บาท

Flashcards 324 บัตรคำ มือสอง สภาพดี อายุ 4+ ราคา 419 บาท

"เราคงจำความรู้สึกดีๆตอนเด็กที่ได้อ่านหนังสือ ได้เล่นของเล่น มันดีนะ อยากให้เด็กๆของเราได้รู้สึกเป็นความเป็นหนอนหนังสือ มีจินตนาการจากการอ่านหนังสือ มาส่งเสริมการอ่านหนังสือจริงๆ มากกว่าให้จ้องสมาร์ทโฟนที่ทำให้สายตาเสียได้.. กันเถอะ" #324การ์ดคำศัพท์ #540บาทค่าส่ง50 ของใหม่ แต่ถูกลูกค้าตัวน้อยแกะพลาสติก จาก650เราจึงลดราคา #540บาทค่าส่ง50