คลินิกแพทย์วารสินทร์

คลินิกแพทย์วารสินทร์

1ตค2564.นี้ ครบรอบ 20ปี ดูแลคนไข้ มากกว่า

15/04/2022

วันศุกร์ 15เมย 2565
หมอเปิด ปกติเป็นต้นไปครับ

28/12/2021

รับสมัครผู้ช่วยที่ clinic
โทรมาคุยนะ0898492011

25/12/2021

คลินิคแพทย์
วารสินทร์
รับสมัคร
ผู้ช่วย คลินิค
ติดต่อ
0898492011

11/08/2021

ใครต้องการชุด ATK ติดต่อ หมอครับ
รับรองมาตราฐาน

08/05/2021

อ่านให้จบ แล้วคุณจะอยาก "ขอบคุณ"
1. ในแต่ละปี จงทำชีวิตให้ดีขึ้น
เพราะในแต่ละวัน ชีวิตเรากำลังสั้นลง

2. การอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่การหยุดทำในเรื่องสำคัญ
แต่มันคือ การหยุดทุกข์ไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ

3. อารมณ์ลบทุกชนิด จะทำให้เรารู้สึกแย่
ก่อนที่คนอื่นจะทำให้เรารู้สึกแย่เสมอ
เช่นกัน อารมณ์บวกทุกชนิด
จะให้พรเรา ก่อนที่จะให้พรคนอื่นเสมอ

4. วิจารณ์คนอื่นทุกวัน ใจต่ำลงทุกวัน
วิจัยตัวเองทุกวัน ใจสูงขึ้นทุกวัน

5. ถ้าไม่มีคนมาทำให้คุณโกรธ
คุณจะไม่รู้เลยว่า ระดับจิตคุณอยู่ตรงไหน
ถ้าไม่มีใครมาทำให้คุณทุกข์ใจ
คุณจะไม่รู้เลยว่า ตัวเองยังมีอะไรต้องพัฒนา

6. ไม่ว่าภายนอก เราจะอยู่กับคนมากแค่ไหน
แต่ภายใน เรายังอยู่ตัวคนเดียวเสมอ
จงหาวิธีรักตัวเองให้เจอ เพราะไม่มีใครในโลกนี้
ที่จะอยู่กับเธอสม่ำเสมอเ ท่ากับตัวของเธอเอง

7. การฝึกจิต และพัฒนาตัวเอง
อาจไม่ทำให้เราพ้นทุกข์ตลอดกาล
แต่มันทำให้เราที่เตยเป็นทุกข์นาน กลับน้อยลง

8. การแก้กรรมที่ดีที่สุด คือ การแก้ไข
ความคิด คำพูด และการกระทำของตัวเอง

9. ความดีเล็กๆ ที่ทำไปนานๆ
สุดท้าย อาจสร้างปาฏิหารย์ให้กับชีวิตได้

10. ไปได้เร็วแค่ไหน ก็ถึงเร็วเท่านั้น
ปล่อยวางได้เร็วแค่ไหน ก็สุขใจเร็วเท่านั้น

11. จำไว้ว่า "ความทุกข์ ”
ไม่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา เพื่อมอบ “ คำสาป ”
แต่มันผ่านเข้ามาในชีวิตเรา เพื่อมอบ “ คำสอน ”

12. ก้าวแรกของการใช้ชีวิตอย่างผู้ตื่น
คือ การหยุด ยุ่ง วุ่นวาย เรื่องของคนอื่น
แล้วหันกลับมาวิเคราะห์ใจตัวเอง

13. ความทุกข์ทั้งหมดในชีวิต
ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับคุณ
แต่มันเกิดจากสิ่งที่คุณคิด ว่าคนอื่นคิดยังไงกับคุณ

14. ต้องขอบคุณคนที่ทำไม่ดี
ที่ช่วยเป็นตัวอย่างที่ดี ว่าอะไรไม่ควรทำ

15. ไม่ว่าจะทุกข์หนักหนาสาหัสสักแค่ไหน
ทางออกก็ไม่เคยอยู่ไกลไปกว่าใจของเราเอง

16. เกลียดเขาเราทุกข์ เมตตาเขาเราสุขเอง

17. คนเราฝึกเดินจนเก่งได้ ฉันใด
ก็สามารถฝึกใจ จนเป็นสุขได้ ฉันนั้น

18. โปรดสังเกต ดูให้ดีว่า
สิ่งที่ทำให้เราทุกข์บ่อยที่สุดในแต่ละวัน
ไม่ใช่พฤติกรรมของคนอื่น แต่คือความคิดของเราเอง

19. หากคุณคิดว่า ตัวเองมีค่าเพราะมีเงิน
วันไหนเงินหมด วันนั้นคุณค่าคุณก็หมดไป

หากคุณคิดว่า ตัวเองมีค่าเพราะหน้าตาดี
วันไหนหน้าตาไม่ดี คุณค่าคุณก็หมด

หากคุณคิดว่า ตัวเองมีค่าเพราะเป็นคนดี
ตราบใดที่คุณมีความดี คุณก็จะมีคุณค่าได้ตลอดไป
.....................................................................
บทความดีๆจากเพจ : 𝐂𝐨𝐝𝐞 𝐎𝐟 𝐋𝐢𝐟𝐞

04/05/2021

หมอเปิด กลุ่ม ใน FB ไว้ ให้ คำปรึกษา ชื่อกลุ่ม
คลินิคหมอวารสินทร์

30/04/2021

จงมองตาลูก.....
"อย่าปั้นลูกดังใจหวัง
ปล่อยลูกเป็นดังใจฝัน"

บทความ • ปั้นใหม่ เลี้ยงลูกใหม่ ปั้นให้ดี 03/02/2021

#เลี้ยงลูกจนหมดแรง
💜เลี้ยงลูกช่วงนี้รู้สึกหมดแรงไหม? ถ้าใช่ ก็จงร้องไชโยเพราะคุณเหมือนเจ้าหญิงแคทเธอรีน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ เข้าไปหนึ่งก้าวแล้ว!

😬เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เจ้าหญิงเคททรงร่วมรายการคุยกับพ่อแม่เรื่องการเลี้ยงลูก พิธีกรถามว่า หากจะเลือก 1 คำที่บรรยายความรู้สึกในการเลี้ยงลูกช่วงนี้ จะเลือกคำไหน?

😭เจ้าหญิงเคท ทรงเลือกคำว่า "exhausted" ซึ่งแปลว่า หมดสภาพ อ่อนระโหยโรยแรงหรือเหนื่อยแบบสุดๆ
พ่อแม่อีกสามคนที่ร่วมรายการด้วย เลือกคำว่า
patience ความอดทน
hectic โกลาหล วุ่นวาย
challenging ยาก ท้าทายความสามารถ (คุณพ่อคนนี้ใช้คำบวกมาก!)

👻เป็นเจ้าหญิงยังเหนื่อยแบบนี้ (ทรงมีพระโอรสและพระธิดา 3 องค์) แล้วคนธรรมดาอย่างเราจะเหนื่อยแค่ไหน!

เมื่อวานนี้พบคุณพ่อคนหนึ่งที่ต้อง wfh ด้วยและเลี้ยงลูกด้วย คำแรกที่พูดตอนเจอหน้ากันคือ "ผมแทบสติแตก รู้สึกทนไม่ไหวแล้ว!"

🎈เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้หมดแรง ขอให้ข้อคิด ดังนี้
1 ตั้งเป้าเพียงว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ดีพอ (good enough parents) ไม่ใช่พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ (perfect parents)
2 หาคนช่วย ถ้าคุณเหนื่อยมากคุณต้องมีคนช่วย ไม่งั้นคุณจะ "สติแตก" และ exhausted แบบเจ้าหญิง
3 สร้างระเบียบวินัยลูกให้ได้ แรกเริ่มในการสร้างระเบียบวินัย อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่พออยู่ตัวแล้วจะเหนื่อยน้อยลงแน่นอน
ขอรับรองข้อนี้
4 มีกลยุทธ์ที่เข้าท่าในการเลี้ยงลูก อันนี้คงต้องค้นหาทดลองกันเองในแต่ละบ้าน แต่เทคนิคที่ใช้ได้ผลสำหรับเด็กทุกคนก็คือ ทำตารางเวลา ใช้นาฬิกาจับเวลา และใช้ใบดาวกระตุ้นให้ทำพฤติกรรมที่ดี
5 จับถูกลูกมากกว่าจับผิด ถ้าเมื่อไหร่จับผิดก็ต้องวางแผนว่าจะช่วยลดพฤติกรรมที่ผิดอย่างไรบ้าง ไม่ใช่แค่จับผิดและต่อว่าตำหนิลูกอย่างเดียว
6 ลองเล่นเกมที่ช่วยให้เราได้พัก ที่อาจารย์ชอบใช้ตอนลูกยังเล็กคือ เกม "นอนหมดคน" เกมนี้คือทุกคนในบ้านมานอนพักนิ่งๆ ครึ่งชั่วโมง ถ้าคุยให้ดี ลูกจะอยากทำแน่ๆ นอนพลิกไปพลิกมาสักพักก็กรนครอกฟี๊แล้ว
อีกเกมหนึ่ง "อ่านสนุกสุขสงบ" ทุกคนจะต้องเลือกหนังสือที่ชอบ 1 เล่ม มาอ่านเงียบๆ (หรือพลิกดูรูปหากยังอ่านไม่เป็น) เป็นเวลา 30 นาที
ทั้งสองเกมนี้ดีมาก พ่อแม่ก็ได้พัก ลูกได้หัดอยู่เงียบๆและเอนจอยการอ่านการนอน (ไม่ต้องหลับก็ได้ แต่สักพักมักจะหลับ)
7 ให้จอช่วยบ้าง เช่นจอทีวี จอมือถือ จอเกม แต่ไม่ควรนานเกิน 20 นาทีถึงครึ่งชั่วโมง ไม่งั้นจะเกิดศึกในอนาคต!
8 ดูแลตัวเองให้ดี พักผ่อนให้พอ
9 ไม่ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จ หลายอย่างอาจรอก่อนได้ หัดจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะต้องทำ
10 สลับกันเข้าเวร สลับกันดูแลลูก และสลับกันพัก ไม่ต้องดูแลลูกพร้อมกันทั้งพ่อทั้งแม่

10 ข้อนี้ ต้องประยุกต์หน่อย มีลูกเล่น มีความคิดสร้างสรรค์ หาสไตล์ใหม่ๆมาใช้กับลูก
ลุยเลย!

อ่านวิธีปราบลูกเพิ่มเติมที่ http://bit.ly/blogpunmai

#ปั้นใหม่ #เลี้ยงลูกให้ดีต้องมีเทคนิค

บทความ • ปั้นใหม่ เลี้ยงลูกใหม่ ปั้นให้ดี ช่วงนี้ได้รับคำถามมากมายเกี่ยวกับความรัก การใช้ชีวิตคู่...

04/11/2020

เชื้อ RSV พบครั้งแรก2498 จากลิงชิมแปนซีสู่คน และจากนั้นมาตลอด 65ปีโลกก็ได้รู้จักเชื้อตัวนี้
เชื้อตัวนี้พบอันตรายในเด็กมากกว่าในผู้ใหญ่
ทุกคนลองหลับตาแล้วนึกนั่งย้อนเวลากลับไปเมื่อ 65 ปีที่แล้วตอนนั้นมีการระบาดเด็กๆในโลกใบนี้คงมีการล้มตายเสียชีวิตกันเยอะแยะ และผ่านมา 65 65ปีโลกเราก็ยังผลิตวัคซีนป้องกันเชื้อ rsv ไม่ได้ เชื้อตัวนี้ก็เป็นเชื้อระบาดตามฤดูกาลไปทุกปีทุกปีตลอด 65 ปีที่ผ่านมา
เรียนรู้จากประวัติศาสตร์แล้วหันมามองเชื้อco-vid 19 เชื้อโควิค เป็นอันตรายกับในผู้ใหญ่หรือคนสูงอายุมากกว่าในเด็ก และในภายภาคหน้าเชื้อตัวนี้ก็จะเป็นเชื้อ ระบาดอยู่ทุกปีตลอดไปอีกเช่นกัน
ในประวัติศาสตร์เชื้อหวัดมีมากมาย เรายังไม่สามารถผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดได้เด็ดขาดมีแต่เพียงไข้หวัดใหญ่เท่านั้นที่มีวัคซีนแต่ป้องกันได้ไม่ถึง 70 เปอร์เซ็นต์แต่ยังต้องฉีดอยู่ทุกปี
ก็เป็นกำลังใจให้นักวิทยาศาสตร์ในโลกใบนี้ผลิตวัคซีนได้ป้องกัน covid และขอพ่วง rsv ด้วยนะ อยากให้มีวัคซีนสำหรับ rsv เช่นกัน
ขอบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ ว่าปีนี้มีเชื้อโควิชและโลกได้รู้จักเชื้อ rsv
ปล.ปีที่แล้ว Flu ไข้หวัดใหญ่ระบาด
นพ.วารสินทร์ กุมารแพทย์

03/11/2020

แปลมาอีกทีนึงครับ ยาวหน่อยแต่ดีมากๆครับ 🙂

โศกนาฎกรรมเงียบ (A SILENT TRAGEDY) 😥

มีโศกนาฎกรรมที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆภายในครอบครัวหลายๆครอบครัว โดยที่คนในครอบครัวไม่รู้ตัว และมันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีค่าที่สุดของเรา นั่นคือ ลูกๆ หลานๆ ของเรา...

ปัจจุบันลูกหลานของเรากำลังมีสภาวะอารมณ์ที่รุนแรง! ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมานักวิจัยได้ให้สถิติที่น่าตกใจมาก เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของความเจ็บป่วยทางจิตของเด็กๆและจำนวนเด็กที่เจ็บป่วยก็มีจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สถิติไม่โกหก:
• เด็ก 1 ใน 5 คนมีปัญหาสุขภาพจิต
• เด็กที่วินิจฉัยว่าเป็น ADHD เพิ่มขึ้น 43%
• มีรายงานภาวะซึมเศร้าของวัยรุ่นเพิ่มขึ้น 37%
• มีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 200% ในเด็กอายุ 10 ถึง 14 ปี

มันเกิดอะไรขึ้นและเราผู้ใหญ่ พ่อแม่ได้ทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า ⁉️

เด็กวันนี้กำลังถูกกระตุ้นมากเกินไปเพื่อให้มีพรสวรรค์ทางด้านวัตถุ แต่พวกเด็กๆถูกปิดกั้น ละเลย จากสิ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้มีช่วงวัยเด็กที่ดีมีคุณภาพ (healthy childhood) เช่น

• พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีสุขภาพจิตที่ดี
• การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ โดยพ่อแม่
• มีหน้าที่ ความรับผิดชอบ
•โภชนาการที่สมดุลและการนอนหลับที่เพียงพอ
•การเคลื่อนไหวร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวกลางแจ้ง
•การเล่นอย่างสร้างสรรค์ การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมโอกาสที่จะได้เล่นอย่างอิสระ และช่วงเวลาที่เด็กๆจะได้รู้สึกเบื่อเพื่อจะคิดหาวิธีการเล่นเพื่อแก้เบื่อ

🤖แต่ในหลายๆปีที่ผ่านมาเด็กๆถูกแทนที่สิ่งสำคัญเหล่านี้ด้วย....

•ผู้ปกครองที่วุ่นวายอยู่กับแต่อุปกรณ์ดิจิตอลต่างๆ
•ผู้ปกครองที่ยอมทำตามและยอมอนุญาตให้เด็กๆเป็นคน "ปกครองโลก" และเป็นคนที่กำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆเอง
•ความรู้สึกว่าเป็นเรื่องถูกต้องที่ตัวเองสมควรที่จะได้รับทุกสิ่งโดยที่ไม่ต้องทำอะไรหรือรับผิดชอบอะไรเลย
•นอนหลับไม่เพียงพอและโภชนาการที่ไม่สมดุล
•รูปแบบการใช้ชีวิตแบบขยับตัวน้อย (Sendentary Lifestyle) นั่งหน้า TV. หน้า Computer ไม่ออกไปข้างนอก อยู่แต่ในห้อง (อันตรายมาก)
•การถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา มีเทคโนโลยีเป็นเพื่อนเป็นพี่เลี้ยง ได้สิ่งที่ต้องการทันทีและไม่มีช่วงเวลาที่น่าเบื่อ ถูกกระตุ้นตลอด

😥แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?

ถ้าเราต้องการให้ลูกของเราเป็นคนที่มีความสุขและมีสุขภาพดี (จริงๆ) พวกเราต้องตื่นได้แล้วและกลับไปสู่พื้นฐาน กลับไปสู่เบสิค และมันยังคงเป็นไปได้ที่จะแก้ไข

มีหลายครอบครัวเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากทำตามคำแนะนำต่อไปนี้:

1.กำหนดจำกัดขอบเขต ให้กับลูก และจำไว้ว่าคุณเป็นกัปตันของเรือ เป็นผู้นำครอบครัวไม่ใช่ลูก ลูกของคุณจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าคุณสามารถควบคุมหางเสือได้
2.ช่วยให้ลูกมีวิถีชีวิตที่สมดุล ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ลูกจำเป็นต้องมี ไม่ใช่แค่สิ่งที่ลูกต้องการ อย่ากลัวที่จะพูดคำว่า "ไม่" กับลูก ๆ ของคุณหากสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น
3.ให้ลูกทานอาหารที่มีคุณค่าและลด จำกัดอาหารขยะทั้งหลาย
4.ใช้เวลากลางแจ้งอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงต่อวันในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การขี่จักรยาน การเดิน การออกกำลังกาย เล่นกีฬา สนามเด็กเล่นกลางแจ้ง ฯลฯ
5.ทานอาหารด้วยกันในครอบครัวทุกวัน โดยไม่มีสมาร์ทโฟนหรือเทคโนโลยีที่ทำให้เสียสมาธิ ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
6.เล่นกับลูก ใช้เวลาด้วยกันในครอบครัว
7.ให้ลูกของคุณมีส่วนร่วมในการทำงานบ้าน ตามอายุของพวกเขา (พับเสื้อผ้า, แขวนเสื้อผ้า,ล้างจาน, กวาดบ้าน, ถูบ้าน ,จัดโต๊ะ, ให้อาหารสุนัข ฯลฯ )
8.เข้านอนเป็นเวลา เพื่อให้แน่ใจว่าลูกของคุณได้นอนหลับเพียงพอ ความสำคัญจะมากยิ่งขึ้นสำหรับเด็กวัยเรียน
9.สอนลูกเรื่องความรับผิดชอบและเรื่องเสรีภาพ อย่าปกป้องลูกมากเกินไปจากความรู้สึกไม่พอใจ หงุดหงิด เสียใจหรือความผิดพลาดทั้งหมด ความเข้าใจผิดจะช่วยให้พวกเขาสร้างความยืดหยุ่นและเรียนรู้ที่จะเอาชนะความท้าทายในชีวิต
10.อย่าถือกระเป๋าหรือเป้สะพายหลัง หรือถือของให้ลูกๆ ถ้าลูกลืมการบ้านอย่าเอามาให้ อย่าปอกเปลือกกล้วยหรือเปลือกส้ม หรือทำอะไรให้ลูก ถ้าหากพวกเขาสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แทนที่จะให้ปลาแต่สอนพวกเขาให้หาปลาเองเป็น
11.สอนลูกให้รู้จักรอและชะลอความพีงพอใจได้ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ได้
12.ให้ลูกมีโอกาสได้พบ "ความเบื่อ" เนื่องจากความเบื่อหน่ายเป็นช่วงเวลาที่ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้น เพื่อหาวิธีแก้เบื่อ ไม่ต้องเป็นพ่อแม่ที่รู้สึกว่าต้องทำให้ลูกสนุกตลอดเวลา
13.อย่าใช้เทคโนโลยีเป็นวิธีแก้ความเบื่อของลูกและไม่ต้องสนองเมื่อลูกร้องขอ (ท่องไว้ความเบื่อก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์)
14.หลีกเลี่ยงการใช้เทคโนโลยีในระหว่างมื้ออาหารในรถยนต์ ในร้านอาหาร ในศูนย์การค้า ใช้ช่วงเวลาเหล่านี้เป็นโอกาสในการเข้าสังคมโดยการฝึกสมองให้รู้วิธีการทำงานเมื่ออยู่ในโหมด: "เบื่อ" (boredom)
15. เมื่อลูกเบื่ออาจจะช่วยจุดประกายไอเดียแก้เบื่อได้
16.มีอารมณ์ร่วมกับลูก ไวต่อความรู้สึกของลูก และสอนให้พวกเขารู้จักควบคุมตนเองและสอนทักษะทางสังคม
17.ปิดโทรศัพท์ในเวลากลางคืนเมื่อเด็กต้องเข้านอนเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนจากสัญญานโทรศัพท์และสิ่งต่างๆ จากโทรศัพท์
18.เป็นผู้ควบคุมหรือผู้ฝึกอารมณ์สำหรับลูก ๆ ของคุณ สอนพวกเขาให้รู้จักและจัดการความผิดหวังและความโกรธของตนเอง
19.สอนพวกเขาให้ทักทายคนอื่น การรอคิว ผลัดกันเล่น ผลัดกันใช้ แบ่งปัน การพูดขอบคุณและการขออย่างมีมารยาท การยอมรับความผิดพลาดและการขอโทษ อย่าบังคับให้ทำแต่เป็นแบบอย่างที่ดีของค่านิยมทั้งหมดนี้
20.เชื่อมต่ออารมณ์กับลูก โดยการ- ยิ้ม กอด จูบ หอม จี้เอว หัวเราะ สนุก อ่านนิทาน เต้นรำ กระโดดเล่นกับลูกๆ

ถ้าเราอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกๆหลานๆของเราจริงๆ.... โปรดทำตามนะครับ 🙂

ขอบคุณที่ช่วยกันแชร์ครับ 🙇‍♂️

Article written by Dr. Luis Rojas Marcos Psychiatrist.
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=669567043510720&id=653944098406348

#ดีต่อลูก

15/10/2020

คลินิกหมอวารสินทร์ปิดวันศุกร์ที่ 16 เปิดวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 16:00 น เป็นต้นไป

25/05/2020

มีคำถามสงสัย
ให้โพส ทิ้งไว้ครับ จะมาตอบ ถ้าตอบช้าหรือเรื่องด่วนโทรปรึกษา 0898492011 นะครับ

28/12/2019

สวัสดีปีใหม่ขออวยพรให้ทุกคนมีความสุขสมหวังมีความเจริญก้าวหน้า หมอเปิดคลินิกวันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคมตอนเช้าเป็นต้นไปนะครับ

คุณแม่ผิดหวัง ลูกขึ้น ม.5 เรียนได้เกรด 3.25 กลับเจอคนวิจารณ์เพียบ ! 23/09/2019

ความเก่ง ไม่ได้วัดที่เกรดเฉลี่ย
“ประเทศไทยให้ค่านิยมกับเกรด และปริญญา จนลืมคุณค่าของความเป็นมนุษย์”

เกรดเฉลี่ยไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จทางการศึกษาของเด็กไทย

กรณีศึกษาเรื่องระบบการศึกษาไทยล้มเหลว
ค่านิยม การชี้วัด และการปลูกฝังเด็กผิดวิธี

written by Thanabatra Beboyl Chaidarnn
page owner: ตุ๊ดส์review / P***y can talk

จากข่าวที่คุณแม่จะตัด internet เพราะลูกสอบได้เกรด 3.25 โดยที่มีตรรกะของวิธีคิดคือ การเปรียบเทียบลูกของเรา กับลูกคนอื่น นั่นเป็นที่มาที่ว่า บทความนี้ต้องบอกอะไรในสังคมเสียแล้ว เพราะเข้าใจผิดหลายส่วนทีเดียว

เนื่องจากอาจารย์เองก็จบมาอย่างหรูหรานะ 4.00 เกือบทุกเทอมที่เราเรียนหนังสือ อาจจะเล่าเรื่องนี้แล้วดูน่าหมั่นไส้ แต่นั่นเป็นเพราะความถนัดจาก "พหุปัญญา" ของเราต่างหาก ไม่ใช่คำว่าเก่ง…แล้วคำว่าเก่งก็ไม่ได้วันกันที่เกรดเฉลี่ยด้วย สิ่งที่ควรแก้ไขในค่านิยมเมืองไทย เรื่องการศึกษาบ้านเราได้แก่

1) หยุดเปรียบเทียบศักยภาพบนผลการเรียนของคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง เพราะมันเทียบไม่ได้

ความถนัดของคนแตกต่าง เอาเกรดมาเทียบกัน แล้วบอกอีกคน เก่งกว่าอีกคน ด้วยตัวชี้วัดนี้ จึงไม่สำเร็จ เพราะเหมือนเอาเด็กถนัดเลข มาเทียบกับเด็กถนัดภาษาอังกฤษ ซึ่งวัดไม่ได้ มันไม่ควรวัดคุณค่าคนด้วยเกรดเฉลี่ยอยู่แล้ว

เด็กบางคนถูกสอนแบบให้เปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นตลอดเวลา (social competition) เป็นการสร้างความกดดันทางสังคม และพยายามยัดเยียดให้เด็กภาคภูมิใจกับการเอาชนะคนอื่น ผ่านการสอนทั้งครู และครอบครัว ที่ภาพออกมาจะให้ค่ากับ “เด็กเรียนเก่ง” มากกว่าเด็กที่ไม่สนใจเรียน โดยมักให้คำจำกัดความว่า “พวกไม่เอาไหน”

ดังนั้นการปลูกฝังคุณค่าลักษณะนี้ หรือการแบ่งกลุ่มเด็กเรียนได้เกรดสูง กับเกรดต่ำออกจากกัน แล้วใช้คำว่า เด็กหัวดี เด็กหัวไม่ดี ผมบอกเลยว่า พลาด! เพราะนั่นเท่ากับเป็นการสร้างความเชื่อฝังหัวเด็กในทางที่ผิด

เด็กที่เติบโตมาแบบ ครูยัดเยียดคำว่า “เก่ง” มาให้ตลอด เวลาเด็กพวกนี้ผิดพลาด มันคือความรู้สึกยิ่งใหญ่มากสำหรับเขา กลายเป็นเขาไม่เก่งแล้วเหรอตอนนี้ รู้สึกตกต่ำ มีโอกาสฆ่าตัวตาย เพราะผิดหวัง หรือนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้เลย

หรือเด็กที่เติบโตมาด้วยคำว่า “ไม่เก่ง” ถูกลดคุณค่ามาอยู่เสมอ ก็จะเป็นคนที่มีแนวโน้มไม่มั่นใจในตนเอง ไม่เชื่อในศักยภาพของตนเอง และคิดว่าตนเองห่วย ตามการปลูกฝัง จึงส่งผลเป็นแรงเสริมทางลบของหลายคนคือ การไม่พยายาม เพราะทำไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อตนเองเป็นได้แค่นี้

ปัญหาทั้งหมดเกิดจากการปลูกฝังในสถาบันการศึกษา หรือครอบครัว ที่ใส่ค่านิยมผิดๆให้เด็ก ทั้งๆที่เกรดไม่ได้มีไว้เปรียบเทียบ หรือทำหน้าที่แยกประเภทคน หรือวัดคุณค่าของคนได้ แต่เราเอาสิ่งนี้ เป็นเครื่องมือชี้วัดพวกเขา กำหนดอนาคตความสำเร็จของเขา ไปจนถึงการสร้างชุดความคิดฝังหัวที่ทำให้พวกเขาเข้าใจผิดติดตัว แล้วเกิดการอบรมสั่งสอนคนยุคต่อไป (socialization) ด้วยชุดความคิดผิดๆนี้ไม่รู้จบสิ้น…ควรเลิกได้แล้ว

แล้วเกรดทำหน้าที่อะไร?

2) เกรดวัดความเก่งไม่ได้ เกรดบอกได้เพียงความถนัดของนักเรียน

คนมีศักยภาพความถนัดที่แตกต่างกัน เกรดไม่สามารถวัดความเก่งได้

วาดรูปเก่ง ไม่จำเป็นต้องเลข 4 ฟิลิกส์ 4
ชอบรำ ชอบเต้น ไม่จำเป็นต้องได้ที่ 1 ของห้อง
แต่มันคือการยัดเยียดค่านิยมผิดๆไปเองที่ผ่านมา ว่าเด็กเก่ง ต้องเกรดสูงๆ โดยลืมมอง “ความถนัด จากความเป็นมนุษย์ของเด็ก”

หน้าที่ของเกรดเฉลี่ย...เกรดแค่พอบอกได้ว่า เด็กคนนั้นๆ ถนัดต่างกัน ในวิชาเรียนที่ชอบไม่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ความเก่ง และเกรดบอกถึง "ความรับผิดชอบชีวิต" ของเด็กคนหนึ่งๆ ที่จะเรียนให้รอด แค่นั้นแหละ

อาจารย์ที่ยังยัดเยียดว่า 4 หรือ A คือเด็กเก่ง ที่เก่งกว่าเด็กได้เกรดอื่น นั่นคือความเข้าใจผิดมหันต์ จริงๆมันเป็นเรื่องของ “ความถนัด” ล้วนๆ คนที่ไม่ถนัดเลข ก็ทำคะแนนได้น้อย ก็ถูกแล้ว Logic ไม่แปลกอะไร เพียงแต่ดูแลตัวเองไม่ให้สอบตก นั่นคือความรับผิดชอบ

เด็กที่เรียนได้เกรดเฉลี่ยต่ำอย่างหนึ่ง เขาอาจจะมีความถนัดบางอย่าง ที่ไม่ได้ควรถูกวัดด้วยเกรดเฉลี่ย!!!

บ้านเรามีค่านิยมที่ส่งเสริมเด็กให้เรียนในหลักสูตรสามัญศึกษา เพื่อให้กดดันเด็กพยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ แล้วการันตีว่ากูเก่ง กูเป็นคนคุณภาพ ทั้งๆที่ในความเป็นจริง ระบบการเรียนไม่ควรบังคับเด็กให้เข้าหลักสูตรใดๆ โดยที่ไม่รู้ความถนัดจริงของเด็ก

ยังมีหลักสูตรอาชีวะ หรือโรงเรียนสอนออกแบบเฉพาะด้าน หรือ Dancing School สำหรับเด็กรักการเต้น แต่บ้านเราถูกตรึงไว้กับคำว่าปริญญา เดี๋ยวหางานทำไม่ได้ ทั้งๆที่ ได้ปริญญา เพื่อเรียนในสิ่งที่ตนไม่ชอบ หรือไม่มีศักยภาพ ก็คือการพาเด็กไปผิดเส้นทางแห่งอนาคตอยู่ดีป่ะ??? แล้วจริงๆปริญญาที่ได้มา ก็พยายามป้อนเด็กให้เข้าสู่อุตสาหกรรมพนักงานกินเงินเดือน คำถามคือถ้าเด็กคนดังกล่าว โคตรเก่ง โคตรเทพ แล้วไม่จำเป็นต้องเติบโตมาด้วยระบบการศึกษานี้ ทำไมเขาต้องมีปลายทางเป็นพนักงานออฟฟิศล่ะ?

นั่นแหละ “ประเทศไทยให้ค่านิยมกับเกรด และปริญญา จนลืมคุณค่าของความเป็นมนุษย์”

เนื่องด้วยทำงานเกี่ยวกับด้านการพัฒนาสมองมาก่อน อยากชี้ประเด็นว่า “งานวิจัยทุกชิ้น ระบุว่าเด็กมีพหุปัญญา ที่แตกต่างกันในระดับของสมอง บางคนตรรกะไม่ได้ แต่จินตนาการเลิศ บางคนชอบภาษาและดนตรี แต่ไม่สามารถเรียนคณิตศาสตร์”

ดังนั้น ผมจะบอกว่า ถ้าเด็กวาดรูปเก่ง เต้นเก่ง ก็เสริมให้เขาเรียนด้านนั้นเป็นพิเศษ ในโรงเรียนที่เหมาะ แล้วให้เกรดเฉลี่ยเป็นการผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่เด็กควรมีความรู้ ไม่ใช่กดดันเด็ก บนค่านิยมของการวัดความเก่งที่เกรดเฉลี่ย เพราะมันวัดไม่ได้ บนความถนัดของคนที่แตกต่างกัน นั่นหมายความว่า พ่อแม่ที่เคารพเด็ก เคารพในคุณค่าความเป็นมนุษย์ของลูก พวกเขาควรมีสิทธิ์เลือกเรียนในสิ่งที่รัก และถนัด ด้วยตัวของเขาเอง ในสิ่งที่เขามีศักยภาพ และเคารพในความคิดของเด็ก

“เด็กก็แค่ควรเก่งในเรื่องที่เขาถนัด ไม่ใช่เก่งบนอยู่บนเกรดเฉลี่ย”

นั่นเป็นเหตุผลของการเติบโตของโรงเรียนกวดวิชา ที่ธุรกิจนี้โตวันโตคืน เพื่อตอบโจทย์แนวคิดเรื่องเกรดเฉลี่ยดีงาม ทำให้ต้องไปเรียนเกือบทุกวิชา เพื่อให้เกรดมันดีๆเข้าไว้ หมดไปกี่บาท เป็นเหยื่อการตลาดไปแล้วกี่สถาบันครับ

ณ ตอนนี้ พวกเด็ก ที่พยายามเรียนเก่งทุกวิชา เค้าอาจจะไม่ถนัดก็ได้ แต่สังคมกดดันมาว่า เกรดดีๆคือหน้าตาของเขา คือสิ่งที่สังคมยกย่องเขา ทั้งๆที่เขาไม่ได้มีความสุข และฝืนเรียนให้ได้ผลลัพธ์ที่ครูอาจารย์ พ่อแม่ยืดอกภูมิใจ แต่หารู้ไม่ว่ายืนอยู่บนความทุกข์ของเด็กไทยทั่วประเทศ

3) อย่าทำลายความสุขของการเรียนรู้ ด้วยการยัดความฝัน ความหวัง และค่านิยมผิดๆของพ่อกับแม่ใส่หัวลูก

มนุษย์เกิดมาพร้อมกับ "พหุปัญญา" (ความถนัดโดยกำเนิด) ที่แตกต่างกัน จะบังคับให้เรียนเหมือนกัน และชี้วัดด้วยเกณฑ์เดียวกัน ทั้งๆที่ถูกบังคับเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่ใช่ทาง บ้านเราจึงมีระบบการศึกษาที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า

ผมยังคงยืนยันว่าเด็กจะโตมาได้เจ๋งโคตรๆ ถ้าเขารู้ความถนัด และเข้าใจตอนเองด้วยการได้ลองทักษะต่างๆ ด้วยการฝึกฝนที่ถูกเรื่องถูกทาง ไม่ใช่การบังคับตัวเองเรียนในหลักสูตรที่ชี้วัดคนคล้ายเครื่องจักร ให้เกรด คัดคุณภาพสินค้า เกรดต่ำกลุ่มหนึ่ง เกรดดีกลุ่มหนึ่ง ผมว่านั้นคือความทุกข์ของคนเรียน

ถ้ารู้ว่าเด็กอยากลองเรียนอะไร หรือสามารถวัดศักยภาพเด็กบนเครื่องมือต่างๆ ตั้งแต่เล็ก เราจะเสียเวลาโง่กับการเรียนในระบบแบบเดิมน้อยลง ลองให้ลูกสัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้อันหลากหลายตั้งแต่วัยเยาว์ เขาจะรู้จักตนเองดีขึ้นว่าตนเองชอบอะไร

ผมยกตัวอย่าง เพื่อนรุ่นพี่ผมปัจจุบัน ส่งลูกไปเรียนโรงเรียนกีฬา เพราะเคยพาลูกไปวัดศักยภาพทางปัญญาที่มีมาโดยกำเนิด (inborn intelligence) ผ่านโปรแกรมสแกนลายนิ้วมือ (ลายผิวมือเชื่อมกับการขดของสมองนะครับ เดี๋ยวนี้วิวัฒนาการไปไกล ไม่ใช่ศาสตร์ดูดวงใดๆครับ) พอวัดแล้วลูกเด่นมากเรื่องการเคลื่อนไหว และกิจกรรมสัมพันธ์ต่างๆ พอเรียนถูกด้าน ตอนนี้น้องมีความสุขมาก เล่นกีฬาได้ดีมากๆ ตามแนวทางที่เขาถนัด คำถามคือไหนวะเกรดเฉลี่ย???

ที่ผมอยากเน้นย้ำคือ หาให้เจอให้ได้ว่าลูกถนัด หรือสุขกับการทำอะไร ไม่ใช่พาเด็กไปเรียน แบบสมัยยุคของฉัน แล้วกวดขันจะเอาเกรดสูงๆไปแขวนคอ เป็นภาระเด็ก อย่าไปยัดเยียดให้เค้าเป็นไอ้ที่เราอยากให้เป็น เป็นหมอให้แม่หน่อยนะลูก พาไปติวสอบ บ้าบอ…เค้าควรโตมาแบบเลือกได้ และมีสิทธิ์บนชีวิตของเขา ถ้าคุณให้เขาโตมาแบบที่คุณละเมิดความสุขของเขา พอเขาโตขึ้น เขาก็จะเก็บกด ก้าวร้าว และไม่เคารพใครเช่นกัน

วิธีเดียวที่ทำให้เด็กเรียนแล้วสำเร็จคือคำว่า “เป็นธรรมชาติ” เพราะมันจะพาเขาไปถูกทางเสมอ นั่นแหละคือพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกเป็น และครูอาจารย์ที่สอนเป็น จะหยุดเปรียบเทียบเด็ก และกดดันความเก่งบนเกรดโง่ๆ ที่ไม่ได้ชี้วัดความเก่งได้เลย

“ความสนใจ และการศึกษา…เด็กต้องมีสิทธิ์เลือกเองได้”

การให้เด็กเรียนสิ่งที่ตนรัก อย่างเป็นธรรมชาติ เค้าจะทำสิ่งนั้นได้ดี และมีความสุข เติบโตมาเป็นมนุษย์ที่เคารพความคิดตนเอง เห็นคุณค่าในศักยภาพและความสามารถของตนเอง และสามารถใช้ศักยภาพความสามารถของตนเองได้อย่างชาญฉลาด และถูกทาง โดยปราศจากความกดดันทางสังคม เด็กกลุ่มนี้ จะสุขภาพจิตดี … มาเลี้ยงดู และส่งเสริมการศึกษาลูกแบบธรรมชาติกันเถอะครับ

----

ระบบการศึกษาไทยว่าล้าหลังแล้วนะ แต่ค่านิยมการศึกษาบ้านเราเต่าคลานกว่ามาก

เลี้ยงลูก และสอนพวกเขาด้วยความสุขเถอะครับ แล้วเค้าจะเจริญก้าวหน้าในทางที่เหมาะกับเค้า ไม่ใช่แบบที่เราไปตีกรอบ แต่เป็นแบบที่ “อยู่บนธรรมชาติของเด็ก” เคารพความเป็นมนุษย์ของเด็กดูบ้าง ให้เติบโตมาบนความถนัด ไม่ใช่การยัดเยียด และเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอดเวลา

“เก่งได้ ไม่ได้วัดด้วยเกรด”

// logic ง่ายๆ ก็ลองเอาคนเก่ง คนดัง คนดี ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตตอนนี้ เอาเกรดเฉลี่ยสมัยเรียนมาเปรียบเทียบกันดูสิ ไม่มีใครทำงานเก่งกว่าใคร แสดงเก่งกว่าใคร วาดรูปเก่งกว่าใคร เพราะ “เกรดเฉลี่ย” หรอก บ้า!

คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตที่ปลายทาง เค้าไม่ได้วัดดูจากเกรดเฉลี่ย เค้าดูที่การใช้ชีวิต การเอาตัวรอด การทำงาน การบริหารคน และความฉลาดในการตัดสินใจแก้ปัญหา ไหน...เกรดเท่าไหร่ดี จะวัดเรื่องพวกนี้ได้???

คุณแม่คุณพ่อต้องตื่นได้แล้ว สงสารเด็กไทยครับ #พ่อแม่รังแกฉัน

ที่มาข่าว: https://hilight.kapook.com/view/187297

คุณแม่ผิดหวัง ลูกขึ้น ม.5 เรียนได้เกรด 3.25 กลับเจอคนวิจารณ์เพียบ ! คุณแม่สุดผิดหวังกลุ้มใจ ลูกเรียนได้เกรดแค่ 3.25 อยากให้ได้มากกว่านี้ ขอคำปรึกษาโซเชียล เจอวิจารณ์ยับ 3.25 คือเ...

Q博士 - Error Site 11/08/2019

‣‣ ความสุขในครอบครัว เริ่มจากพูดจากันดีๆ …

เรามักพูดกันว่า การพูดเป็นศิลปะ เราควรต้องพูดจากันดีๆ

แต่ครอบครัวมักเป็นที่ที่เราละเลยได้ง่ายที่สุด ยิ่งแปลกหน้า ยิ่งสุภาพ ยิ่งเกรงใจ ยิ่งสนิท ยิ่งไม่ระวังคำพูด เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีวันโกรธเรา เรากลับมักใช้มีดทางวาจาพุ่งเข้าใส่คนในครอบครัว

ครอบครัวไม่ได้แข็งแกร่งไม่มีวันพัง ครอบครัวที่เป็นสุขต้องการการจัดการ ความสุขในครอบครัวเริ่มจากพูดกันดีๆ

‣‣ การอยู่ร่วมกันระหว่างสามีภรรยา การเคารพกันสำคัญกว่าการตำหนิ

ครอบครัวที่รู้จักพูดกันดีๆ มักมีความรู้สึกเป็นสุข

คนสองคนที่อยู่เคียงกันนานปี มักคิดว่าไม่ต้องระวังน้ำเสียงและท่าทีในการพูดกับอีกฝ่าย ความใส่ใจที่มีอยู่เดิม พอออกจากปากกลับกลายเป็นตัดพ้อและตำหนิ

อยู่ด้วยกันนานขึ้น ความอดทนเลือนหาย แม้จะเกิดจากความปรารถนาดี แต่เวลาพูดไม่คำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย มีแต่กล่าวโทษตำหนิ นานวันเข้ากลายเป็นวงจรอุบาทว์ ชีวิตครอบครัวจะเกิดรอยร้าวและเกิดวิกฤต

ปัญหาเล็กน้อยทุกปัญหาระหว่างสามีภรรยาจะมีผลกระทบต่อความสุขในครอบครัว แม้จะเป็นคนสองคนที่สนิทสนมรักใคร่กันมากในชีวิตสมรส ก็ยังเป็นคนสองคนที่เป็นปัจเจก ต่างมีความรู้สึกของตน แม้จะสนิทชิดเชื้อกันเพียงใด ก็ถูกวาจาทิ่มแทงให้เสียใจได้

การโมโหโกรธเกรี้ยวใส่ญาติสนิท นับเป็นพฤติกรรมที่โง่เขลาและอ่อนแอที่สุด

บ่อยครั้ง การเปลี่ยนวิธีพูด อารมณ์ของทั้งสองคนจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พูดกันดีๆ แสดงความใส่ใจกันให้มาก ตำหนิกันให้น้อย อย่าเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายๆ เกิดความขัดแย้งไม่ตะโกนตวาดใส่กัน คุยกันตามเนื้อผ้า คำนึงถึงอีกฝ่ายให้มาก อย่าได้ถือว่าเป็นคนสนิทที่สุดแล้วพูดจาไม่ระวัง การพูดจาดีๆ สำคัญมากสำหรับสามีภรรยา

ภายในครอบครัว ถ้าพูดจากันดีๆ ไม่เพียงดีต่อคู่สามีภรรยา ยังดีต่อลูกด้วย การพูดจาดีๆ เป็นแบบอย่างแก่ลูก มีอิทธิพลอย่างสูงต่อการเลี้ยงดูลูกหลาน

‣‣ กับลูกหลาน การชมเชยสำคัญกว่าการลงโทษ

การพูดจานั้นมีอารมณ์ ทำให้คนฟังอบอุ่นก็ได้ ทำร้ายก็ได้
การทำร้ายทางวาจานั้นร้ายแรงกว่าการทำร้ายร่างกาย ทำร้ายร่างกายยังเห็นรอยแผล แต่แผลจากการทำร้ายด้วยวาจานั้นมองไม่เห็น

เด็กๆ มักแยกระหว่างความจริงกับการพูดเล่นไม่ออก พวกเขาจะเชื่อคำพูดที่พ่อแม่พูดเกี่ยวกับตน แล้วทำให้มันกลายเป็นทัศนคติที่มีต่อตนเองไป

พ่อแม่ไม่น้อยถนัดสอนด้วยการ “โจมตี” ซึ่งวิธีนี้ไม่อาจบรรลุเป้าหมายที่ทำให้เด็ก “ดี” แต่กลับมีผลกระทบต่อการเติบโตของเด็ก

เด็กที่ถูกตีหรือโจมตีบ่อยๆ จะมีความรู้สึกด้อย มักร่วงลงสู่การปฏิเสธตนเองหรือสงสัยตัวเอง

การโจมตีที่มาจากพ่อแม่ ก่อเกิดผลร้ายที่ไม่เพียงเห็นๆ เฉพาะหน้า มันยังเป็นเหมือนเข็มที่มักทิ่มแทงหัวใจลูกหลานไปในวันคืนอันยาวนานข้างหน้า

เอี๋ยนหยวน (顏元) นักการศึกษาสมัยราชวงศ์ชิงเคยกล่าวว่า “นับความผิดลูกสิบอย่าง ไม่สู้ชมความดีลูกอย่างเดียว”

หมั่นชมเชยลูก ให้กำลังใจ คอยบอกเป็นนัย เด็กจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

ในทางจิตวิทยา มีศัพท์ “ผลกระทบปิกมาเลียน” (Pygmalion effect) นั่นคือ การชมเชย การเชื่อมั่น และการคาดหวังที่สูงขึ้น นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้

เมื่อคนคนหนึ่งได้รับคำชม เขารู้สึกว่าได้รับการสนับสนุน จึงเพิ่มความรู้สึกมีค่าของตนเอง เกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง เคารพตนเอง ได้รับแรงผลักให้ก้าวไปข้างหน้า และพยายามจะบรรลุในความคาดหวังที่คนอื่นมีต่อตน

พ่อแม่พูดดีๆ กับลูก ครอบครัวจะสมบูรณ์มีความสุข การเป็นพ่อแม่ไม่ต้องสอบ แต่ต้องศึกษา

‣‣ อยู่กับพ่อแม่ ความกตัญญูสำคัญกว่าการบ่นว่า

แม้พ่อแม่จะไม่สามารถให้ทุกสิ่งที่เรามี แต่สิ่งที่พวกเขาให้มาจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขามีเสมอ ไม่ว่าจะยากดีมีจนเพียงไร พ่อแม่โน้มเอียงที่จะให้ทุกอย่างที่ตนมีแก่ลูก

อย่าบ่นว่า “พ่อควรเป็นพ่อแบบนั้นๆ แม่ควรเป็นแม่แบบนั้นๆ”

หากพ่อแม่ไม่สามารถให้วัตถุที่คุณเรียกร้องได้ทุกอย่าง ขออย่าลืมว่า พวกเขาให้ชีวิตและความรัก เลี้ยงคุณจนโต ซึ่งได้ใช้แรงกายให้ชีวิตของตนแก่คุณมากๆ แล้ว

ยุคสมัยต่าง ความคิดต่าง การศึกษาที่ได้รับต่าง ประสบการณ์ต่าง ดังนั้น ระหว่างเรากับพ่อแม่มักต้องมีทัศนะ วิธีคิดที่แตกต่าง

อย่ารังเกียจว่าพวกเขาล้าหลัง ตำหนิว่าพวกเขาเชย เคารพ เข้าใจ และสื่อสารกันให้มากขึ้น ยอมถอยและรู้คุณมากสักหน่อย

คนไม่น้อยทนการบ่นของพ่อแม่ไม่ได้ กระทั่งตำหนิพ่อแม่ว่าขี้บ่น ที่จริง การบ่นเช่นนั้นก็เป็นความรักไม่ใช่หรือ

คอยสั่งให้กิน เรียกให้ใส่เสื้อ มีเพียงคนรักแท้จึงจะบ่นคุณ พ่อแม่จะไม่มีวันไปบ่นคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับตน

ครอบครัวต้องการดวงใจที่รักและรู้คุณไปสร้างขึ้น
ความกตัญญู ก็คือพูดกับพ่อแม่ดีๆ
มองเรื่องราวจากมุมของพวกเขา เข้าใจความไม่สบายใจ ปลอบประโลมความหวั่นวิตกของพวกเขา

พูดกับพ่อแม่อย่าตำหนิต่อว่า อย่าใช้อารมณ์ ต้องใจเย็น ให้ความอบอุ่นทางวาจามากหน่อย

เพราะความใส่ใจ คำพูดของคุณมีพลัง เพราะความเอาใจใส่ น้ำเสียงคุณมีความหมาย

พูดจาดีๆ สงบแต่ไม่เย็นชา มั่นคงแต่ไม่กระด้าง
ครอบครัวที่มีความสุข ต้องปฏิบัติต่อคนที่รักคุณและคนที่คุณรักอย่างดี เพราะมีความรัก ทุกถ้อยคำต้องพูดให้ดี. จาก 一個家庭的幸福,從好好說話開始
http://www.pixpo.net/post377265
… ถอดความโดย : วิภาดา กิตติโกวิท

Q博士 - Error Site

05/08/2019

#เลี้ยงลูกให้เป็นทรพี (โดยไม่เจตนา)
โดย ศ.นพ. วิทยา นาควัชระ

เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริง
ตั้งใจจะยกให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่อยากจะโทษใคร
เพราะ ตัวละครแต่ละคนในเรื่อง ก็เจ็บปวดอยู่แล้ว
ถือว่าเป็นกรณีศึกษา และเป็นตัวอย่างประกอบก็แล้วกัน

ตัวอย่างที่ 1

พ่อมีการศึกษาจบปริญญาเอก แม่จบปริญญาโท
ทั้งพ่อและแม่มีการงานทำดีมาก การเงินก็ดี
แต่ก็ทำงานหนักทั้งคู่

ทั้งสามีภรรยามีลูกชาย 2 คน
คนโตอายุ 14 ปี คนเล็กอายุ 9 ปี
ลูกทั้งคู่ แลดูน่ารักตลอดมา การเรียนไม่เก่ง แต่การสังคมเก่ง พูดเก่ง กีฬาเก่ง กำลังเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อมากแห่งหนึ่ง

พ่อแม่เริ่มปวดหัว ที่ลูกไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน
ลูกคนโตเริ่มก้าวร้าว พ่อแม่ว่าอะไรก็เถียง หรือไม่สนใจ

ครั้งล่าสุดนี้ ลูกฃายพูดจายอกย้อนพ่อ เถียงพ่อ
จนพ่อทนไม่ได้ เอามือไปตีลูกชายเข้า 1 ที
ลูกชายลุกขึ้นเตะพ่อ 1 ที แล้วผลักพ่อกระเด็น
แถมเดินหนีออกจากบ้านไป

พ่อมาเล่าให้ผมฟังด้วยหัวใจปวดร้าว

ผมถามว่า แล้วทำอย่างไรต่อ

เขาบอกว่า ไม่รู้จะทำอย่างไร .. ไม่เคยลงโทษลูกมาก่อนเลย
เพราะคิดว่าจะเลี้ยงลูก ด้วยการไม่ลงโทษเลย

ครั้นโตแล้ว จึงเห็นว่าลูกทำผิดเรื่อยๆ ไม่อยู่ในโอวาท
ถ้าจะลงโทษตอนนี้ ลูกก็ไม่ยอมรับ แถมสู้ และหนีไปเฉยๆ
จะสู้กับลูกก็สู้ไม่ได้ อายเขาด้วย เขาถามผมว่า

ทำไงดี……หมอครับ ?

ตัวอย่างที่ 2

พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แม่เป็นหมอ
ก็ทำงานหนักทั้งคู่
ลูกชายคนโตอายุ 13 ปี ไม่เชื่อฟังพ่อแม่

ครั้งล่าสุดนี้ แม่เผลอไปเอ็ดลูกเข้ามากๆ
ลูกชายเลยเอาไม้ตีหัวแม่แตก และหนีออกจากบ้านไป
พ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำอะไร ... ทั้งคู่ไม่เคยลงโทษลูก

แม่โทรศัพท์มาหาและบอกว่า ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง
กลัวคนที่ได้ฟัง เขาจะหาว่า ลูกของเธอ เป็นลูกทรพี

เธอถามผมว่า….
หมอ….ทำไงดี?…..อยากจะฆ่าตัวตายแล้ว !!!

จากทั้งสองกรณีนี้ แสดงให้เห็นว่า เด็กเติบโตขึ้นมา
ในครอบครัวที่ " ไม่ได้สร้างวินัยให้แก่เด็กตั้งแต่เล็กๆ "

เด็กจึงเติบโตขึ้นมา มีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง
สังคมดี พูดเก่ง กีฬาเก่ง อาจจะเรียนเก่งด้วยก็ได้
" แต่ ขาดวินัยกับตัวเอง "

" ไม่มีการยอมรับกติกาของสังคม ของครอบครัว ของพ่อแม่ "

ซึ่ง ยิ่งเติบโตต่อไป
ก็จะไม่ยอมรับกติกาของสถาบันการศึกษา ของที่ทำงาน
และแม้แต่ กฏหมายบ้านเมือง

เรียกว่าเติบโตต่อไป
ทำงานก็ยาก อยู่ก็ยาก มีครอบครัวก็ยาก มีลูกก็ยาก
… ยากไปหมดทุกอย่าง แม้แต่อยู่คนเดียวก็ยาก
เผลอๆ ก็อาจทำผิดกฏหมายบ่อยๆโดยอ้างว่า
… ไม่เจตนา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

ก็เป็นเพราะ
" พ่อแม่ไม่ลงโทษ เมื่อเด็กทำผิดตั้งแต่เล็กๆ "
และ
" ไม่ชมเชย หรือให้รางวัลเมื่อเขาทำความดี "

ผมจำได้แม่นว่า เมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว มีการเชื่อกันมาก
เรื่อง การเลี้ยงลูกโดยไม่มีการลงโทษทางกาย
ซึ่งก็คือ การตีลูกนั่นเอง

พวกมีความรู้ระดับปริญญาโทขึ้นไป ครูบาอาจารย์ แพทย์
เชื่อถือกันมาก และเลี้ยงลูก โดยไม่ลงโทษโดยการตีเลย
แต่ จะบอกให้เด็กคิดเอง ให้เด็กมีอิสระในการแสดงออก
ซึ่งแลดูก็น่ารักดีหรอก ในตอนเด็กๆ

ในช่วงนั้นๆ ผมเคยถูกเชิญไปบรรยายพิเศษ
ให้สมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนสาธิตที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งฟัง
และผมก็ถูกถามเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ตอบในที่ประชุมเลยว่า

ผมไม่เห็นด้วยหรอก ที่ไม่มีการลงโทษเด็กทางกาย เมื่อทำผิด
ถ้าเป็นผม ผมจะตีเด็ก ใช้มือตีก้นเขาจะดีที่สุด ผมถูกหาว่า
… แหม หมอเหี้ยมจัง

แต่ผมเชื่อว่า
การถูกตี หรือการถูกลงโทษทางกาย ตั้งแต่เด็กๆนั้น
เด็กจะตระหนัก และรับรู้ถึงบทบาทของการลงโทษได้ดีกว่า
และเร็วกว่า การลงโทษทางจิตใจ และทางสังคม
เพราะเด็กนั้น เล็กเกินไปที่จะเข้าใจ และจะได้ใจด้วย

ผมยังพูดอีกด้วยว่า …
" จำไว้ ถ้าคุณไม่ลงโทษลูกของคุณเมื่อทำผิด "
" สักวันหนึ่ง สังคมจะลงโทษลูกของคุณ
ซึ่งจะเจ็บยิ่งกว่า ที่คุณลงโทษเขาเอง เสียอีก "

สิบกว่าปีผ่านไป
เด็กๆยุคนั้น ก็คงเติบโตเป็นวัยรุ่นกันในขณะนี้พอดี

ปัญหาเรื่องลูกวัยรุ่นนี้ ทำความปวดหัวมาให้กับพ่อแม่มาก
มีพ่อแม่ นำลูกวัยรุ่นมาปรึกษาผมที่คลินิกมากมาย
ท้งที่เจ้าตัวยอมมาหาเอง และจ้างกันมา

มีวัยรุ่นรายหนึ่งมาจากเยอรมัน
พ่อแม่ต้องจ้างให้มาหาผม ด้วยการซื้อเสื้อผ้าให้ 30 ชุด
ซึ่ง หลังจากมาหาพูดคุยกับผมแล้ว เขาบอกว่า ไม่ต้องจ้างก็ได้
เพราะ มาหาแล้ว คุยกับผมได้สนุกดี อยากมาคุยบ่อยๆ

โดยส่วนตัวผมเองแล้ว
ผมสนใจเรื่องของวัยรุ่น และกิจกรรมวัยรุ่นตลอดมา ในทุกๆรูปแบบ
และต้องเข้าใจ หรือตามให้ทันอยู่เสมอๆ

สมัยที่รับราชการอยู่ในโรงพยาบาล สังกัดกรมการแพทย์
ผมก็เป็นผู้ริเริ่มตั้งแผนกจิตเวชวัยรุ่นขึ้นมา เป็นครั้งแรกในประเทศไทย

เพราะ มองเห็นความสำคัญของบุคคลในวัยนี้
ที่จะต้องได้รับการดูแล ช่วยเหลือแนะนำหรือแก้ไข
โดยจิตแพทย์ หรือบุคลากรที่พร้อมจะเข้าใจจิตใจของพวกเขาโดยแท้จริง
และต้องทันสมัย ทันเหตุการณ์ด้วย

ในอเมริกา ก็จะมีแผนกจิตเวชวัยรุ่นนี้
อยู่ตามโรงเรียนแพทย์ใหญ่ๆ ที่ผมเคยได้ไปศึกษามา

วัยรุ่นที่มีปัญหาหลายๆราย ก็ช่วยเหลือได้
ทั้งในแง่เกเร ไม่เรียนหนังสือ ชอบหนีเที่ยว ติดยา
สำส่อนทางเพศ แปรปรวนทางเพศ ก้าวร้าว แยกตัว
ขาดความเชื่อมั่นตัวเอง กังวล ฯลฯ

บางราย ก็ช่วยเหลือได้ยากมาก เพราะเขาไม่อยากให้แพทย์ช่วย
และที่แน่นอนคือ พ่อแม่ต้องให้ความร่วมมือด้วย

แต่ ไม่อยากจะรอให้ถึงขั้นนี้หรอก
จะเจ็บด้วยกันทั้ง พ่อ แม่ ลูก

" จงมาตั้งใจอบรมลูก ให้มีวินัยตั้งแต่เด็กๆ ดีกว่าครับ "
จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า " เลี้ยงลูกผิด "

ซึ่งถือว่า เป็นบาปบริสุทธิ์ชนิดหนึ่งก็ได้
หรือ อย่างที่ชาวบ้าน เขาเรียกกันว่า
#เป็นการเลี้ยงลูกให้เป็นทรพี_โดยไม่เจตนา ก็ได้
ผมหนาวในหัวใจจังครับ

หมายเหตุ :
ทางเพจ คัดลอกมาเผยแพร่ ด้วยเห็นตรงกับหลายๆท่านว่า
เยาวชนในแต่ละยุคสมัย เป็นผลผลิตจากพ่อแม่ในแต่ละยุคสมัย

ความผิดพลาด ในการเลี้ยงดูและหล่อหลอมลูก เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ โดยไม่มีใครตั้งใจ
แต่ในฐานะ มนุษย์ ซึ่งมีสติปัญญา และพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคม ที่ตนอาศัยอยู่
จำเป็นอย่างยิ่ง ที่พ่อแม่ในแต่ละรุ่น จะต้องยอมรับ ในความผิดพลาดทุกอย่าง ที่กิดขึ้น
และเรียนรู้ ที่จะแก้ไข ในแนวทางบางประการ อันนำไปสู่ความผิดพลาดนั้น

ขอเป็นกำลังใจ ให้กับพ่อและแม่ในทุกรุ่น ที่มีลูกไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด ได้ร่วมกันเรียนรู้และแก้ไขต่อไป

ด้วยความปรารถนาดีต่อทุกท่านในสังคมนี้

ไพโรจน์ จีรบุณย์
สถาปนิก เพื่อสังคม
3 สค 2562
ปล. ถ้าผู้ปกครองท่านใดอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้แสดงว่าคุณมีความตั้งใจที่จะสร้างวินัยให้กับบุตรหลาน ในระหว่างที่หมอตรวจคนไข้ที่มาหาหมอด้วยโรคทางกายหมอพยายามจะสอดแทรกเรื่องการสร้างวินัยที่เป็นสิ่งสำคัญให้กับผู้ปกครอง ซึ่งยังมีผู้ปกครองหลายท่านยังเข้าใจไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการสร้างวินัย ถ้ามีโอกาสจะมาโพสต์เป็นเรื่องเรื่องไปนะครับแต่เรื่องบางอย่างต้องพบปะพูดคุยถึงจะแนะนำได้

05/08/2019

#เลี้ยงลูกให้เป็นทรพี (โดยไม่เจตนา)
โดย ศ.นพ. วิทยา นาควัชระ

เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริง
ตั้งใจจะยกให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่อยากจะโทษใคร
เพราะ ตัวละครแต่ละคนในเรื่อง ก็เจ็บปวดอยู่แล้ว
ถือว่าเป็นกรณีศึกษา และเป็นตัวอย่างประกอบก็แล้วกัน

ตัวอย่างที่ 1

พ่อมีการศึกษาจบปริญญาเอก แม่จบปริญญาโท
ทั้งพ่อและแม่มีการงานทำดีมาก การเงินก็ดี
แต่ก็ทำงานหนักทั้งคู่

ทั้งสามีภรรยามีลูกชาย 2 คน
คนโตอายุ 14 ปี คนเล็กอายุ 9 ปี
ลูกทั้งคู่ แลดูน่ารักตลอดมา การเรียนไม่เก่ง แต่การสังคมเก่ง พูดเก่ง กีฬาเก่ง กำลังเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อมากแห่งหนึ่ง

พ่อแม่เริ่มปวดหัว ที่ลูกไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน
ลูกคนโตเริ่มก้าวร้าว พ่อแม่ว่าอะไรก็เถียง หรือไม่สนใจ

ครั้งล่าสุดนี้ ลูกฃายพูดจายอกย้อนพ่อ เถียงพ่อ
จนพ่อทนไม่ได้ เอามือไปตีลูกชายเข้า 1 ที
ลูกชายลุกขึ้นเตะพ่อ 1 ที แล้วผลักพ่อกระเด็น
แถมเดินหนีออกจากบ้านไป

พ่อมาเล่าให้ผมฟังด้วยหัวใจปวดร้าว

ผมถามว่า แล้วทำอย่างไรต่อ

เขาบอกว่า ไม่รู้จะทำอย่างไร .. ไม่เคยลงโทษลูกมาก่อนเลย
เพราะคิดว่าจะเลี้ยงลูก ด้วยการไม่ลงโทษเลย

ครั้นโตแล้ว จึงเห็นว่าลูกทำผิดเรื่อยๆ ไม่อยู่ในโอวาท
ถ้าจะลงโทษตอนนี้ ลูกก็ไม่ยอมรับ แถมสู้ และหนีไปเฉยๆ
จะสู้กับลูกก็สู้ไม่ได้ อายเขาด้วย เขาถามผมว่า

ทำไงดี……หมอครับ ?

ตัวอย่างที่ 2

พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แม่เป็นหมอ
ก็ทำงานหนักทั้งคู่
ลูกชายคนโตอายุ 13 ปี ไม่เชื่อฟังพ่อแม่

ครั้งล่าสุดนี้ แม่เผลอไปเอ็ดลูกเข้ามากๆ
ลูกชายเลยเอาไม้ตีหัวแม่แตก และหนีออกจากบ้านไป
พ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำอะไร ... ทั้งคู่ไม่เคยลงโทษลูก

แม่โทรศัพท์มาหาและบอกว่า ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง
กลัวคนที่ได้ฟัง เขาจะหาว่า ลูกของเธอ เป็นลูกทรพี

เธอถามผมว่า….
หมอ….ทำไงดี?…..อยากจะฆ่าตัวตายแล้ว !!!

จากทั้งสองกรณีนี้ แสดงให้เห็นว่า เด็กเติบโตขึ้นมา
ในครอบครัวที่ " ไม่ได้สร้างวินัยให้แก่เด็กตั้งแต่เล็กๆ "

เด็กจึงเติบโตขึ้นมา มีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง
สังคมดี พูดเก่ง กีฬาเก่ง อาจจะเรียนเก่งด้วยก็ได้
" แต่ ขาดวินัยกับตัวเอง "

" ไม่มีการยอมรับกติกาของสังคม ของครอบครัว ของพ่อแม่ "

ซึ่ง ยิ่งเติบโตต่อไป
ก็จะไม่ยอมรับกติกาของสถาบันการศึกษา ของที่ทำงาน
และแม้แต่ กฏหมายบ้านเมือง

เรียกว่าเติบโตต่อไป
ทำงานก็ยาก อยู่ก็ยาก มีครอบครัวก็ยาก มีลูกก็ยาก
… ยากไปหมดทุกอย่าง แม้แต่อยู่คนเดียวก็ยาก
เผลอๆ ก็อาจทำผิดกฏหมายบ่อยๆโดยอ้างว่า
… ไม่เจตนา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

ก็เป็นเพราะ
" พ่อแม่ไม่ลงโทษ เมื่อเด็กทำผิดตั้งแต่เล็กๆ "
และ
" ไม่ชมเชย หรือให้รางวัลเมื่อเขาทำความดี "

ผมจำได้แม่นว่า เมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว มีการเชื่อกันมาก
เรื่อง การเลี้ยงลูกโดยไม่มีการลงโทษทางกาย
ซึ่งก็คือ การตีลูกนั่นเอง

พวกมีความรู้ระดับปริญญาโทขึ้นไป ครูบาอาจารย์ แพทย์
เชื่อถือกันมาก และเลี้ยงลูก โดยไม่ลงโทษโดยการตีเลย
แต่ จะบอกให้เด็กคิดเอง ให้เด็กมีอิสระในการแสดงออก
ซึ่งแลดูก็น่ารักดีหรอก ในตอนเด็กๆ

ในช่วงนั้นๆ ผมเคยถูกเชิญไปบรรยายพิเศษ
ให้สมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนสาธิตที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งฟัง
และผมก็ถูกถามเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ตอบในที่ประชุมเลยว่า

ผมไม่เห็นด้วยหรอก ที่ไม่มีการลงโทษเด็กทางกาย เมื่อทำผิด
ถ้าเป็นผม ผมจะตีเด็ก ใช้มือตีก้นเขาจะดีที่สุด ผมถูกหาว่า
… แหม หมอเหี้ยมจัง

แต่ผมเชื่อว่า
การถูกตี หรือการถูกลงโทษทางกาย ตั้งแต่เด็กๆนั้น
เด็กจะตระหนัก และรับรู้ถึงบทบาทของการลงโทษได้ดีกว่า
และเร็วกว่า การลงโทษทางจิตใจ และทางสังคม
เพราะเด็กนั้น เล็กเกินไปที่จะเข้าใจ และจะได้ใจด้วย

ผมยังพูดอีกด้วยว่า …
" จำไว้ ถ้าคุณไม่ลงโทษลูกของคุณเมื่อทำผิด "
" สักวันหนึ่ง สังคมจะลงโทษลูกของคุณ
ซึ่งจะเจ็บยิ่งกว่า ที่คุณลงโทษเขาเอง เสียอีก "

สิบกว่าปีผ่านไป
เด็กๆยุคนั้น ก็คงเติบโตเป็นวัยรุ่นกันในขณะนี้พอดี

ปัญหาเรื่องลูกวัยรุ่นนี้ ทำความปวดหัวมาให้กับพ่อแม่มาก
มีพ่อแม่ นำลูกวัยรุ่นมาปรึกษาผมที่คลินิกมากมาย
ท้งที่เจ้าตัวยอมมาหาเอง และจ้างกันมา

มีวัยรุ่นรายหนึ่งมาจากเยอรมัน
พ่อแม่ต้องจ้างให้มาหาผม ด้วยการซื้อเสื้อผ้าให้ 30 ชุด
ซึ่ง หลังจากมาหาพูดคุยกับผมแล้ว เขาบอกว่า ไม่ต้องจ้างก็ได้
เพราะ มาหาแล้ว คุยกับผมได้สนุกดี อยากมาคุยบ่อยๆ

โดยส่วนตัวผมเองแล้ว
ผมสนใจเรื่องของวัยรุ่น และกิจกรรมวัยรุ่นตลอดมา ในทุกๆรูปแบบ
และต้องเข้าใจ หรือตามให้ทันอยู่เสมอๆ

สมัยที่รับราชการอยู่ในโรงพยาบาล สังกัดกรมการแพทย์
ผมก็เป็นผู้ริเริ่มตั้งแผนกจิตเวชวัยรุ่นขึ้นมา เป็นครั้งแรกในประเทศไทย

เพราะ มองเห็นความสำคัญของบุคคลในวัยนี้
ที่จะต้องได้รับการดูแล ช่วยเหลือแนะนำหรือแก้ไข
โดยจิตแพทย์ หรือบุคลากรที่พร้อมจะเข้าใจจิตใจของพวกเขาโดยแท้จริง
และต้องทันสมัย ทันเหตุการณ์ด้วย

ในอเมริกา ก็จะมีแผนกจิตเวชวัยรุ่นนี้
อยู่ตามโรงเรียนแพทย์ใหญ่ๆ ที่ผมเคยได้ไปศึกษามา

วัยรุ่นที่มีปัญหาหลายๆราย ก็ช่วยเหลือได้
ทั้งในแง่เกเร ไม่เรียนหนังสือ ชอบหนีเที่ยว ติดยา
สำส่อนทางเพศ แปรปรวนทางเพศ ก้าวร้าว แยกตัว
ขาดความเชื่อมั่นตัวเอง กังวล ฯลฯ

บางราย ก็ช่วยเหลือได้ยากมาก เพราะเขาไม่อยากให้แพทย์ช่วย
และที่แน่นอนคือ พ่อแม่ต้องให้ความร่วมมือด้วย

แต่ ไม่อยากจะรอให้ถึงขั้นนี้หรอก
จะเจ็บด้วยกันทั้ง พ่อ แม่ ลูก

" จงมาตั้งใจอบรมลูก ให้มีวินัยตั้งแต่เด็กๆ ดีกว่าครับ "
จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า " เลี้ยงลูกผิด "

ซึ่งถือว่า เป็นบาปบริสุทธิ์ชนิดหนึ่งก็ได้
หรือ อย่างที่ชาวบ้าน เขาเรียกกันว่า
#เป็นการเลี้ยงลูกให้เป็นทรพี_โดยไม่เจตนา ก็ได้
ผมหนาวในหัวใจจังครับ

หมายเหตุ :
ทางเพจ คัดลอกมาเผยแพร่ ด้วยเห็นตรงกับหลายๆท่านว่า
เยาวชนในแต่ละยุคสมัย เป็นผลผลิตจากพ่อแม่ในแต่ละยุคสมัย

ความผิดพลาด ในการเลี้ยงดูและหล่อหลอมลูก เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ โดยไม่มีใครตั้งใจ
แต่ในฐานะ มนุษย์ ซึ่งมีสติปัญญา และพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคม ที่ตนอาศัยอยู่
จำเป็นอย่างยิ่ง ที่พ่อแม่ในแต่ละรุ่น จะต้องยอมรับ ในความผิดพลาดทุกอย่าง ที่กิดขึ้น
และเรียนรู้ ที่จะแก้ไข ในแนวทางบางประการ อันนำไปสู่ความผิดพลาดนั้น

ขอเป็นกำลังใจ ให้กับพ่อและแม่ในทุกรุ่น ที่มีลูกไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด ได้ร่วมกันเรียนรู้และแก้ไขต่อไป

ด้วยความปรารถนาดีต่อทุกท่านในสังคมนี้

ไพโรจน์ จีรบุณย์
สถาปนิก เพื่อสังคม
3 สค 2562
ปล. หมอวา ยินดีกับคนที่อ่านมาจน ถึงบรรทัดนี้ แสดงว่าคุณมีความตั้งใจที่จะสร้างวินัยให้กับลูก คนไข้ที่หมอตรวจด้วยโรคทางกายที่คลินิก หมอจะสอดแทรกเรื่องการสร้างวินัย โดยที่ผู้ปกครองยังเข้าใจเรื่องการสร้างวินัยไม่ถูกต้อง บางทีสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราไม่คิดว่าสำคัญอันนั้นแหละคือการสร้างวินัย หมอทำเพจนี้ขึ้นมา เพื่ออยากจะส่งเสริมให้ทุกคนสร้างวินัยให้กับลูก อาการเจ็บป่วยได้ไข้ทางกายรักษาหายแต่สิ่งที่เราปลูกฝังให้กับเขาคือการสร้างวินัยจะเป็นภูมิคุ้มกันเขาไปตลอดจนโตและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ไว้จะมาสอดแทรกเป็นช่วงช่วงนะครับ

ต้องการให้ธุรกิจของคุณ ธุรกิจ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง คลินิก ใน Pak Chong?
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?

เบอร์โทรศัพท์

เว็บไซต์

ที่อยู่


76 ถ. เทศบาล16 ต. ปากช่อง
Pak Chong
30130

เวลาทำการ

จันทร์ 07:00 - 09:00
17:00 - 20:00
อังคาร 07:00 - 09:00
17:00 - 20:00
พุธ 07:00 - 09:00
17:00 - 20:00
พฤหัสบดี 07:00 - 09:00
17:00 - 20:00
ศุกร์ 07:00 - 09:00
17:00 - 20:00
อาทิตย์ 16:00 - 20:00

การแพทย์และสุขภาพ อื่นๆใน Pak Chong (แสดงผลทั้งหมด)
Hana Clinic โบท็อกซ์ ร้อยไหม ฟิลเลอร์ ฝ้ากระ จุดด่างดำ สาขาปากช่อง Hana Clinic โบท็อกซ์ ร้อยไหม ฟิลเลอร์ ฝ้ากระ จุดด่างดำ สาขาปากช่อง
399/2, 399/3 ถนนมิตรภาพ ต. ปากช่อง อ. ปากช่อง, จ. นครราชสีมา
Pak Chong, 30130

โบท็อก ฟิลเลอร์ ร้อยไหม ฝ้า กระ จุดด่างดำ

ไชนีส เมดิคอลคลินิก ไชนีส เมดิคอลคลินิก
428 หมู่ 25 ถ. นิคมลำตะคอง ต. หนองสาหร่าย อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา
Pak Chong, 30130

รักษาโรคทั่วไป และความงาม ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน

Malai thaicandle massage&spa Malai thaicandle massage&spa
51-53
Pak Chong, 30140

ร้านนวดปากช่อง อัมพรหัตถเวช6 ร้านนวดปากช่อง อัมพรหัตถเวช6
2/3 ถนนเทศบาล10 (บขสเก่าปากช่อง) อำเภอปากช่อง
Pak Chong, 30130

นวดแผนไทย เพื่อสุขภาพ แก้ตามอาการ htt

Doctor Curcumin - ที่ปรึกษาด้านสุขภาพ Doctor Curcumin - ที่ปรึกษาด้านสุขภาพ
Pak Chong, 30130

งานวิจัยสมุนไพรไทย 9 รางวัลเหรียญทอ?