Rimping Mee Chok
ตำแหน่งใกล้เคียง ร้านขายของชำ
Chiang Mai 50000
Chaingmai, Chiang Mai
We aspire to make your everyday shopping experience better.

ทำความรู้จัก “Oilalà” แบรนด์น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์คุณภาพเยี่ยมสัญชาติอิตาลี
Oilalà เป็นแบรนด์น้ำมันมะกอกระดับพรีเมียมของอิตาลีที่ขึ้นชื่อในเรื่องคุณภาพ และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ส่วนใหญ่ผลิตจากมะกอกพันธุ์ Coratina (คอราติน่า) ที่ปลูกแบบออร์แกนิกในภูมิภาค Puglia ของอิตาลี โดยมะกอกจะถูกเก็บเกี่ยวด้วยมือ และผ่านการสกัดเย็น เพื่อรักษารสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการเอาไว้
เรื่องราวของ Oilalà เริ่มต้นขึ้นโดย Spyridon ผู้ย้ายถิ่นฐานจากกรีซ มาตั้งรกรากอยู่ในใจกลาง Puglia ประเทศอิตาลี ภูมิภาคที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตน้ำมันมะกอกคุณภาพสูง
Spyridon หลงใหลในดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ เขาจึงเริ่มปลูกต้นมะกอกสายพันธุ์ Coratina และ Peranzana แล้วผลิตน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่มีรสชาติดี และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อย่างไรก็ตามในช่วงเริ่มต้นนี้ Spyridon ไม่ได้ผลิตน้ำมันมะกอกขายจำนวนมากนัก เขาเพียงแต่ทำขายให้คนในพื้นที่เท่านั้น จนกระทั่งความหลงใหลของเขาถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงรุ่นของ Spiros Borraccino หลานชายของเขา ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Oilalà ขึ้นมาในปี 2010
Spiros ทำงานในอุตสาหกรรมแฟชั่นมานานหลายปี จากนั้นในช่วงปี 2010 เขาก็หันมาสนใจเรื่องของการปลูกมะกอก และผลิตน้ำมันมะกอก เขาลาออกจากงานกลับมายัง Puglia แล้วเริ่มต้นก่อตั้งบริษัท Oilalà ขึ้นมา เพื่อผลิตน้ำมันมะกอกคุณภาพสูงขายตามรอยปู่ของเขา
ในช่วงแรก Oilalà ยังคงเผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากมีคู่แข่งอยู่จำนวนมาก แต่ด้วยความมุ่งมั่น แบรนด์จึงทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับตัวเอง ซึ่งตั้งแต่เริ่มต้นแบรนด์ผลิตน้ำมันมะกอกตามประเพณีดั้งเดิม รวมถึงยึดถือแนวทางการทำฟาร์มแบบยั่งยืน และออร์แกนิกด้วย เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม และรักษาความสมบูรณ์ของน้ำมันมะกอก
มะกอกได้รับการเพาะปลูก และเก็บเกี่ยวอย่างระมัดระวัง โดยจะถูกเก็บเกี่ยวด้วยมือในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด และจะถูกบีบเย็นภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อรักษารสชาติ กลิ่น และคุณค่าทางโภชนาการเอาไว้ ซึ่งความมุ่งมั่นในการควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนถึงการบรรจุขวด ส่งผลให้น้ำมันมะกอกของ Oilalà มีคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ และเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
น้ำมันมะกอกของ Oilalà ขึ้นชื่อในเรื่องระดับความเป็นกรดต่ำ รสชาติสดใหม่ และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงได้รับการจัดอันดับให้เป็น EVOO น้ำมันมะกอก Coratina จากอิตาลีที่ดีที่สุดในโลกในการจัดอันดับ “WREVOO” (EVOO World Ranking)
EVOO ย่อมาจาก Extra Virgin Olive Oil หรือ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ เป็นน้ำมันมะกอกที่มีคุณภาพสูงสุด ได้มาจากการบีบเย็นมะกอกสด โดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีใด ๆ ทำให้น้ำมันมะกอกยังคงมีรสชาติเข้มข้น มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายสูงกว่าน้ำมันมะกอกชนิดอื่น ๆ
น้ำมันมะกอกของ Oilalà ไม่เพียงแต่มีคุณภาพสูงเท่านั้น แต่ขวดที่ใช้บรรจุก็มีความหรูหรามากเช่นกัน โดย Spiros ได้นำประสบการณ์การทำงานด้านแฟชั่นของเขามาปรับใช้ในการออกแบบขวดให้มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ไม่เหมือนใคร สิ่งนี้สร้างความสะดุดตาสะดุดใจให้กับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก
ปัจจุบันน้ำมันมะกอกของ Oilalà มีให้เลือกหลากหลายประเภท ทั้งน้ำมันมะกอกพันธุ์เดียว และน้ำมันมะกอกพันธุ์ผสม โดยแต่ละประเภทก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง แต่น้ำมันมะกอกที่เป็นเรือธงของแบรนด์เลยก็คือน้ำมันมะกอก Coratina ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในน้ำมันมะกอกที่ดีที่สุดในโลก
น้ำมันมะกอก Oilalà เป็นที่นิยมในหมู่เชฟ และผู้ที่ชื่นชอบอาหาร เนื่องจากมีคุณสมบัติหลากหลายและช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารได้ดีเยี่ยม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับราดบนสลัด พาสต้า และผักย่าง หรือใช้เป็นส่วนผสมในการหมัก และน้ำสลัด
สามารถหาซื้อน้ำมันมะกอก Oilalà ได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ

ทำความรู้จัก “Coconut oil” (น้ำมันมะพร้าว) หนึ่งในน้ำมันสารพัดประโยชน์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
Coconut Oil (น้ำมันมะพร้าว) เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ได้จากการสกัดเนื้อมะพร้าว โดยวิธีการสกัดเย็น (Virgin Coconut Oil) ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากวิธีการสกัดเย็นจะช่วยรักษาสารอาหารที่มีประโยชน์ต่าง ๆ ไว้ได้อย่างครบถ้วน
หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับการใช้น้ำมันมะพร้าวมีการบันทึกไว้เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และหมู่เกาะแปซิฟิก ซึ่งในภูมิภาคเหล่านี้ต้นมะพร้าวสามารถเติบโตได้อย่างอุดมสมบูรณ์ และวัฒนธรรมเหล่านี้ก็ตระหนักถึงคุณค่าของต้นมะพร้าว จึงนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ทั้งการปรุงอาหาร และการรักษาทางการแพทย์
อายุรเวชในอินเดียเป็นหนึ่งในระบบการแพทย์แรก ๆ ที่บันทึกคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวเอาไว้ โดยแพทย์พื้นบ้านชาวอินเดียใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันเย็นในการรักษาอาการอักเสบ โรคผิวหนัง และโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร รวมถึงใช้ในการดูแลผิว และเส้นผมด้วย
นอกจากอินเดียแล้ว น้ำมันมะพร้าวยังเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมโพลีนีเซีย เมลานีเซีย และไมโครนีเซีย ที่อาศัยอยู่ในหมู่เกาะแปซิฟิกด้วย โดยชาวเกาะเหล่านี้มักใช้น้ำมันมะพร้าวเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด และความเสียหายจากน้ำทะเล รวมถึงใช้ในการขัดเรือ และเครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ด้วย สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความอเนกประสงค์ของน้ำมันมะพร้าว
ในวัฒนธรรมเหล่านี้ต้นมะพร้าวได้รับการยกย่องว่าเป็น “ต้นไม้แห่งชีวิต” เนื่องจากมีประโยชน์หลายประการ ทุกส่วนของต้นมะพร้าวสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย เช่น ใบมะพร้าวนำไปทำเป็นภาชนะ เปลือกมะพร้าวใช้ทำเส้นใย น้ำมะพร้าวใช้ดื่ม เนื้อใช้รับประทาน และน้ำมันมะพร้าวก็มีประโยชน์หลากหลาย
เมื่อเส้นทางการค้าขยายตัว มะพร้าว และน้ำมันมะพร้าวก็เริ่มแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก
โดยพ่อค้าชาวอาหรับเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่นำมะพร้าว และน้ำมันมะพร้าวเข้าสู่ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกาตะวันออก และพื้นที่อื่น ๆ
ในศตวรรษที่ 19 น้ำมันมะพร้าวกลายเป็นส่วนผสมยอดนิยมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการผลิตสบู่ เนยเทียม เทียนหอม ครีมบำรุงผิว และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เนื่องจากมีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนาน และมีคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้น ด้วยเหตุนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวน้ำมันมะพร้าวจึงเป็นสินค้าส่งออกที่มีความสำคัญมากในตลาดโลก
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ความนิยมของน้ำมันมะพร้าวในโลกตะวันตกเริ่มลดลง เนื่องจากน้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันข้าวโพด เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นผลมาจากการวิจัยที่ว่าน้ำมันเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีกว่ามันมะพร้าว
อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 มุมมองต่อน้ำมันมะพร้าวก็เริ่มเปลี่ยนไป เนื่องจากการวิจัยชี้ให้เห็นน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดไขมันสายกลาง (Medium-Chain Triglycerides หรือ MCTs) ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และเชื้อราบางชนิดได้ นอกจากนี้วิจัยบางชิ้นยังชี้ให้เห็นว่าน้ำมันมะพร้าวอาจส่งผลต่อความอยากอาหารด้วย เพราะน้ำมันมะพร้าวอาจช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น
ปัจจุบันน้ำมันมะพร้าวกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในฐานะผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์หลายประการ โดยได้รับการยอมรับจากผู้สนับสนุนด้านสุขภาพ นักโภชนาการ และผู้ชื่นชอบความงาม นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวยังได้รับชื่อเสียงในฐานะ “ไขมันดี” ซึ่งนำไปสู่การนำไปใช้อย่างแพร่หลายในการปรุงอาหาร และการอบขนม
สามารถหาซื้อน้ำมันมะพร้าวได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ

Vacherin Mont d'Or (วาเชริน มงต์ดอร์) The winter Cheese ชีสแห่งเหมันต์ฤดูที่หนึ่งปีจะผลิตแค่ครั้งเดียว มีจำนวนจำกัด และหายาก!
มงต์ดอร์ (Mont d’Or) เป็นชื่อยอดเขาที่ตั้งตระหง่านบนผืนหญ้ากว้างใหญ่ระหว่างพรมแดนของประเทศฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ ชีส วาเชริน มงต์ดอร์ จึงเป็นเหมือนจุดเชื่อมโยงวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ของทั้งสองชนชาติ เป็นหนึ่งในอาหารคลาสสิกฤดูหนาวที่มีชื่อเสียงที่สุด และยังคงรักษาอัตลักษณ์ของชีสที่ในหนึ่งปีจะเปิดโอกาส ให้คนได้ลิ้มรสเพียงครั้งเดียวมานานนับหลายร้อยปี
โดยต้นกำเนิดของชีส วาเชริน มงต์ดอร์ นั้นไม่แน่ชัด จากเท่าที่มีการบันทึกไว้ ต้องย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 13 ในเทือกเขาแอลป์ที่นักบวชยังมีหน้าที่เป็นผู้บุกเบิกการทำฟาร์มโคนมและผลิตชีส ในช่วงฤดูร้อนทุ่งหญ้าอันราบเรียบบนเทือกเขาสูงนั้นจะเติบโตและเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดสำหรับการเลี้ยงวัว
เหล่าวัวน้อยใหญ่ต่างก็ออกมาเริงร่า มีอิสระกันตามธรรมชาติ เพื่อที่วัวเหล่านี้จะให้น้ำนมที่เข้มข้นและคุณภาพสูง การทำชีสจึงเป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่งเพื่อรักษาน้ำนมไว้สำหรับเดือนที่ผลผลิตน้ำนมเริ่มน้อยลง
นักบวชและชาวไร่ที่เลี้ยงวัวต่างก็นำน้ำนมที่ได้ในแต่ละวันมารวมกันที่เดียวและก่อตั้งเป็นเหมือนสหกรณ์นมโค ทำให้มีปริมาณน้ำนมที่มากพอให้ทั้งนักบวชและชาวไร่เหล่านี้สามารถใช้เวลาตลอดฤดูร้อนผลิตชีสก้อนใหญ่ ๆ อย่างเช่น กรูแยร์ (Gruyère) และ กงเต (Comté) เป็นชีสที่เนื้อแน่น ออกไปทางแข็ง ซึ่งสามารถเก็บบ่มไว้ได้นานตลอดช่วงฤดูหนาว แต่ถึงอย่างนั้น ชีสวาเชริน มงต์ดอร์ ไม่ได้ทำกันช่วงฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูร้อน แต่กลับเป็นฤดูใบไม้ร่วงจนถึงฤดูหนาว
เมื่อสิ้นสุดฤดูร้อนเส้นทางไปสู่สหกรณ์นมโคจะถูกปกคลุมด้วยหิมะผนวกกับอากาศที่หนาวเหน็บ เหล่าวัวน้อยใหญ่ต่างก็กำลังเข้าสู่ภาวะของการหยุดให้นมและเริ่มเดินทางลงจากทุ่งหญ้าบนภูเขา ซึ่งในช่วงนี้น้ำนมโคจะมีปริมาณที่น้อยลงแต่มีความเข้มข้นของไขมันนมที่สูงขึ้น เหมาะแก่การนำมาทำชีสที่เนื้อนุ่มเนียนละเอียด และมีขนาดเล็ก
ซึ่งความนุ่มเนียนจนแทบจะมีสภาพใกล้เคียงกับของเหลวนี้ ทำให้ชาวไร่ต้องบรรจุชีสลงในภาชนะที่ทำจากผิวเปลือกไม้ รูปทรงกลมเหมือนเข่งบ้านเรา เพื่อไม่ให้ก้อนชีสคลายตัว เหลวจนผิดรูป อีกทั้งเปลือกไม้ยังช่วยเพิ่มกลิ่นรสที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นให้กับชีสในระหว่างการบ่มอีกด้วย
นอกจากนี้ชีส วาเชริน มงต์ดอร์ ยังคงรักษาขนบของอาหารคลาสสิกแห่งเหมันต์ฤดูมากว่าหลายร้อยปี ไม่เพียงเท่านั้นชีสเนื้อเนียนนี้ยังถูกควบคุมไว้ด้วย AOC (Appellation d'Origine Contrôlée) เกณฑ์ที่กำหนดขึ้นเพื่อรักษา สไตล์, แหล่งวัตถุดิบ, ต้นกำเนิดของชีสอันเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (เหมือนกับ GI ในประเทศไทย) ซึ่งก็คือ สภาพดินฟ้าอากาศของเมืองดู (Doubs) ในภาคตะวันออกของฝรั่งเศส และรัฐโว (Vaud) ในสวิตเซอร์แลนด์ที่มีพรมแดนฝั่งตะวันตกติดกับฝรั่งเศส
อีกทั้งยังต้องอยู่บนพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป กล่าวคือหากอาศัยอยู่บ้านเมืองอื่นและสามารถทำชีสได้คุณภาพแบบเดียวกัน จะต้องใช้ชื่ออื่น แต่หากอยากทำ ชีสวาเชริน มงต์ดอร์ ก็คงต้องย้ายภูมิลำเนาไปอยู่เมืองดังกล่าว
หากท่านมีโอกาสได้แวะมาเยี่ยมเยียนริมปิง และสนใจจะลิ้มรส วาเชริน มงต์ดอร์ เราขอแนะนำดังนี้ค่ะ แกะพลาสติกออก เจาะรูที่ผิวด้านบนของชีสเล็กน้อยเพื่อยัดกระเทียม โรสแมรี่ หรือสมุนไพรตามชอบเข้าไป จากนั้นนำเข้าเตาอบประมาณ 10-15 นาทีจนชีสเริ่มเยิ้มละลาย เท่านี้ วาเชริน มงต์ดอร์ ก็พร้อมทานแล้วค่ะ
ทีนี้จะเอาอะไรมาจิ้มทานกับชีสก็แล้วแต่ความชอบของเราเลยค่ะ หากถามริมปิง เราขอแนะนำเป็น ขนมปังบาแกตอบกรอบร้อน ๆ, มันฝรั่งต้ม ทานคู่กับแฮมสไลซ์หลากหลายแบบ ตัดเลี่ยนด้วยแตงกวาดอง และหากอยากให้ช่วงเวลาแห่งการเอ็นจอย วาเชริน มงต์ดอร์ สมบูรณ์แบบ ควรมีเครื่องดื่มที่ Aromatic และ Refreshing จิบตามกันไปด้วย เช่น Chablis, Alsace Viognier, Dry Riesling, Gewurztraminer ส่วนริมปิงขอแนะนำเป็น Amarone จากแคว้น Veneto ประเทศอิตาลีค่ะ
สามารถหาซื้อ วาเชริน มงต์ดอร์ (Vacherin Mont d’Or) ได้ที่ริมปิงซุปเปอร์มาร์เก็ตทุกสาขานะคะ

ริมปิงแม่ริม!
ริมปิงซุปเปอร์มาร์เก็ตมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า เรากำลังจะเปิดสาขาใหม่ ขยับเข้าไปใกล้ลูกค้า ณ อีกฟากฝั่งของเมือง นั่นคือเขตอำเภอแม่ริม ภายในโครงการคอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ เดอะ กาดฝรั่ง แม่ริม
จากความมุ่งมั่นของเรา เราได้ถามตัวเองเสมอมาว่า สาขาใหม่ของเราควรจะมอบประสบการณ์แบบใดให้กับลูกค้า ริมปิงไม่เคยหยุดคิดที่จะสร้างสิ่งใหม่ ๆ และเราเชื่อมั่นว่าในทุกความเปลี่ยนแปลง เราต้องรักษามาตรฐานของสินค้าที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี การบริการที่อบอุ่นจริงใจ และบรรยากาศที่ทำให้ทุกการช้อปปิ้งนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิม
สำหรับกำหนดการเปิดให้บริการริมปิงซุปเปอร์มาร์เก็ต สาขาโครงการเดอะ กาดฝรั่ง แม่ริมนั้น ริมปิงจะแจ้งให้ท่านทราบอีกครั้ง ทั้งนี้เราขอขอบคุณสำหรับความรัก และความไว้วางใจจากผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน ที่มีให้กับริมปิงเสมอมาค่ะ
แล้วพบกันเร็ว ๆ นี้ที่ “ริมปิงแม่ริม” นะคะ
—
Rimping Mae Rim!
Rimping Supermarket is pleased to announce that we are opening a new branch, bringing us closer to our customers in the Mae Rim district, at the new community mall project, The Kad Farang Mae Rim.
With our dedication, we’ve always asked ourselves what kind of experience our new branch should offer customers. Rimping never stops thinking of new ways to improve, and we firmly believe that with every change, we must maintain the high standards of our carefully selected products, our warm and sincere service, and the atmosphere that makes every shopping experience filled with happiness.
We will announce the official opening date for Rimping Supermarket at The Kad Farang Mae Rim soon. We would like to express our heartfelt thanks for the love and trust that our loyal customers have shown to Rimping.
We look forward to seeing you soon at "Rimping Mae Rim"!

ทำความรู้จัก “Chive” ผักตระกูลเดียวกับต้นหอมที่มีถิ่นกำเนิดทั้งในเอเชีย และยุโรป
Chive เป็นผักตระกูลเดียวกับต้นหอม แต่มีความแตกต่างกันในแง่ของใบที่เรียวเล็กกว่า สีเขียวเข้มกว่า และมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ส่วนต้นหอมจะมีใบใหญ่ และมีกลิ่นฉุนมากกว่า โดยส่วนใหญ่แล้ว Chive จะเหมาะสำหรับใช้ปรุงรสอาหารที่มีรสชาติเบา ๆ ขณะที่ต้นหอมมักนำไปใช้ปรุงอาหารที่มีรสชาติเข้มข้น
ต้นกำเนิดของ Chive มีประวัติย้อนกลับไปในยุโรป และเอเชีย ในพื้นที่บอลข่าน ไซบีเรีย และจีนเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตศักราช ซึ่งมีหลักฐานบ่งชี้ว่า Chive ถูกนำไปใช้โดยสังคมจีน อียิปต์ และโรมันโบราณในการประกอบอาหาร และใช้เพื่อสรรพคุณทางยา
ในจีนโบราณ Chive ไม่เพียงแต่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในการทำอาหารเท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางยาด้วย โดยการแพทย์แผนจีนโบราณค้นพบว่า Chive มีส่วนช่วยในการทำให้ระบบย่อยอาหารแข็งแรง และบรรเทาอาการปวดได้
ในโรมันโบราณ Chive ก็ได้รับการยกย่องในด้านสรรพคุณทางยาด้วยเช่นกัน ชาวโรมันค้นพบ Chive สามารถบรรเทาอาการปวด ช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหาร ลดอาการผิวไหม้จากแสงแดด และช่วยรักษาบาดแผลได้ ซึ่งว่ากันว่าทหารโรมันมักใช้ Chive ในการรักษาบาดแผล เนื่องจากมีคุณสมบัติในการต่อต้านแบคทีเรีย
ในช่วงยุคกลาง Chive ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในตำรับยาพื้นบ้านของยุโรป เนื่องจากมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้หลากหลาย และนอกจากใช้ในสรรพคุณทางยาแล้ว Chive ยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อของชาวยุโรปด้วย
โดยในนิทานพื้นบ้านของยุโรปกล่าวว่า Chive สามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้าย และโรคภัยไข้เจ็บได้ ด้วยเหตุนี้ชาวยุโรปในบางประเทศจึงมักจะแขวน Chive แห้งไว้รอบบ้าน เพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้าย นอกจากนี้พวกเขายังใช้ Chive ในการทำนายดวงชะตาด้วย โดยโยนใบไม้ลงบนโต๊ะเปล่า ๆ แล้วตรวจสอบการเรียงตัวของ Chive เพื่อทำนายดวงชะตา
ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา Chive ก็เริ่มมีบทบาทสำคัญต่อประเพณีการทำอาหารในยุโรปมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศฝรั่งเศส ซึ่ง Chive กลายเป็นหนึ่งในส่วนผสมสำคัญของสมุนไพรผสมฝรั่งเศสที่เรียกว่า “Fines Herbes” ที่ประกอบด้วยสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เช่น Chive, Parsley, Tarragon และ Chervil โดย Fines Herbes สามารถใช้ปรุงรสน้ำสต็อก และซุป หรือสับแล้วผสมลงในสลัดก็ได้เช่นกัน แต่ควรใส่ Chive ลงไปตอนท้ายของขั้นตอนการปรุงอาหาร เพื่อรักษารสชาติอันละเอียดอ่อนเอาไว้
เมื่อเวลาผ่านไปผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปก็นำ Chive ไปเผยแพร่ยังอเมริกาเหนือ ซึ่ง Chive ก็สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศในอเมริกาเหนือได้อย่างรวดเร็ว จนเริ่มมีการปลูกในสวนต่าง ๆ ทั่วทั้งทวีป และเช่นเดียวกันในสหรัฐอเมริกา Chive ก็ได้รับความนิยมทั้งในด้านการทำอาหาร และสรรพคุณยา โดยในสหรัฐอเมริกา Chive มักใช้ในอาหารประเภทมันฝรั่งอบ ไข่คน และซุปครีม
การที่ Chive ถูกนำมาใช้ในด้านสรรพคุณทางยาอย่างแพร่หลาย นั่นก็เพราะว่า Chive อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม เหล็ก และฟอสฟอรัส มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ช่วยลดการอักเสบ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงอัลลิซิน ซึ่งเชื่อกันว่ามีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย และต้านการอักเสบ
ปัจจุบัน Chive ได้รับการเพาะปลูกอย่างกว้างขวาง และได้รับความนิยมไปทั่วโลก รวมถึงเอเชียด้วย โดยในเอเชีย Chive ก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักโดยผู้อพยพชาวจีนนั่นเอง
สามารถหาซื้อ Chive ได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ

ย้อนรอยประวัติศาสตร์ “วากิว” (Wagyu) เนื้อวัวพรีเมี่ยมจากแดนอาทิตย์อุทัย
เนื้อวากิวจากประเทศญี่ปุ่นเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเนื้อวัวที่มีคุณภาพดี และเป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลก ซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องของลายหินอ่อนจากไขมันแทรก และรสสัมผัสของเนื้อที่นุ่มนวลละลายในปาก
ต้นกำเนิดของเนื้อวากิวมีมาตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนในญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งในยุคแรก ๆ วัวเหล่านี้ถูกนำมาเลี้ยงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเกษตร เช่น ใช้ในการทำนา และใช้เป็นสัตว์พาหนะ จนกระทั่งถึงยุคโทคุงาวะของญี่ปุ่น (ค.ศ. 1603-1868) เกษตรกรรม และการเลี้ยงวัวก็มีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก
รัฐบาลโทคุงาวะสนับสนุนการเลี้ยงวัว เพื่อเป็นแหล่งรายได้ผ่านการเรียกเก็บภาษี ซึ่งสิ่งนี้นำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างมากของจำนวนประชากรวัวในญี่ปุ่น โดยเกษตรกรไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญในเรื่องความแข็งแรงของวัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคุณภาพของเนื้อวัวด้วย ด้วยเหตุนี้เองจึงเริ่มมีการคัดเลือกสายพันธุ์วากิว เพื่อผลิตเนื้อวัวที่มีคุณภาพ
คำว่า “วากิว” (Wagyu) นั้นมาจากคำภาษาญี่ปุ่นสองคำ คือ “วา” (Wa) แปลว่าประเทศญี่ปุ่น และ “กิว” (Gyu) แปลว่าวัว เมื่อรวมกันแล้วจึงแปลแบบตรงตัวว่าเนื้อวัวญี่ปุ่น แต่ทั้งนี้คำว่าวากิว ไม่ได้ใช้เรียกวัวญี่ปุ่นทั้งหมด แต่เป็นคำที่กำหนดไว้ใช้สำหรับวัว 4 สายพันธุ์หลัก ที่เลี้ยงในญี่ปุ่น เพื่อบริโภคเนื้อโดยเฉพาะ ได้แก่ พันธุ์ญี่ปุ่นขนดำ (Japanese Black) พันธุ์ญี่ปุ่นขนน้ำตาล (Japanese Brown) พันธุ์ญี่ปุ่นเขาสั้น (Japanese Shorthorn) และพันธุ์ญี่ปุ่นไม่มีเขา (Japanese Polled)
Japanese Black หรือ พันธุ์ญี่ปุ่นขนดำ
พันธุ์ญี่ปุ่นขนดำ หรือ คุโรเกะวากิว เป็นสายพันธุ์ที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเลี้ยงกันมากที่สุด โดยชาวญี่ปุ่นยกย่องให้เป็นสุดยอดสายพันธุ์อันดับหนึ่ง เนื่องจากเป็นวัวที่มีขนาดใหญ่ เนื้อสีแดงสด มีไขมันแทรกในเนื้อเยอะกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ เนื้อนุ่มนวล ละลายในลิ้น นิยมเลี้ยงในภูมิภาคคันไซ เช่น จังหวัดเฮียวโกะ ภูมิภาคชูโกคุ จังหวัดโอคายาม่า ยามากุจิ ฮิโรชิม่า และจังหวัดมิยาซากิ ในภูมิภาคคิวชู
Japanese Brown หรือ พันธุ์ญี่ปุ่นขนน้ำตาล
พันธุ์ญี่ปุ่นขนน้ำตาล หรือ อากะอูชิวากิว เป็นต้นตระกูลของพันธุ์วัวแดง ซึ่งเนื้อวัวสายพันธุ์นี้จะมีลักษณะเนื้อสีแดงเยอะกว่าสัดส่วนที่เป็นไขมันแทรก โดยมีอัตราส่วนไขมันในเนื้อต่ำกว่า 12% แตกต่างจากพันธุ์ขนดำที่มีไขมันแทรกเยอะ แต่ทั้งนี้ก็ยังมีจุดเด่นตรงเนื้อแน่น เคี้ยวอร่อย นิยมเลี้ยงในจังหวัดคุมาโมโตะ ภูมิภาคคิวชู และจังหวัดโคจิ ภูมิภาคชิโกกุ
Japanese Shorthorn หรือ พันธุ์ญี่ปุ่นเขาสั้น
พันธุ์ญี่ปุ่นเขาสั้น หรือ อิวะเตะกิว นิยมเลี้ยงในภูมิภาคโทโฮกุ เช่น จังหวัด อิวาเตะ อาโอโมริ อาคิตะ และภูมิภาคฮอกไกโด โดยเนื้อวัวสายพันธุ์นี้จะมีเนื้อแดงเยอะ ไขมันน้อย จึงไม่ค่อยได้กลิ่นของไขมัน แต่เนื้อชนิดนี้จะมีกรดอะมิโนที่ทำให้รสชาติอร่อยขึ้น
Japanese Polled หรือ พันธุ์ญี่ปุ่นไม่มีเขา
พันธุ์ญี่ปุ่นไม่มีเขา เป็นเนื้อที่นิยมเลี้ยงในจังหวัดยามากุจิ ปัจจุบันถือเป็นวัวสายพันธุ์ที่หายากที่สุดในญี่ปุ่น โดยเฉลี่ยแล้วมีการเลี้ยงทั้งประเทศเพียง 1% เท่านั้น เนื่องจากเป็นวัวที่มีไขมันน้อย เนื้อออกไปทางเหนียว แต่ทั้งนี้ก็ยังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนที่ชอบเท็กซ์เจอร์ความเป็นเนื้อ และรสชาติที่เข้มข้น โดยเนื้อประเภทนี้ชาวญี่ปุ่นนิยมนำมาทำเนื้อย่างหรือสเต๊ก เพื่อสามารถรับรสของเนื้อได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตามนอกจากสายพันธุ์ที่แตกต่างกันแล้ว เนื้อวัวที่ได้จากวัว 4 สายพันธุ์นี้ก็ยังมีคุณภาพของเนื้อที่แตกต่างกันตามสภาพแวดล้อม ภูมิภาค และการเลี้ยงดูอีกด้วย เช่น
เนื้อโอมิ (Omi Beef)
เป็นเนื้อวัวสายพันธุ์ญี่ปุ่นขนดำสายพันธุ์ดั้งเดิมที่เลี้ยงสืบต่อกันมากว่า 400 ปี ได้รับการดูแลอย่างดีในสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ใกล้กับทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และเลี้ยงแบบให้วัวอยู่คอกละตัว เพื่อให้วัวมีพื้นที่ออกกำลังกาย โดยลักษณะเด่นของเนื้อโอมิก็คือ เนื้อจะมีสีแดงสดสลับกับไขมันสีขาว มีไขมันลายหินอ่อนที่สวยงามแทรกอยู่ในเนื้อที่มีรสชาติหอมหวาน เมื่อนำไปประกอบอาหารจะให้รสสัมผัสที่นุ่มละมุนลิ้น
เนื้อมัตสึซากะ (Matsusaka Beef)
เป็นเนื้อวัวสายพันธุ์ญี่ปุ่นขนสีดำที่เลี้ยงในเมืองมัตสึซากะ (Matsusaka) ซึ่งจะถูกเลี้ยงดูในพื้นที่อันเงียบสงบ อากาศเย็นสบาย และได้รับการดูแลอย่างดี อาหารที่ทานก็ได้รับการคัดสรรมาแล้วอย่างดี นอกจากนี้ยังให้วัวดื่มเบียร์อีกด้วย โดยลักษณะของเนื้อวัวชนิดนี้มีความพิเศษตรงที่เนื้อมีเส้นใยที่ละเอียดมีความนุ่ม และมีไขมันลายหินอ่อนที่สวยงาม
เนื้อทาจิมะกุโระ (Tajima Gyro Beef)
เป็นเนื้อวัวสายพันธุ์ญี่ปุ่นขนสีดำที่มีถิ่นกำเนิดในทาจิมะ เมืองทางตอนเหนือของจังหวัดเฮียวโกะ ซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ รวมทั้งสภาพอากาศที่เย็นสบาย โดยเนื้อวัวชนิดนี้มีจุดเด่นคือ มีไขมันลายหินอ่อนแทรกเป็นสีชมพูปนขาวกับฟองไขมันเม็ดละเอียดแทรกซึมอยู่ในอณูเนื้อแดงที่เรียกว่า “Shimo Furi” มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มมาก ๆ นิยมนำไปแล่เป็นชิ้นบาง ๆ แล้วย่างบนกระทะร้อนแบบยากินิคุ
เนื้อโกเบ (Kobe Beef)
เป็นเนื้อวัวสายพันธุ์ญี่ปุ่นขนสีดำที่มีถิ่นกำเนิดในทาจิมะ ซึ่งได้มาจากวัวที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถันที่ฟาร์มปศุสัตว์โดยเฉพาะ ซึ่งวัวจะถูกเลี้ยงด้วยต้นข้าว และข้าวโพดที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ ทำให้เนื้อมีลายหินอ่อน ละมุน กลมกล่อม และมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์
สามารถหาซื้อเนื้อวากิวพรีเมี่ยมนำเข้าจากจังหวัดอิวาเตะ ซากะ นางาซากิ และฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ
สนับสนุนโดยโครงการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์วัตถุดิบหรือสินค้าอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับร้านอาหารและร้านค้าปลีกในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2567
JAPAN PREMIUM FOOD ~สัมผัสความอร่อยแบบญี่ปุ่นแท้~ โดย เจโทร กรุงเทพฯ
สอบถามเพิ่มเติม LINE OA: Rimping Supermarket (LINE ID: ) หรือคลิก https://lin.ee/6yO2Tgq
#สัมผัสความอร่อยแบบญี่ปุ่นแท้

ทำความรู้จัก “Pink Guava” (ฝรั่งสีชมพู) ผลไม้ที่มีต้นกำเนิดในเปรูเมื่อประมาณ 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช
Pink Guava (ฝรั่งสีชมพู) หรือที่บ้านเราเรียกว่า “ฝรั่งขี้นก” เป็นพันธุ์ฝรั่งที่มีเนื้อสีชมพูสวยงาม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามินซี ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ และส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของร่างกาย
ต้นกำเนิดของฝรั่งมีประวัติย้อนกลับไปในอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศเปรูที่หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่าชาวเปรูเริ่มเพาะปลูกฝรั่งเมื่อประมาณ 800 ปีก่อนคริส์ศักราช แต่เดิมทีฝรั่งพื้นเมืองที่ชาวเปรูปลูกจะมีเนื้อสีขาว เมื่อเวลาผ่านไปก็พัฒนามาเป็นเนื้อสีชมพู
การที่ฝรั่งมีเนื้อสีชมพูเชื่อว่าเกิดจากการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม โดยสีชมพูเกิดจากไลโคปีน (Lycopene) ซึ่งเป็นเม็ดสีเดียวกับที่ทำให้มะเขือเทศ และแตงโมมีสีสัน นอกจากนี้ไลโคปีนยังจัดอยู่ในกลุ่มของสารแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) กลุ่มสารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายด้วย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และต้านมะเร็ง
การมาถึงของนักสำรวจชาวยุโรปในทวีปอเมริกาถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของฝรั่ง เนื่องจากนักสำรวจชาวยุโรปนำเมล็ดฝรั่งทั้งสีขาว และสีชมพูติดตัวไปด้วยเมื่อเดินทางไปยังยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ด้วยเหตุนี้ฝรั่งจึงเริ่มเป็นที่รู้จักในหลายพื้นที่
ในศตวรรษที่ 19 หลายประเทศ เช่น อินเดีย ไทย อินโดนีเซีย บราซิล และเม็กซิโก ก็เริ่มทดลองปลูกฝรั่งจนได้ผลผลิตที่ดี และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการเกษตรก็ทำให้หลายประเทศสามารถพัฒนาพันธุ์ฝรั่งได้หลากหลาย
ในศตวรรษที่ 20 ฝรั่งสีชมพูได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นผลไม้ที่มีความสำคัญทางการค้าในหลายประเทศ เนื่องจากฝรั่งสีชมพูไม่เพียงแต่มีสีสันที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สูงกว่าผลไม้รสเปรี้ยวหลายชนิด โพแทสเซียม ไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ และใยอาหารต่าง ๆ
ความต้องการฝรั่งสีชมพูจากทั่วโลกส่งผลให้เศรษฐกิจในภูมิภาคต่าง ๆ ที่ปลูกฝรั่งสีชมพูเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบราซิล และอินเดียที่ได้กลายเป็นผู้ส่งออกฝรั่งสีชมพูรายใหญ่ของโลก
สามารถหาซื้อฝรั่งสีชมพูได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ

ทำความรู้จัก “Crab Apple” (แครบแอปเปิ้ล) หรือแอปเปิ้ลแคระผลไม้ชนิดหนึ่งที่อยู่ในตระกูลเดียวกับแอปเปิ้ล
Crab Apple (แครบแอปเปิ้ล) หรือแอปเปิ้ลแคระเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่อยู่ในตระกูลเดียวกับแอปเปิ้ลที่เรารับประทานกันทั่วไป แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก และมักจะมีรสชาติเปรี้ยวจัดมากกว่า ผลจะมีสีสันสดใส เช่น แดง เหลือง หรือเขียว และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า Crab Apple เป็นแอปเปิ้ลสายพันธุ์แรก ๆ ที่มีอยู่ก่อนแอปเปิ้ลหวานที่เรารับประทานกันในปัจจุบัน เนื่องจากค้นพบซากฟอสซิลในอเมริกาเหนือก่อนจะถูกนำมายังกรีก และโรมัน
จากหลักฐานสันนิษฐานกันว่ามนุษย์ยุคแรก ๆ น่าจะเก็บ Crab Apple มาจากป่าตั้งแต่ยุคหินใหม่ประมาณ 4,000 –3,000 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อนำมาใช้ในการทำอาหาร และยา
ในกรีกและโรมันโบราณ Crab Apple ถือเป็นสัญลักษณ์ของความรัก และการแต่งงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของอตาลันตา (Atalanta) นักล่าหญิงที่ถูกยกย่องว่าวิ่งเร็วที่สุด โดยตำนานเทพเจ้ากรีกเล่าว่าอตาลันตา (Atalanta) ไม่อยากมีความรัก แต่ถูกพ่อบังคับ เธอจึงประกาศจะแต่งงานกับชายที่สามารถเอาชนะเธอได้ในการแข่งขันวิ่ง ซึ่งก็มีชายทั่วสารทิศสนใจเป็นจำนวนมาก แต่ทว่ามีชายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเอาชนะเธอได้นั่นก็คือ ฮิปโปเมเนส (Hippomenes)
ฮิปโปเมเนสตกหลุมรักอตาลันตาอยู่แล้ว เขาอยากชนะการแข่งขันในครั้งนี้มาก แต่รู้ตัวว่าไม่มีทางที่จะเอาชนะเธอได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงอธิษฐานขอให้เทพีอโฟรไดท์ (Aphrodite) ซึ่งเป็นเทพีแห่งความรักช่วยเหลือ ซึ่งเทพีอโฟรไดท์ก็ไม่ชอบใจ ที่อาตาลันตาละเลยความรักจึงมอบแอปเปิ้ลทองคำสามลูกให้แก่เขา
ในระหว่างการแข่งขันฮิปโปเมเนสได้ใช้แอปเปิ้ลทองคำสามลูกที่ได้มาจากเทพีอโฟรไดท์ (Aphrodite) เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ โดยเขาทำแอปเปิ้ลเหล่านั้นหล่นทีละลูก จนกระทั่งลูกที่ 3 อตาลันตาก็หยุดเก็บแอปเปิ้ลนั้น ทำให้เธอแพ้การแข่งขัน เมื่อฮิปโปเมเนสชนะทั้งคู่จึงได้แต่งงานกัน นี่จึงเป็นเรื่องราวของความเชื่อเรื่องแอปเปิ้ล และความรักของชาวกรีก
หลังจากตำนานถูกเล่าขานชาวกรีกก็มักจะอุทิศ Crab Apple ให้กับเทพีอโฟรไดท์ และเชื่อกันว่าการขว้างแอปเปิ้ลใส่ใครสักคนเป็นการแสดงความรัก จนเกิดเป็นประเพณีการขวางแอปเปิ้ลเพื่อหาคู่ในยุคนั้น
นอกจากตำนานของชาวกรีก และโรมันแล้ว Crab Apple ยังเกี่ยวกับข้องกับประเพณีของชาวเคลต์ (Celts) ด้วย ชาวเคลต์เชื่อว่าหากโยนเมล็ดแอปเปิ้ลลงในกองไฟพร้อมกับเอ่ยชื่อคนรัก ความรักจะเป็นจริงหากเมล็ดแอปเปิ้ลระเบิด
ในยุคกลาง Crab Apple ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วทั้งยุโรป แต่จะไม่นิยมรับประทานผลสดเนื่องจากมีรสเปรี้ยวมักใช้ทำแยม ซอส ไซเดอร์ และน้ำส้มสายชู ซึ่งแยม Crab Apple มักจะนำมาทาขนมปัง และจับคู่กับเนื้อสัตว์
นอกจากใช้ในการทำอาหารแล้วนักสมุนไพร และแพทย์พื้นบ้านในยุคกลางยังให้ความสำคัญกับ Crab Apple มาก เนื่องจากมีคุณสมบัติทางยา พวกเขาเชื่อว่า Crab Apple สามารถรักษาปัญหาการย่อยอาหาร และอาการอักเสบได้ นอกจากนี้น้ำส้มสายชู Crab Apple ยังมักถูกนำมาใช้เป็นสารกันบูด และยาฆ่าเชื้อด้วย
ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา Crab Apple ถูกนำมาเพาะพันธุ์เป็นแอปเปิ้ลสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ใหญ่ และหวานกว่าเดิม ซึ่งนำไปสู่แอปเปิ้ลหลากหลายสายพันธุ์ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน แต่ถึงแม้จะมีแอปเปิ้ลสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นมากมาย Crab Apple ก็ยังคงได้รับความนิยม ซึ่งมักจะนำไปทำแยม เยลลี่ น้ำส้มสายชู ไวน์ และใช้เป็นส่วนผสมในการปรุงอาหาร เช่น สตูว์ ซุป หรือซอสต่าง ๆ
สามารถหาซื้อ Crab Apple หรือแอปเปิ้ลแคระได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ
#ตำนานความรัก #ซูเปอร์มาร์เก็ตเชียงใหม่ #ผลไม้นำเข้า #อาหารเพื่อสุขภาพ #ผลไม้อินทรีย์ #ซุปเปอร์มาร์เก็ตพรีเมียม #กินดีมีสุข #แอปเปิ้ลแคระ

✨ Float into Happiness: Cherish the Moments ✨
Savor the Flavors Under the Moon at Night Market
🌕 ลอยกระทงปีนี้ อยากชวนทุกคนมาสัมผัสบรรยากาศแสนพิเศษที่งานลอยกระทงกับ Rimping Supermarket และ maré seafood ให้คุณได้ปล่อยใจไปกับค่ำคืนอันสวยงามภายใต้แสงจันทร์และสายลมเย็นสบาย เพลิดเพลินกับเสียงเพลงสดจากวงดนตรีหลายสไตล์ ที่จะมาร่วมสร้างความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน พร้อมให้คุณดื่มด่ำไปกับรสชาติของอาหารและเครื่องดื่มสุดพิเศษที่คัดสรรมาเพื่อเติมเต็มทุกช่วงเวลาของคุณในค่ำคืนนี้ ✨
💫 นอกจากจะได้ฟังเพลงเพราะ ๆ จากเหล่าศิลปินแล้ว ยังมีกิจกรรมสนุก ๆ ที่รอให้ทุกคนได้สัมผัส ลองชิมเมนูอาหารอร่อย ๆ ที่ Rimping Supermarket และ maré seafood คัดสรรอย่างพิถีพิถันเพื่อคืนที่น่าจดจำ ดื่มเครื่องดื่มเย็นฉ่ำ ชมดนตรีในบรรยากาศแสงจันทร์ที่ทอแสงอันอ่อนโยน ร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาลที่อบอวลไปด้วยรอยยิ้มและความสุข
🎶 Line-up การแสดง 🎶
🗓 14 พ.ย. 67
17:30-18:30 Shiryu
18:30-19:30 Boss + Pang
20:00-21:00 Sahabann Band
21:00-22:00 Morrasoum
22:30-23:30 Morrasoum
🗓 15 พ.ย. 67
17:00-18:00 Prompay + Knot
18:30-19:15 Boss + Naung
19:15-20:00 Shiryu
20:00-21:00 Knot
21:30-22:30 Bann Tuek
🗓 16 พ.ย. 67
17:00-18:00 Knot
18:00-19:00 Shiryu
19:00-20:00 Boss + Naung
20:00-21:00 Youngbrother.band
21:30-23:30 Bann Tuek
📅 วันที่: 14-16 พฤศจิกายน 2567
🕒 เวลา: เริ่มตั้งแต่ 17.00 - 23.00 น.
📍 สถานที่: Rimping Supermarket สาขานวรัฐ
มาร่วมสร้างความทรงจำและประสบการณ์ที่คุณจะเก็บไว้อย่างอบอุ่นในใจ กับค่ำคืนที่เปี่ยมไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุขในทุกนาที แล้วมาร่วมลอยกระทงใต้แสงจันทร์ไปพร้อมกันนะคะ! 💫
#เชียงใหม่ #เทศกาลลอยกระทง #สุขที่แบ่งปัน #อาหารและเสียงเพลง

ย้อนรอยประวัติศาสตร์ “Weihenstephaner” (ไวเฮนชะเตฟาเนอร์) โรงเบียร์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 725
Weihenstephaner เป็นโรงเบียร์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 1300 ปี ตั้งอยู่ที่ย่าน Weihenstephan ในเมือง Freising รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี เดิมทีโรงเบียร์แห่งนี้เป็นของคณะนักบวช Benedictine ในอาราม ก่อนจะเปลี่ยนแปลงมาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลบาวาเรียในปัจจุบัน
เรื่องราวของ Weihenstephaner เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 8 เมื่อนักบุญ Cobinian ร่วมกับคณะอีก 12 คนก่อตั้งอารามชื่อว่า Weihenstephan Abbey บนเนินเขา Nährberg ในย่าน Weihenstephan ในปี 725
แม้จะมีการก่อตั้งอารามขึ้นมาในขณะนั้น แต่การผลิตเบียร์อย่างเป็นทางการของอารามแห่งนี้พึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในปี 1040 เนื่องจาก Arnold หัวหน้าคณะนักบวชในขณะนั้นได้รับใบอนุญาตให้สามารถผลิตเบียร์ได้ ซึ่งใบอนุญาตนี้ให้สิทธิแก่นักบวชในการผลิต และขายเบียร์ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของโรงเบียร์ “Weihenstephan Monastery Brewery” นั่นเอง
อย่างไรก็ตามกว่าที่การผลิตเบียร์ของโรงเบียร์แห่งนี้จะประสบความสำเร็จ อารามต้องเผชิญกับภัยคุกคามอยู่หลายครั้ง ซึ่งตั้งแต่ปี 955 ชาวฮังการีได้ปล้นสะดม และทำลายอารามแห่งนี้ลงทำให้นักบวชต้องสร้างอารามขึ้นมาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ภัยคุกคามไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น หลายศตวรรษต่อมาในช่วงปี 1628 ถึง 1906 หลังจากอารามเริ่มผลิตเบียร์ก็เกิดภัยคุกคามขึ้นมาอีกทั้งไฟไหม้เสียหายทั้งหมดสี่ครั้ง โรคระบาดสามครั้ง และเหตุการณ์ทำลายล้างต่าง ๆ อีกหลายครั้ง แต่ถึงแม้จะถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าคณะนักบวช Benedictine ก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ พวกเขาสร้างอาราม และโรงเบียร์ขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งปรับปรุงศิลปะการต้มเบียร์ด้วย
ในปี 1516 โรงเบียร์ของอารามแห่งนี้ก็เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นในเรื่องการผลิตเบียร์ที่มีคุณภาพ เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าววิลเฮล์มที่ 4 ดยุกแห่งบาวาเรียได้ออกกฎหมายความบริสุทธิ์ของเบียร์บาวาเรีย โดยกำหนดให้ใช้เฉพาะน้ำ ข้าวบาร์เลย์ และฮ็อปเท่านั้นในการผลิตเบียร์ ด้วยเหตุนี้เบียร์ Weihenstephaner จึงเริ่มมีชื่อเสียง เพราะตั้งแต่เริ่มแรกโรงเบียร์แห่งนี้ผลิตเบียร์ที่มาจากข้าวบาร์เลย์อยู่แล้ว
ในช่วงปี 1803 เยอรมันเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เรียกว่า Secularization หรือโลกิยานุวัติ ซึ่งเป็นการลดบทบาทของศาสนาในชีวิตประจำวันลง สิ่งนี้ส่งผลทำให้อารามหลายแห่งรวมถึง Weihenstephan Abbey ถูกปิดตัวลง และทรัพย์สินต่าง ๆ ที่อารามครอบครองอยู่ก็ถูกถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ให้กลายเป็นของรัฐบาลบาวาเรีย รวมถึงโรงเบียร์ด้วย
ในปี 1852 ย่าน Weihenstephan ได้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาเกี่ยวกับการผลิตเบียร์ เนื่องจากรัฐบาลบาวาเรียได้ก่อตั้งสถาบันสอนการผลิตเบียร์ขึ้นมา ซึ่งมีนักศึกษาทั้งใน และนอกประเทศสนใจเข้ามาศึกษาเป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันสถาบันแห่งนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเทคนิคมิวนิก และกลายเป็นสถาบันชั้นนำที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคนิคการกลั่นเบียร์สมัยใหม่ และการพัฒนาวงการเบียร์โลก
การมุ่งเน้นด้านการศึกษา และการวิจัยนี้ทำให้ Weihenstephan Monastery Brewery ไม่เพียงแต่เป็นโรงเบียร์เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้อนุรักษ์วัฒนธรรมการต้มเบียร์อีกด้วย
ในปี 1921 โรงเบียร์แห่งนี้ก็ได้เปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น Bavarian State Brewery Weihenstephan และตั้งแต่ปี 1923 เป็นต้นมาโรงเบียร์ก็ได้ใช้ตราสัญลักษณ์ของรัฐบาวาเรียเป็นโลโก้
ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาโรงเบียร์แห่งนี้ได้ปรับปรุงเทคนิคการผลิตเบียร์ให้มีคุณภาพ และความหลากหลายมากขึ้น จนได้รับชื่อเสียงในเรื่องการผลิตเบียร์คุณภาพสูง โดยมีเบียร์ที่เป็นสัญลักษณ์ของโรงเบียร์ ได้แก่ Weihenstephaner Hefeweissbier เบียร์ข้าวสาลีแบบบาวาเรียคลาสสิกที่ผลิตตามกฎ German Purity Law ให้กลิ่นกล้วย กานพลู ชัดเจน และ Weihenstephaner Original ซึ่งเป็นเบียร์ลาเกอร์รสนุ่มละมุน และเข้มข้น
แม้จะมีอายุมานานกว่า 1000 ปี แล้ว แต่โรงเบียร์แห่งนี้ก็ไม่ได้ล้าสมัย ยังคงทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในขณะที่ยังคงยึดมั่นในรากฐานการผลิตแบบดั้งเดิม ร่วมกับการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ร่วมด้วย
ปัจจุบันโรงเบียร์ Bavarian State Brewery Weihenstephan ถือเป็นโรงเบียร์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่ยังคงเปิดทำการอยู่
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?
ประเภท
ติดต่อ ธุรกิจของเรา
เบอร์โทรศัพท์
เว็บไซต์
ที่อยู่
208 Moo. 6, T. Faham
Muang Chiang Mai
50000
เวลาทำการ
จันทร์ | 08:00 - 21:00 |
อังคาร | 08:00 - 21:00 |
พุธ | 08:00 - 21:00 |
พฤหัสบดี | 08:00 - 21:00 |
ศุกร์ | 08:00 - 21:00 |
เสาร์ | 08:00 - 21:00 |
อาทิตย์ | 08:00 - 21:00 |
129 Chiang Mai/Lamphun Road, T. Watked
Muang Chiang Mai, 50000
We aspire to make your everyday shopping experience better.
32/5 Moo 2, Cholprathan Road, T. Mae Hia
Muang Chiang Mai, 50100
We aspire to make your everyday shopping experience better.
Floor B1, Maya Shopping Mall 55/5 Huay Kaew Road, T. Suthep
Muang Chiang Mai, 50000
We aspire to make your everyday shopping experience better.