สวท.เพชรบูรณ์
สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดเพชรบูรณ์
วิทยุออนไลน์ http://radio-org-02-ott.prd.go.th:8610/index.html?sid=1
ส่งกระจายเสียงด้วยระบบ FM ความถี่ 102.75 MHz

“รัฐบาลไทย”วอนนานาอารยะประเทศเข้าใจการแก้ปัญหา ขอให้มั่นใจไทยปฎิบัติตามสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ ล่าสุดมอบรองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐบาลระดับสูง เยี่ยมชาวอุยกูร์ เมืองคาซือ มณฑลซินเจียง อังคารนี้
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ตนพร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ต.อ. ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะสื่อมวลชน 9 คนจากหลากหลายสำนักทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งสื่อโซเชียลมีเดีย รวมทั้งคณะ 25 คน มีกำหนดการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันอังคารที่ 18 - 20 มีนาคม 2568 ที่มณฑลซินเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยในวันอังคารที่ 18 มีนาคม 2568 เวลา 23.30 น. คณะจะออกเดินทางจากกองบิน 6 ท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานเมืองคาซือ มณฑลซินเจียง โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมงบินโดยจะถึงเมืองคาซือ ในวันพุธที่ 19 มีนาคม เวลาประมาณ 07.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง
คณะมีกำหนดการเดินทางไปเยี่ยมชาวจีน อุยกูร์ ที่เมืองคาซือ มณฑลซินเจียง และร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันพร้อมกับผู้นำท้องถิ่นในช่วงเช้าและบ่าย
สำหรับในวันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม 2568 คณะจะเดินทางไปมณฑลซินเจียงที่อยู่ห่างไกล และจะเดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์บังคับใช้กฎหมายและการจัดการคดีของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ ที่เมืองคาซือ มณฑลซินเจียง
จากนั้นคณะจะเดินทางไปที่มัสยิดอิดกะฮ์ (Id Kah) พูดคุยสนทนากับผู้นำศาสนา และร่วมรับประทานอาหารค่ำกับตัวแทนผู้นำศาสนาในท้องถิ่น
ก่อนที่รองนายกรัฐมนตรีและคณะจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานเมืองคาซือ มณฑลซินเจียง ในเวลาประมาณ 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยจะเดินทางถึงประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 01.00 น. ณ กองบิน 6 ท่าอากาศยานดอนเมือง
นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า การเดินทางครั้งนี้เพื่อทำความจริงให้ปรากฏในข้อกังวลของนานาอารยประเทศ และให้เข้าใจประเทศไทยถึงการแก้ไขปัญหาซึ่งรัฐบาลไทยได้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาและมีข้อตกลงสำคัญต่อรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ที่ต้องคืนชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในยุคโลกปัจจุบัน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีสิทธิเสรีภาพ ซึ่งถือว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากถึงขั้นตอนการตรวจสอบรายละเอียดนานหลายเดือนก่อนจะส่ง ชาวจีนอุยกูร์ กลับสู่มาตุภูมิ เพื่อให้มั่นใจว่าการส่งชาวจีนกลับสู่บ้านเกิดจะต้องได้รับความปลอดภัยและเป็นไปตามสิทธิมนุษยชน
ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงครั้งแรก โดยรัฐบาลไทยจะกำหนดการเดินทางเป็นระยะๆเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศต่อนานาอารยะประเทศต่อไป

รัฐบาล เดินหน้ากวาดล้างสินค้าผิดกฎหมาย-ธุรกิจนอมินี มูลค่าเสียหายกว่า 1.2 พันล้านบาท
บทสรุป
จากผลการดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ที่จัดตั้งขึ้น ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ผ่านคณะอนุกรรมการ 2 ชุด ดำเนินงานมาตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ล่าสุดสามารถดำเนินคดีสินค้าผิดกฎหมาย 24,626 คดี มูลค่าความเสียหาย 1,257.24 ล้านบาท ลดการนำเข้าสินค้าผ่าน e-Commerce ลง 8% เฉลี่ยเดือนละ 3,645 ล้านบาท และกวาดล้างธุรกิจนอมินี 851 ราย มูลค่าความเสียหาย 15,121 ล้านบาท ซึ่งคณะทำงานดังกล่าวมีหน้าที่ดำเนินการหลักคือ การควบคุมสินค้านำเข้า และการตรวจสอบธุรกิจนอมินีของคนต่างด้าว ที่ต้องตรวจตราอย่างละเอียดทั้งสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และสินค้าที่วางขายตามตลาดทั่วไป รวมทั้งตรวจสอบเอกสารการถือหุ้นและรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่อาจเข้าข่ายธุรกิจนอมินีด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการปกป้องเศรษฐกิจไทยและผู้ประกอบการในประเทศ ให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และสร้างกลไกตลาดที่โปร่งใส รวมทั้งยังเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ
รายละเอียด
รมว.พาณิชย์ เร่งปราบปรามสินค้าต่างชาติผิดกฎหมาย ตั้งคณะทำงานลงพื้นที่ทั่วประเทศ–สกัดกั้นสินค้าออนไลน์ไร้คุณภาพ ปกป้องผู้ประกอบการ-ผู้บริโภคในประเทศ
(13 มี.ค. 68) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ 17 หน่วยงานร่วมด้วย ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้ามาตรการที่ดำเนินมาตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2567 พร้อมเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 17 หน่วยงานเร่งรัดแผนระยะกลาง โดยคณะกรรมการฯ ที่จัดตั้งขึ้นตามข้อสั่งการของ นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 2 ชุด ได้แก่ 1. คณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SME ไทย และแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ 2. คณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว ได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม โดย 1.จัดเก็บภาษี VAT ได้ 1,500 ล้านบาท จากสินค้านำเข้าต่ำกว่า 1,500 บาท 2. ดำเนินคดีสินค้าผิดกฎหมาย 24,626 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 1,257.24 ล้านบาท 3. ลดการนำเข้าสินค้าผ่าน e-Commerce ลง 8% เฉลี่ยเดือนละ 3,645 ล้านบาท และ 4. กวาดล้างธุรกิจนอมินี 851 ราย มูลค่าความเสียหาย 15,121 ล้านบาท
ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบให้ตั้งคณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศผิดกฎหมาย ลงพื้นที่ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า การจดทะเบียนธุรกิจและธุรกิจนอมินีทั่วประเทศ เพื่อทำให้ความเข้มข้นของการปราบปรามดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ สำนักงานการแข่งขันทางการค้า (กขค.) จะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบังคับใช้กฎหมายป้องกันสินค้าต่างชาติทะลักที่จะกระทบผู้ประกอบการไทย
ด้าน นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า คณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย มีหน้าที่ดำเนินการใน 2 ด้านหลัก ได้แก่ การควบคุมสินค้านำเข้าและการตรวจสอบธุรกิจนอมินีของคนต่างด้าว โดยเพิ่มการตรวจสอบสินค้าที่เข้าสู่ประเทศไทยจากเดิม 20% เป็น 30% ตรวจสอบแพลตฟอร์มออนไลน์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน และเพิ่มการตรวจสอบออฟไลน์ให้ครอบคลุม สำหรับการตรวจสอบธุรกิจนอมินีของคนต่างด้าว จะเน้นตรวจสอบเอกสารการถือหุ้นและรูปแบบการดำเนินธุรกิจของชาวต่างชาติ
นายพิชัย กล่าวย้ำว่า “รัฐบาลมุ่งมั่นปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายและธุรกิจนอมินี เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม พร้อมยืนยันว่าจะเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการเข้มข้นต่อเนื่อง เพื่อปกป้องเศรษฐกิจและผู้บริโภคไทย”
สำหรับผู้ต้องการร้องเรียนเรื่องนอมินีนิติบุคคล สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.dbd.go.th หัวข้อ “รับเรื่องร้องเรียนปัญหานอมินี” หรือหากสงสัยว่าที่อยู่ของตนเองถูกมิจฉาชีพนำไปจดจัดตั้งเป็นนิติบุคคลโดยไม่ได้ยินยอม สามารถตรวจสอบด้วยตนเองผ่าน “ระบบตรวจสอบที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคล” บนเว็บไซต์ดังกล่าว และแจ้งเบาะแสกรณีถูกนำที่อยู่ไปใช้จดทะเบียนเป็นที่ตั้งสำนักงานนิติบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอม ทางอีเมล [email protected] หรือ สายด่วน 1570 หรือเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
#รัฐบาลเดินหน้ากวาดล้างสินค้าผิดกฎหมายธุรกิจนอมินีมูลค่าเสียหายกว่า1.2พันล้านบาท #กวาดล้างสินค้าผิดกฎหมาย #ธุรกิจนอมินี #กระทรวงพาณิชย์ #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

“นฤมล” ลุยแก้ปัญหาน้ำ จันทบุรี-ตราด หวังช่วยเกษตรกร พร้อมคุมเข้มมาตรฐานส่งออกคุณภาพผลไม้ไทย
บทสรุป
จากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 โดยให้ 5 กระทรวงบูรณาการทำงานร่วมกันบริหารจัดการผลไม้ที่มีแนวโน้มผลผลิตเพิ่มขึ้นในปีนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาดราคาตกต่ำ ด้าน ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เร่งดำเนินการและ
ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราด ซึ่งทั้ง 2 จังหวัดถือเป็นจังหวัดที่มีการปลูกผลไม้สำคัญของไทยและส่งออก
สร้างรายได้ให้แก่ประเทศ ได้แก่ เงาะ ทุเรียน มังคุด จึงได้เพิ่มมาตรการเข้มข้นและคุมเข้มไม่ให้มีสารเคมีปนเปื้อนในสินค้าเกษตรส่งออก ซึ่งการถูกระงับการนำเข้าจะส่งผลต่อการส่งออกผลไม้ของไทย และกระทบต่อราคาผลผลิตของเกษตรกร นอกจากนี้ ได้ตรวจติดตามโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยผลักดันโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำวังโตนด เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในภาคการเกษตร ที่เป็นอาชีพหลักของคนในพื้นที่ อีกทั้ง ยังได้ลงพื้นที่จังหวัดตราด เพื่อติดตามโครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำวัดเทพนิมิต-บ้านมุมสงบ ที่มีแผนการก่อสร้างในปี 2570 เมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนได้ประมาณ 4.1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และสามารถสนับสนุนการเพาะปลูกในพื้นที่กว่า 3,000 ไร่
รายละเอียด
“นฤมล” ลงพื้นที่ จ.จันทบุรี - ตราด คุมเข้มมาตรฐานส่งออกคุณภาพผลไม้ไทย
จากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ 5 กระทรวงบูรณาการทำงานร่วมกันบริหารจัดการผลไม้ที่มีแนวโน้มผลผลิตเพิ่มขึ้นในปีนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาดราคาตกต่ำ โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำชับให้ดูแลคุณภาพผลไม้ไทยให้มีมาตรฐานมีความปลอดภัยและได้มาตรฐานการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ส่งเสริมการตลาดการบริโภคภายในประเทศและขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม กระทรวงการต่างประเทศ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศจีน ในการอำนวยความสะดวกการนำเข้าทุเรียนจากไทย กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาขยายระยะเวลาเปิด-ปิดด่านทางบก ที่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านไปยังจีน และกระทรวงคมนาคม เตรียมพร้อมด้านระบบขนส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพคล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่กำกับดูแลไปรษณีย์ไทยจัดทำโครงการที่ช่วยส่งผลไม้จากสวนไปยังผู้บริโภคโดยตรงและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมสนับสนุนอีกด้วย
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นอำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี และอำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด เพื่อร่วมรับฟังปัญหาในพื้นที่และแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรในทุกมิติ เพื่อยกระดับรายได้ และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับเกษตรกร ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนร่วมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการแก้ไขปัญหาด้านการส่งออกผลไม้ของไทย โดยทางการจีนมีท่าทีพึงพอใจกับการปรับใช้มาตรการดูแลผลไม้ส่งออกของไทย โดยหลังจากนี้ จะมีการเจรจากับทางการจีนเพิ่มเติม เพื่อขอให้ช่วยปลดล็อกการขนส่งผลไม้ทุกชิปเม้น (การขนส่งสินค้าทางเรือ) ของประเทศไทย นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังได้วางแผนจัดทำโรงงานแปรรูปยางพาราของจังหวัดจันทบุรี เพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรในพื้นที่ให้ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ
จังหวัดตราด เป็นพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกผลไม้ที่สำคัญและมีชื่อเสียง ได้แก่ เงาะ ทุเรียน มังคุด โดยคาดการณ์ผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในปีนี้ ดังนี้
1. ทุเรียนพื้นที่เพาะปลูก 126,718 ไร่ คาดการณ์ผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดมากสุดเดือนเมษายน 2568 จำนวนผลผลิต 132,237 ตัน
2. เงาะ พื้นที่เพาะปลูก 47,190 ไร่ คาดการณ์ผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดมากสุดเดือนพฤษภาคม 2568 จำนวนผลผลิต 107,490 ตัน
3. มังคุด พื้นที่เพาะปลูก 39,701 ไร่ คาดการณ์ผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดมากสุดเดือนพฤษภาคม 2568 จำนวนผลผลิต 50,261 ตัน
“รมช.เกษตรฯ” ติวเข้มผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุผลไม้ภาคตะวันออกเข้มงวดตรวจสอบคุณภาพผลผลิตปลอดการปนเปื้อน มุ่งสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ
ด้านนายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากการประชุมและมอบนโยบายการส่งออกผลไม้แก่ผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุผลไม้ภาคตะวันออกฤดูกาลผลิตปี 2568” ในพื้นที่ภาคตะวันออก ณ อ.เมือง จ.จันทบุรี ซึ่ง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายในการกำกับดูแลผลไม้ให้เป็นไปตามมาตรฐานปราศจากศัตรูพืชกักกัน เพื่อลดปัญหาการแจ้งเตือนจากประเทศปลายทาง ซึ่งขณะนี้ปัญหาการปนเปื้อน Basic Yellow 2 (BY2) และสารแคดเมียมในทุเรียนสดส่งออกไปจีน นับว่ามีผลกระทบอย่างมากต่อการส่งออกผลไม้ของไทย ทางการจีนจึงเพิ่มความเข้มงวดและออกกฎระเบียบในการควบคุมการนำเข้าการจำหน่ายผลไม้นำเข้าจากประเทศไทย ซึ่งหากมีการตรวจพบการปนเปื้อน BY2 และสารแคดเมียมในผลทุเรียนสดและถูกระงับการนำเข้าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจการส่งออกผลไม้ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทบต่อราคาผลผลิตของเกษตรกร
ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เพิ่มมาตรการเข้มข้นและได้สั่งการให้กรมวิชาการเกษตรตรวจติดตามโรงงานผลิตสินค้าพืชให้ได้มาตรฐานเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพผลผลิต และรับรองสุขอนามัยพืชให้เป็นไปตามเงื่อนไขในพิธีสารส่งออกไปจีนอย่างเข้มงวด เพื่อให้การบริหารจัดการผลไม้สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กำกับติดตามควบคุมมาตรฐานสินค้าผักและผลไม้ในโรงคัดบรรจุอย่างใกล้ชิด
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เน้นย้ำในเรื่องของการปฏิบัติตามมาตรการ 4 ไม่ เพื่อควบคุมคุณภาพทุเรียนไทยปี 2568 ได้แก่ 1. ไม่อ่อน 2. ไม่หนอน 3. ไม่สวมสิทธิ์ และ 4. ไม่มีสี-ไม่มีสารเคมีต้องห้าม
โดยมีเป้าหมาย Set Zero การใช้สีการใช้สารเคมีในโรงคัดบรรจุทั้งหมด รวมถึงมาตรการ Big Cleaning เพื่อป้องกันการปนเปื้อนสารตกค้าง BY2 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุและโรงรวบรวมผลไม้ปฏิบัติได้ตามมาตรฐานและตามประกาศหลักเกณฑ์ที่กำหนดและมีการบูรณาการและสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ผลไม้ที่ส่งออกไปก็จะมีคุณภาพปลอดภัยได้มาตรฐานส่งเสริมภาพลักษณ์สร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ การส่งออกผลไม้ของไทยก็จะราบรื่นเกษตรกรสามารถจำหน่ายผลไม้ได้ราคาดีช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกผลไม้ของไทยและสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการและเกษตรกรได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
“นฤมล” ติดตามโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำวังโตนด จังหวัดจันทบุรี และโครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำ จังหวัดตราด เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้เพื่อการเกษตรอย่างเพียงพอ
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (คลองภักดีรำไพ) จังหวัดจันทบุรี เพื่อร่วมรับฟังปัญหาในพื้นที่และแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน โดยมีโครงการขนาดใหญ่ที่ยังค้างอยู่ เช่น โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำวังโตนด เพื่อกักเก็บน้ำให้กับชาวจังหวัดจันทบุรีมากขึ้น เพราะอาชีพหลักของที่นี่คืออาชีพเกษตรกร หากมีแหล่งน้ำเพียงพอก็จะสามารถช่วยภาคเกษตรได้ โดยได้พูดคุยกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว ว่าอยากจะทำโครงการนี้ให้สำเร็จ
สำหรับโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (คลองภักดีรำไพ) สามารถควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ Z.57 ไม่ให้เกิน 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ช่วยลดปริมาณน้ำจากคลองภักดีรำไพ เทือกเขาสระบาป ตำบลพลับพลา ตำบลคลองนารายณ์ และตำบลหนองบัว ไม่ให้น้ำไหลเข้าเขตเศรษฐกิจ ตัวเมืองจันทบุรีด้วยการระบายน้ำออกสู่ทะเล และสามารถเก็บกักน้ำสำหรับใช้ประโยชน์ในช่วงหน้าแล้ง ได้ประมาณ
2 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งรองรับการใช้อุปโภค-บริโภคของชาวจันทบุรี และครอบคลุมพื้นที่ทำการเกษตรในหน้าแล้งได้กว่า 5,000 ไร่
นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรและรับฟังปัญหาข้อเสนอแนะด้านการเกษตร เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ณ ศาลาอเนกประสงค์ วัดเทพนิมิต ตำบลเทพนิมิต อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด ซึ่งจังหวัดตราดเป็นพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกผลไม้ที่สำคัญและมีชื่อเสียง ได้แก่ เงาะ ทุเรียน มังคุด และยางพารา จำเป็นต้องใช้น้ำสำหรับการเพาะปลูกปริมาณมาก จึงได้มอบหมายให้กรมชลประทานเร่งดำเนินการโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ
หนึ่งในโครงการสำคัญ คือ โครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำวัดเทพนิมิต-บ้านมุมสงบ ตำบลเทพนิมิต อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับภาคเกษตรและการอุปโภคบริโภครวมถึงเพิ่มศักยภาพในการสูบน้ำจากแม่น้ำเขาสมิงไปยังอ่างเก็บน้ำวังสมโภชน์ โดยมีแผนการก่อสร้างในปี 2570 เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนได้ประมาณ 4.1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และสามารถสนับสนุนการเพาะปลูกในพื้นที่กว่า 3,000 ไร่ ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญของจังหวัดตราด
#นฤมลลุยแก้ปัญหาน้ำจันทบุรีตราดหวังช่วยเกษตรกรพร้อมคุมเข้มมาตรฐานส่งออกคุณภาพผลไม้ไทย #มาตรฐานคุณภาพสินค้าเกษตรส่งออก #กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง
รายการ เพ็ชร เพชรบูรณ์

ธ.ก.ส. เปิดตัว “สินเชื่อเกษตรวิวัฒน์” หนุนวัยใกล้เกษียณทำการเกษตรคู่ขนาน วงเงินรวม 3.75 หมื่นล้านบาท
บทสรุป
(14 มี.ค. 68) รัฐบาลโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดตัว “สินเชื่อเกษตรวิวัฒน์” ให้กู้เพื่อซื้อที่ดินทำการเกษตรคู่ขนาน ส่งเสริมการดึงคนกลับเข้าสู่ภาคการเกษตร หรืออาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตรในวัยก่อนและหลังเกษียณ กรอบวงเงินรวม 3.75 หมื่นล้านบาท สำหรับบุคลากรภาครัฐหรือพนักงานองค์กรเอกชน ที่มีรายได้ประจำอายุ 50 – 59 ปี วงเงินกู้สูงสุดรายละไม่เกิน 8 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ำ 5 ปีแรก MRR – 2 และปีที่ 6 เป็นต้นไป เท่ากับ MRR ผู้สนใจแจ้งความประสงค์ได้แล้ว ณ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรทุกสาขา ตั้งแต่บัดนี้ – วันที่ 31 มีนาคม 2572 ทั้งนี้ ธ.ก.ส. แจ้งเตือนระวังมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อตราสัญลักษณ์ธนาคารเป็นชื่อบัญชีบน TikTok และใช้ภาพผู้บริหาร โดยใช้คำให้หลงเชื่อในลักษณะต่าง ๆ ขอยืนยันว่า ธ.ก.ส. ใช้บัญชี TikTok ชื่อ baacthailand เท่านั้น และไม่มีนโยบายให้สินเชื่อผ่านสื่อสังคมออนไลน์
รายละเอียด
(14 มี.ค. 68) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดตัว “สินเชื่อเกษตรวิวัฒน์” ให้กู้เพื่อซื้อที่ดินทำการเกษตรคู่ขนาน ส่งเสริมการดึงคนกลับเข้าสู่ภาคการเกษตร กรอบวงเงินสินเชื่อรวม 37,500 ล้านบาท
โดยผู้กู้ต้องมีเนื้อที่ไม่เกิน 20 ไร่ เงินกู้รายละไม่เกิน 8,000,000 บาท
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้มีรายได้ประจำเป็นรายเดือน สามารถวางแผนการสร้างรายได้คู่ขนานจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม หรืออาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตรในวัยก่อนและหลังเกษียณ รองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) เพิ่มการเกษตรที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างสินค้าเกษตรมูลค่าสูง ลดปัญหาโลกร้อนและฝุ่น PM2.5
คุณสมบัติผู้กู้สินเชื่อเกษตรวิวัฒน์ ได้แก่
1. เป็นบุคลากรภาครัฐหรือพนักงานองค์กรเอกชน ที่มีรายได้ประจำเป็นรายเดือน และนำรายได้เข้าบัญชีเงินฝาก ธ.ก.ส. เพื่อหักชำระหนี้เป็นรายเดือน ยกเว้น ข้าราชการทางการเมืองหรือบุคลากรภาครัฐที่มีสัญญาจ้างชั่วคราวตามกำหนดวาระหรือตามกำหนดสิ้นสุดโครงการ
2. มีแผนประกอบอาชีพเกษตรกรรมหรืออาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับเกษตรกรรม ก่อนและหลังเกษียณอายุและเริ่มดำเนินโครงการตามแผนภายใน 3 เดือนนับถัดจากวันรับเงินกู้
3. มีอายุตั้งแต่ 50 ปี ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 59 ปี
4. เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรงและมีศักยภาพในการประกอบอาชีพ
5. มีแผนชำระหนี้เงินกู้ก่อนเกษียณอายุจากเงินเดือนหรือรายได้ประจำเป็นรายเดือนและแผนชำระหนี้เงินกู้หลังจากเกษียณอายุจากรายได้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมหรืออาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับเกษตรกรรม
อัตราดอกเบี้ย
• ปีที่ 1 - 5 คิดดอกเบี้ยอัตรา MRR – 2 ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR เท่ากับร้อยละ 6.725 ต่อปี) หรือเท่ากับร้อยละ 4.725 ต่อปี ตามประกาศธนาคารฯ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 อัตราดอกเบี้ยอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคารฯ
• ปีที่ 6 เป็นต้นไป คิดดอกเบี้ย MRR ต่อปี
• กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน 20 ปี นับแต่วันกู้ (อนุมัติเงินกู้ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2572)
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถแจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา
ทั่วประเทศ และอนุมัติเงินกู้ภายใน 31 มีนาคม 2572 (เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555
อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพแอบอ้าง ธ.ก.ส. ปล่อยสินเชื่อบน TikTok
ส่วนกรณีที่มีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อและตราสัญลักษณ์ธนาคาร ธ.ก.ส. รวมถึงการใช้ภาพผู้บริหาร ธ.ก.ส. ในการนำเสนอข้อมูลที่เป็นเท็จในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อ อาทิ ธ.ก.ส. พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ โดยไม่ต้องใช้คนค้ำหรือหลักประกันไม่เช็คเครดิตบูโร ดอกเบี้ยต่ำ และให้ผู้สนใจติดต่อ ขอรายละเอียด หรือส่งเอกสารส่วนตัวเพื่อยื่นคำขอกู้ผ่านทางแอปพลิเคชัน TikTok หรือช่องทางออนไลน์อื่น ๆ นั้น ธ.ก.ส. ขอเรียนว่าบัญชีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลและการกระทำในลักษณะดังกล่าว ไม่ใช่บัญชีของ ธ.ก.ส. โดยธนาคารใช้บัญชี TikTok อย่างเป็นทางการใน ชื่อ baacthailand เพียงบัญชีเดียวเท่านั้น พร้อมยืนยันว่า
ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว และไม่มีนโยบายในการให้บริการสินเชื่อ หรือมีการอนุมัติสินเชื่อผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ จึงขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปอย่าหลงเชื่ออย่างเด็ดขาด เพราะอาจถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินหรือขอข้อมูลส่วนตัวจนทำให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งธนาคารจะดำเนินการรวบรวมข้อมูลและดำเนินการเอาผิดตามขั้นตอนทางกฎหมายกับผู้ที่แอบอ้างในลักษณะดังกล่าวต่อไป
ธ.ก.ส. ขอย้ำเตือนให้ลูกค้าเพิ่มความระมัดระวังในการติดต่อหรือทำธุรกรรมออนไลน์ เนื่องด้วยปัจจุบันมิจฉาชีพมีรูปแบบการหลอกลวงที่หลากหลาย หากไม่แน่ใจในข้อมูลที่ได้รับมา โปรดติดต่อธนาคารโดยตรง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ BAAC ศูนย์รับแจ้งเหตุภัยทางการเงินจากมิจฉาชีพ Call Center : 02 555 0555 กด 111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
#ธกสเปิดตัวสินเชื่อเกษตรวิวัฒน์หนุนวัยใกล้เกษียณ #ธกสเปิดตัวสินเชื่อเกษตรวิวัฒน์หนุนวัยใกล้เกษียณทำการเกษตรคู่ขนานวงเงินรวม3.75หมื่นล้านบาท
#กระทรวงการคลัง #ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

อุตุฯ เตือนระวังพายุฤดูร้อน 16 - 20 มี.ค. 68 และ ฮีทสโตรกจากอากาศร้อนจัด
บทสรุป
กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเตือนประชาชนระวังอันตรายจากการเกิดพายุฤดูร้อนระหว่างวันที่
16 - 20 มีนาคม 2568 เนื่องจากมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ประกอบกับขณะนี้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนจัดจะส่งผลให้เกิดอากาศแปรปรวน โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แนะนำประชาชนหากเกิดพายุฤดูร้อนซึ่งอาจเกิดฟ้าผ่า ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ที่โล่งแจ้ง
ไม่หลบใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณาหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง ไม่ใช้อุปกรณ์สื่อสาร และขอให้ติดตามข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กรมควบคุมโรค เตือนประชาชนอากาศร้อนจัดต้องระวังการเกิดโรคฮีทสโตรกโดยเฉพาะใน 6 กลุ่มเสี่ยง แนะนำประชาชนไม่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง และไม่ดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้รัฐบาลโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จัดโครงการล้างเครื่องปรับอากาศขนาดไม่เกิน 24,000 บีทียู ที่ติดฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 มอบส่วนลดค่าล้างเครื่องปรับอากาศ 200 บาท เพื่อลดภาระค่าล้างแอร์แก่ประชาชน โดยการล้างแอร์ทุก 6 เดือน จะช่วยประหยัดไฟได้ถึง 23 หน่วย/เครื่อง/เดือน
รายละเอียด
อุตุฯ เตือนประชาชนเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน ระหว่างวันที่ 16 - 20 มี.ค. 68
กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศแจ้งเตือนในช่วงวันที่ 16 - 20 มีนาคม 2568 บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีสภาพอากาศแปรปรวน มีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ลูกเห็บตก รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ในช่วงวันที่ 16 - 17 มีนาคม 2568 หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิจะลดลง 5 - 8 องศาเซลเซียส ส่วนภาคอื่นๆ อุณหภูมิจะลดลง 2 - 4 องศาเซลเซียส เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่จะเกิดขึ้น
ปภ. แนะรับมือพายุฤดูร้อน ลดเสี่ยงอันตรายจากพายุลมแรงและฟ้าผ่า
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แนะนำประชาชนรับมือพายุฤดูร้อน ดังนี้
➢ ติดตามพยากรณ์อากาศอย่างสม่ำเสมอ หากมีประกาศเตือนภัยให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
➢ ตรวจสอบบ้านเรือนให้มั่นคงแข็งแรง
➢ ป้องกันอันตรายจากการล้มทับ โดยเฉพาะเสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา
➢ ลดความเสี่ยงพืชผลทางการเกษตรเสียหาย โดยจัดทำค้ำยันหรือที่กำบังปกคลุม
➢ หลีกเลี่ยงอันตรายจากฟ้าผ่า โดยไม่อยู่บริเวณดาดฟ้า ระเบียง พื้นที่โล่ง วัตถุที่เป็นสื่อนำไฟฟ้า งดใช้เครื่องมือสื่อสาร และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หลีกเลี่ยงการใกล้เสาสูง โครงสร้างโลหะ ป้ายโฆษณา หลีกเลี่ยงการหลบใต้ต้นไม้สูง การอยู่ใกล้เครื่องใช้ไฟฟ้าและสายไฟภายในบ้าน
หากหลีกเลี่ยงไม่ได้หมอบต่ำ กอดเข่า ทำตัวให้เล็กที่สุด และให้ปลายเท้าสัมผัสพื้นให้น้อยที่สุด ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนนิรภัย 1784
กรมควบคุมโรค เตือนระวังป่วยฮีทสโตรก โดยเฉพาะ 6 กลุ่มเสี่ยง แนะเลี่ยงอยู่กลางแดด ดื่มเหล้า อาจทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้
(13 มี.ค. 68) ด้วยขณะนี้ประเทศไทยมีสภาพอากาศที่ร้อน กรมควบคุมโรค เตือนระวังป่วยโรคลมแดดหรือ “ฮีทสโตรก” จากอากาศร้อน สำหรับประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอาจเจ็บป่วยจากโรคลมแดด หรือฮีทสโตรก (Heat Stroke) ได้แก่ 1. ผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดด 2. เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ 3. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง 4. ผู้ที่มีภาวะอ้วน
5. ผู้ที่นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ และ 6. ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก อาจทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้
ผู้ที่มีอาการ “ฮีทสโตรก” จะมีอาการตัวร้อนขึ้นเรื่อย ๆ อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจนเกิน 40 องศาเซลเซียส ควรให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยรีบนำผู้ป่วยเข้าในที่ร่ม อากาศถ่ายเทได้สะดวก ให้ดื่มน้ำเย็น ให้นอนราบและยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นสูง ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามหน้าผาก ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ ร่วมกับใช้พัดลมเป่าช่วยระบายความร้อน เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลงโดยเร็วที่สุด ถ้ามีอาการรุนแรง หมดสติ ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที หรือโทรสายด่วน 1669
กรมควบคุมโรค ขอแนะนำประชาชนในการดูแลสุขภาพตนเอง ด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ระบายความร้อนได้ดี ควรอยู่ในที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ลดหรือเลี่ยงทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงกลางแจ้งนาน ๆ สวมแว่นกันแดด กางร่ม สวมหมวกปีกกว้าง ควรดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน กรมควบคุมโรค โทร. 1422
รัฐบาลร่วมลดโลกร้อน แจกส่วนลดล้างแอร์ติดฉลากเบอร์ 5 ลด 200 บาท 15,000 สิทธิ์ 15 มี.ค.-15 มิ.ย. 68
(13 มี.ค. 68) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการล้างเครื่องปรับอากาศเบอร์ 5 ภายใต้แคมเปญ “เปลี่ยนฤดูร้อน เป็นฤดูรัก(ษ์)” มอบส่วนลดค่าล้างเครื่องปรับอากาศ 200 บาท จากค่าบริการล้างเครื่องปรับอากาศขนาดไม่เกิน 24,000 บีทียู สำหรับผู้ใช้เครื่องปรับอากาศติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 จำนวน 15,000 สิทธิ์
ทั้งนี้ การล้างเครื่องปรับอากาศทุก 6 เดือน จะช่วยประหยัดไฟฟ้าได้กว่า 23 หน่วย/เครื่อง/เดือน ซึ่งตลอดโครงการนี้จะช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ 2.14 ล้านหน่วย คิดเป็นค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ประมาณ 9 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1,119 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/1 รอบการล้าง หรือ 6 เดือน ผู้สนใจสามารถยื่นเอกสารโดยใช้บัตรประจำตัวประชาชนและบิลค่าไฟฟ้าเดือนใดเดือนหนึ่งของปี 2568 ที่ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าทั้ง 12 แห่ง ได้แก่ โฮมโปร, เมกาโฮม, เพาเวอร์บาย, ไทวัสดุ, บีเอ็นบีโฮม, ดูโฮม, โกลบอลเฮ้าส์, เดอะมอลล์, เอ็มโพเรียม, สยามพารากอน, ฮาร์ดแวร์เฮาส์, และร้านค้าออนไลน์นอคนอค ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม - 15 มิถุนายน 2568 หรือจนกว่าสิทธิ์จะครบ ติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ กฟผ. www.egat.co.th และหน่วยงานพันธมิตรทั้ง 12 แห่ง
#อุตุฯเตือนระวังพายุฤดูร้อน16-20มีค68และฮีทสโตรกจากอากาศร้อนจัด #ฮีทสโตรก #กรมอุตุนิยมวิทยา
#กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม #กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย #กระทรวงมหาดไทย
#กรมควบคุมโรค #กระทรวงสาธารณสุข #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

ความมั่นคงและความยืดหยุ่นของน้ำ (Water Security and Resilience)
จากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศโลก (Climate Change) และการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมี “การวัดค่า” ของ ความมั่นคงและความยืดหยุ่นของน้ำ เพื่อการกำหนดกลยุทธ์ และแผนยุธศาสตร์ ในการบริหารจัดการน้ำในมุมมองของมหภาค ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ที่ผ่านมาเราจะเห็นการลงทุนจากภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อให้สร้างความมั่นคงและยั่งยืน ของการจัดการน้ำในระยะยาว

การติดตามข้อมูลน้ำและการวิเคราะห์ผลแบบอัจฉริยะ (Water Monitoring and Analytics)
ด้วยการเข้ามามีบทบาทของเครื่องมือในการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) และโมเดลการคำนวณข้อมูลทางคณิตศาสตร์ที่ก้าวล้ำ อย่างเช่น Predictive Model, Machine Learning และ AI ต่างๆ ก็สามารถนำข้อมูลต่างๆในระบบบริหารจัดการน้ำมาวิเคราะห์และสร้างสู่การปฏิบัติได้อย่างดีที่สุด ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา เราจะได้เห็นเครื่องมืออันทรงพลังที่สามารถควบคุมและติดตามน้ำที่ประกอบด้วย “ระบบ IoT Sensor ; Internet of Things” , ระบบ AI ที่จะวิเคราะห์ข้อมูลในการพัฒนาคุณภาพน้ำ, รูปแบบการใช้งานน้ำ (Water Usage Pattern), และประสิทธิภาพการใช้งานระบบจัดการน้ำที่ดีขึ้น (Infrastructure Performance)

❇️ จังหวัดเพชรบูรณ์ ประสานหน่วยทหาร ร่วมซ่อมแซมบ้านเรือนราษฎรที่ประสบวาตภัยพายุฤดูร้อน
นายศรัณยู มีทองคำ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ มอบหมายให้อำเภอหนองไผ่ ประสาน หน่วยทหารในพื้นที่ซ่อมแซมบ้านเรือนราษฎรที่ประสบวาตภัย พายุฤดูร้อน โดยกองพลทหารม้าที่ 1 ได้มอบกองพันเสนารักษ์ที่ 8 จัดชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือน ชุดช่าง และกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ“ ของหน่วยลงพื้นที่ร่วมกับผู้นำชุมชน สำรวจความเสียหาย พร้อมทั้งบูรณาการความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ประชาชนที่ประสบเหตุวาตภัยในพื้นที่ โดยได้ดำเนินการซ่อมแซมและขนย้ายสิ่งของให้กับบ้านเรือนที่ประสบภัย จัดชุดหมอเดินเท้าเพื่อให้บริการดูแลสุขภาพเบื้องต้นและมอบยาสามัญประจำบ้าน ในพื้นที่หมู่ที่ 12 ตำบลท่าแดง อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งประสบภัยวาตภัยพายุฤดูร้อน ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

👨💼 นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์

สำนักประชาสัมพันธ์เขต 4 พิษณุโลก เปิดรับสมัครนักเรียนในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 - 6 / ปวช. / ปวส. ที่กำลังศึกษาในจังหวัดพิษณุโลก ที่มีความสนใจด้านการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมหลักสูตร "Young Smart PR"

📌 8 ทักษะที่มีลักษณะเป็นซอฟท์สกิล (soft skills) ที่จำเป็นในอนาคตสำหรับแรงงานในประเทศไทย
🔹ทักษะการวิเคราะห์และปรับใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เข้าใจโครงสร้างของข้อมูล และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปต่อยอดเชื่อมโยงได้ เนื่องจากในช่วงเวลานี้ AI จะทำหน้าที่รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลใน big data ที่มีอยู่มากมาย มนุษย์จำเป็นต้องมีความรู้ในการนำข้อมูลมาทำการวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ได้
🔹ทักษะความคิดสร้างสรรค์ เป็นการนำข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้ สร้างสรรค์ต่อยอดในการดำเนินธุรกิจ
🔹ทักษะการใช้เครื่องมือด้านดิจิทัลได้อย่างเต็มศักยภาพสูงสุด การใช้ชีวิตบนโลกแห่งดิจิทัล เช่น การค้นหาข้อมูล การจดบันทึก บนสื่อดิจิทัล เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นการทิ้งร่องรอยบนโลกดิจิทัลเพื่อช่วยให้ AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของมนุษย์ได้มากขึ้น
🔹ทักษะการปรับตัว ทั้งวิธีการทำงาน กรอบแนวคิด การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และต้องสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดเวลา (lifelong learning)
🔹ทักษะการบริหารจัดการคน เนื่องจากในอนาคตการทำงานเป็นทีมถือเป็นปัจจัยสำคัญ
🔹ทักษะด้านการมีเหตุผลในการคิด เพื่อเสริมสร้างให้เกิดการคิดอย่างเป็นระบบ สามารถนำมาจัดวางเป็นโปรแกรมบนดิจิทัลต่อไปได้
🔹ทักษะความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ในระดับยีนและ DNA เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดในอนาคต
🔹ทักษะด้านภาษา การฝึกฝนทางด้านภาษาที่หลากหลาย เพื่อช่วยเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้มากขึ้น...

✔️ Do & Don’t เราควรทำอย่างไร เมื่อต้องเจอกับฝุ่น pm2.5

💨ฝุ่น PM 2.5 กลับมาเยือนอีกครั้ง ⚠️ คนไทยต้องระวังอะไรบ้าง?
“ฝุ่น PM 2.5 ” กำลังกลับมาเยือนไทยอีกครั้ง เหมือนเป็นสัญญาณเตือนสุขภาพประจำฤดูกาล ที่คนวัยทำงานจะมองข้ามไปไม่ได้!
เพราะฝุ่นเหล่านี้มีอนุภาคขนาดเล็กมาก และไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากได้รับผ่านทางการหายใจ ก็อาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้ตามมาได้ โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ อาจมีอาการรุนแรงมากกว่าคนทั่วไปได้❗

ระบบการจัดการน้ำแบบไม่รวมศูนย์ (Decentralized Water Systems)
หากการบริหารจัดการด้วยระบบใหญ่อาจจะมีความเชื่องช้าเกินไป อีกหนึ่งระบบบริหารจัดการน้ำที่มีความรวดเร็ว กระชับกว่า และตรวจสอบได้ง่าย นั้นคือ “ระบบการจัดการน้ำแบบไม่รวมศูนย์ (Decentralized Water Systems)” โดยระบบนี้เป็นการแยกตัวบริหารจากศูนย์กลาง แต่ยังคงทำงานร่วมกับระบบใหญ่อยู่ ทำให้สเกลงานมีขนาดที่เล็กกว่า ติดตามได้ใกล้ชิด และรวดเร็วกว่า โดยข้อดีที่ตามมาคือ ลดปริมาณน้ำที่หายไปในระบบ (Water Losses), ทำให้น้ำมีคุณภาพที่ดีขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ การมีความยืดหยุ่น (Resilience) ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมโลก หรือ Climate Change ในระบบใหญ่

รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยว รองรับเทศกาลสงกรานต์ ปี 2568
บทสรุป
รัฐบาลได้เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย ให้ปี 2568 เป็น “ปีทองแห่งการท่องเที่ยวไทย” เดินทางได้ตลอดปี ไม่มีโลว์ซีซั่น สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยกระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้กับประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมแก้ไขปัญหาราคาค่าโดยสารแพง ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก 6 สายการบินในประเทศ ลดราคาลง 30% ใน 11 เส้นทาง 124 เที่ยวบิน รวม 25,000 ที่นั่ง เดินทางระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2568 โดยเปิดจำหน่ายตั๋ววันที่ 11-20 มีนาคม 2568 ขณะเดียวกันเพิ่มเที่ยวเดินรถไฟพิเศษ 5 เส้นทางรองรับประชาชน 758,024 คน-เที่ยว, รถโดยสารประจำทาง-ไม่ประจำทาง รองรับอีก 100,000 คน, เปิดให้ประชาชนทดลองใช้ M6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา, M81 บางใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี และยกเว้นค่าธรรมเนียมบนทางพิเศษ 5 เส้นทาง M7 (กรุงเทพฯ–บ้านฉาง) รวมถึงความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเข้ามาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ขณะนี้พบยอดจองห้องพักโรงแรมที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เกือบเต็มแล้ว คาดจะสร้างเม็ดเงินกว่าพันล้านบาท อีกทั้ง กระทรวงแรงงาน ผ่อนผันให้แรงงาน 3 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถเดินทางกลับบ้านช่วงสงกรานต์ โดยงดเว้นค่าธรรมเนียม (Re-Entry Permit) ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน-15 พฤษภาคม 2568
รายละเอียด
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มีการประชุมร่วมกับทุกหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม เพื่อเตรียมความพร้อมการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ในวันที่ 11-17 เมษายน 2568 เพื่อให้การเดินทางของประชาชนได้รับความสะดวก ปลอดภัยตลอดเส้นทาง และมีราคาค่าโดยสารที่เหมาะสม สำหรับราคาตั๋วเครื่องบินที่มีราคาสูงได้สั่งการให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ติดตามและลงพื้นที่
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับให้หารือกับ 6 สายการบิน เพื่อร่วมกัน สนับสนุนมาตรการแก้ไขปัญหาตั๋วโดยสารมีราคาแพง เนื่องจากเป็นช่วงที่มีปริมาณความต้องการเดินทางสูง ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2568 ประกอบด้วย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รวมถึงสายการบินในสมาคมสายการบินประเทศไทย ได้แก่ บางกอกแอร์เวย์ส, ไทยแอร์เอเชีย, นกแอร์, ไทยไลอ้อนแอร์ และไทยเวียตเจ็ท มีจำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้นรวม 124 เที่ยวบิน และมีที่นั่งเพิ่มขึ้นรวม 25,000 ที่นั่ง พร้อมกับลดราคาตั๋วเครื่องบินลง 30% จากราคาเพดานในเส้นทางภายในประเทศที่ได้รับความนิยม
• จำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้นรวม 124 เที่ยวบิน 11 เส้นทาง ประกอบด้วย กรุงเทพฯ-ภูเก็ต, กรุงเทพฯ-เชียงใหม่, กรุงเทพฯ-กระบี่, กรุงเทพฯ-สมุย, กรุงเทพฯ-นครพนม, กรุงเทพฯ-อุดรธานี, กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี, กรุงเทพฯ-เชียงราย, กรุงเทพฯ-ขอนแก่น, กรุงเทพฯ-หาดใหญ่ และกรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช
• เริ่มจำหน่ายในวันที่ 11-20 มีนาคม 2568 ผ่านทางช่องทางของสายการบินโดยตรง ได้แก่ เว็บไซต์, call center และ เคาน์เตอร์ขายตั๋ว
นายสุริยะ ได้สั่งการให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.), กรมท่าอากาศยาน (ทย.) และ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด (บวท.) และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว พร้อมเน้นย้ำว่า ห้ามมีผู้โดยสารตกค้างอย่างเด็ดขาด โดยขอให้ผู้โดยสารวางแผน
การเดินทางได้ล่วงหน้าเพื่อการเดินทางที่สะดวกและคุ้มค่า
นอกจากนี้ ยังสั่งการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพิ่มเที่ยวรถไฟ เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในเส้นทางปกติ และรถพิเศษเสริม 5 เส้นทาง รวมไป-กลับ 26 ขบวน ได้แก่ กรุงเทพอภิวัฒน์-เชียงใหม่ อุบลราชธานี อุดรธานี ศิลาอาสน์ และยะลา เบื้องต้นคาดว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีประชาชนเดินทางด้วยรถไฟรวมประมาณ 758,024 คน-เที่ยว
มอบหมายให้ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เสริมรถโดยสารไม่ประจำทางอีก 1,000 คัน ซึ่งจะรองรับผู้โดยสารอีก 100,000 คน ประจำสถานีขนส่งต่าง ๆ ให้สามารถรองรับการเดินทางของประชาชนให้มีความเหมาะสมทุกจุด ในวันที่ 11 เมษายน 2568 คาดจะมีจำนวนผู้ใช้บริการหนาแน่นสูงสุดประมาณ 130,000 คนพร้อมกับเปิดให้ประชาชนทดลองใช้ M6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา (ช่วงหินกอง-เลี่ยงเมืองนครราชสีมา)ระยะทาง 167 กิโลเมตร โดยช่วงหินกอง-ปากช่อง ให้เดินรถทางเดียวโดยสลับเป็นเดินรถทางเดียวขาออก ช่วงต้นเทศกาล และเดินรถทางเดียวขาเข้าช่วงปลายเทศกาล และ M81 บางใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี ระยะทาง 96.41 กิโลเมตร รวมทั้งประชาสัมพันธ์แนะนำให้ประชาชนใช้ถนนสายรองของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท เพื่อลดปริมาณจราจรที่หนาแน่นของถนนสายหลัก
ส่วนด้านมาตรการและแผนรองรับการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางพิเศษ 5 เส้นทาง ได้แก่ 1. ทางพิเศษบูรพาวิถี 2. กาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2568 3. ทางพิเศษศรีรัช 4. เฉลิมมหานคร และ 5.อุดรรัถยา ยกเว้นการจัดเก็บค่าผ่านทางระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน 2568 รวมทั้งยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบนมอเตอร์เวย์ 2 เส้นทาง ได้แก่ M7 (กรุงเทพฯ–บ้านฉาง) และ M9 (สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ถนนกาญจนาภิเษก ตอนบางปะอิน-บางพลี และตอนพระประแดง-บางแค ช่วงพระประแดง-ต่างระดับบางขุนเทียน) ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2568
สำหรับมาตรการขนส่งสาธารณะได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานในสังกัดอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้ประชาชน และจัดบริการขนส่งสาธารณะให้เพียงพอต่อความต้องการ เข้มงวดความปลอดภัย โดยเฉพาะอุบัติเหตุระบบขนส่งสาธารณะต้องเป็นศูนย์
ยอดจองโรงแรมคึกคักรับเทศกาลสงกรานต์
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจเดินหน้าผลักดันให้การท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่าง ๆ และมุ่งยกระดับให้ปี 2568 เป็น “ปีทองแห่งการท่องเที่ยวไทย” ที่เดินทางได้ตลอดปี ไม่มีโลว์ซีซั่น เพื่อกระจายรายได้สู่เมืองหลักและเมืองรอง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพและความปลอดภัย ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพเพิ่มมูลค่าการใช้จ่ายต่อคนให้มากขึ้น
“เทศกาลสงกรานต์” เป็นหนึ่งในเทศกาลที่ดึงดูดนักเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียจำนวนมากเดินทางมาเล่นสงกรานต์ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา อย่างเนืองแน่นทุกปี จากข้อมูลล่าสุดพบว่า
ยอดจองห้องพักโรงแรมในจังหวัดสงขลามีการจองเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โรงแรมบางแห่งก็ปิดรับจองไปแล้ว โดยคาดว่าเมื่อใกล้ถึงเทศกาลสงกรานต์ห้องพักโรงแรมจะถูกจองเต็มทั้งหมดเกือบ 2 หมื่นห้อง คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินกว่าพันล้านบาท
อนุญาตแรงงาน 3 สัญชาติ เดินทางกลับบ้านช่วงสงกรานต์ งดเว้นค่าธรรมเนียม 1 เม.ย. - 15 พ.ค. 68
(11 มี.ค. 68) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ นโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 3/2568 มีมติผ่อนผันให้แรงงาน 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) สามารถเดินทางกลับประเทศเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ได้ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมขออนุญาตกลับเข้ามาในราชอาณาจักร (Re-Entry Permit) เพื่อสนับสนุนความสัมพันธ์ ด้านแรงงานระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แรงงานข้ามชาติ ที่ต้องการเดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัวและร่วมงานประเพณีสงกรานต์ในปีนี้
• แรงงานกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่มีใบอนุญาตทำงานถูกต้อง สามารถเดินทางออกและกลับเข้า
ไทยได้ โดยไม่ต้องยื่นขอ Re-Entry Permit
• ช่วงเวลาที่ได้รับการผ่อนผัน 1 เมษายน–15 พฤษภาคม 2568
• หากเดินทางกลับไทย หลังวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 จะไม่ได้รับสิทธิผ่อนผัน และต้องดำเนินการขออนุญาตใหม่ตามปกติ
#รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวรองรับเทศกาลสงกรานต์ปี2568 #กระทรวงคมนาคม #กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา #กระทรวงแรงงาน #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?
วิดีโอทั้งหมด (แสดงผลทั้งหมด)
ติดต่อ ธุรกิจของเรา
เบอร์โทรศัพท์
ที่อยู่
98 หมู่10 ถนนสระะบุรี-หล่มสัก ตำบลสะเดียง อำเภอเมือง
Phetchabun
67000