เรือนแวะมานวด นวดเพื่อสุขภาพ

Movnat​ เคลื่อนไหวบำบัด​ธรรมชาติ : ปวดหลัง​จาก
กล้ามเนื้อ​พับสะโพก​(Psoas)

กล้ามเนื้อ psoas หรือกล้ามเนื้อพับสะโพก
มักจะถูกพูดถึงเวลาที่เราปวดหลังจากการนั่งนานๆ หรือจากการวิ่ง พอเราเข้าใจแบบนี้เราเลยพยายามยืดคลายกล้ามเนื้อให้ได้มากที่สุด การคลายก็ดีครับแต่ปัญหาคือยืดคลายแล้วทำไมถึงกลับมาตึงอีก

ครูสุขขอสรุปให้เห็น 5 ข้อที่ทำให้ psoas ตึงครับ

1. กะบังลม ทางสรีระวิทยากะบังลมจะเชื่อมกับกล้ามเนื้อ Psoas โดยตรง กล้ามเนื้อกะบังลมจะมีหน้าที่สำหรับใช้ในการหายใจและรักษาความมั่นคงเป็นหลัก เวลาที่เรานั่งนานๆ การหายใจสั้นๆ จะทำให้ซี่โครงยกตัวขึ้น ทำให้หลังแอ่นและกะบังลมที่ไม่ได้ใช้ในการสร้างความมั่นคงก็จะลดตัวลงไปด้วย psoas จึงต้องมาทำหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงร่วมกับกล้ามเนื้อ QL และต้นขาด้านหลัง ทำให้ 3 จุดนี้จะยิ่งดึงหลังใหัแอ่น ส่งผลถึงกล้ามเนื้อก้นที่อยู่ตรงข้าม psoas ไม่แข็งแรงไปด้วย

เราสามารถปรับแก้ได้โดยเน้นฝึกการหายใจที่ใช้กะบังลม กดซี่โครง และเกร็งกล้ามเนื้อก้น เป็นการแก้ทุกจุดในเวลาเดียวพร้อมๆ กันครับ​กับแนวทาง​ ABCD

อนาโตมี่

https://www.facebook.com/share/p/1AM8p7V9mw/
แนวทางแก้ไข​ ลองอ่านดูครับ

https://www.facebook.com/share/p/162b1vKtsi/

กล้ามเนื้อ​QL

https://www.facebook.com/share/p/1DVYYoqerP/

อีก4​จุดที่มีผล
📍ข้อต่อสะโพก

📍ฝ่าเท้า
https://www.facebook.com/share/p/1Ac6WSsZHG/

📍กรามและคอ
https://www.facebook.com/share/p/16RdAwtmcN/

📍ไตและอวัยวะภายใน

ใครอยากตามอ่านกันต่ออีก 4 จุดที่เหลือนะครับกด1

พอกเข่าอย่างไร✨✨ ให้สามารถเคลมเงินกับ สปสช. ได้ ศึกษาได้ที่เล่มนี้ครับ✅✅

✨คู่มือ แนวทางการให้หัตถการพอกเข่าด้วยยาสมุนไพรร่วมกับการนวด✨

โดย : กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

🌿ดาวน์โหลดเพิ่มเติมที่ลิ้งค์ใต้คอมเม้น🌿👇🏻👇🏻

ปลื้มปริ่ม ขอบพระคุณอาจารย์ปิ่นประภา น้องนิลเนตร ที่ไว้วางใจ แวะมาให้ซ่อมร่างให้ จากที่ปวดขาปวดเข่ามานาน อาจารย์บอกขากลับเดินคล่องเลยค่ะ🥰🥰🥰

#การแพทย์แผนไทยไม่ใช่แค่สมุนไพรกับนวดส่งเสริมสุขภาพ

แพทย์แผนไทย ศึกษาร่างกายมนุษย์ตามแนวทางพุทธศาสนา ที่บอกว่าร่างกายเราประกอบด้วย "เบญจขันธ์" หรือ รูปกับนาม โดย

-รูป คือ ส่วนของรูปหรือร่างกาย
-เวทนาคือ ส่วนของอารมณ์ความรู้สึกทางใจ
-สัญญา คือ ส่วนของความทรงจำแห่งใจ หรือความจำหมาย
-สังขาร คือ ส่วนของการปรุงแต่งจิต
-วิญญาณ คือ ส่วนของการรับรู้ทางจิตผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ

สี่ส่วนหลังคือนาม ส่วนรูป ประกอบด้วยองค์ประกอบหรืออวัยวะประกอบกัน 4 กลุ่ม รวมทั้งหมด 42 ส่วน เรียกว่า ธาตุ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เนื่องจากมีหลายส่วนจึงเรียกว่า "มหาภูตรูป"

1) ธาตุดิน (Solid) คือโครงสร้างแข็งที่คงรูปอยู่ได้ หรือ "ของแข็ง" มิใช่ดิน(Soil) ที่เราเรียกกันทั่วไป จำแนกได้ 20 ชนิด เช่น หัวใจ ปอด ตับ ไต เล็บ ขน หนัง...

2) ธาตุน้ำ (Liquid) คือของเหลวที่ซึมซาบเลื่อนไหลไปได้ง่าย หรือ "ของเหลว" มิใช่น้ำ (Water)เท่านั้น จำแนกได้ 12 ชนิด เช่น เลือด น้ำมูก น้ำลาย น้ำปัสสาวะ...

3) ธาตุลม (Gas และ Movement) คือของไหลที่เคลื่อนไหวไปได้ง่าย หรือ "ก๊าซ/การเคลื่อนไหว" มิใช่ลม (Wind)เท่านั้น จำแนกได้ 6 ชนิด เช่น ลมหายใจเข้าออก ลมพัดขึ้น ลมพัดลง ลมในไส้ ลมพัดทั่วร่างกาย...

ส่วนของลมนี้ถ้าสัมผัสจับต้องได้ง่าย เรียก ลมกองหยาบ (ก๊าซ หรือ Air) กับส่วนที่จับต้องได้ยากแต่รู้ว่ามีเพราะมีการเคลื่อนไหว เรียก ลมกองละเอียด (กระแสประสาท การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเรียบของท่อกลวงต่างๆในร่างกาย)

4) ธาตุไฟ (Energy) คือ พลังที่ทำให้เกิดกิจกรรมต่างๆในร่างกายหรือสิ่งที่ทำให้เกิดพลังงานต่างๆในร่างกาย หรือ "พลังงาน" มิใช่ ไฟ (Fire)เท่านั้น

ธาตุไฟจำแนกได้ 4 ชนิด เช่น ไฟอบอุ่นร่างกาย ไฟทำให้แก่ ไฟย่อยอาหาร ไฟทำให้จิตใจระส่ำระสาย ดังนั้น ธาตไฟ จึงเหมารวมทั้งพลังงานต่างๆ น้ำย่อย เอนไซม์ หรือโคเอนไซม์ที่ใช้ในกระบวนการสร้างและสลายพลังงานในร่างกายที่ฝรั่งเรียกว่า เมตะบอลิซึม(Metabolism)

การเรียนเรื่องธาตุ 4 จึงต้องรู้จักรูปร่างลักษณะของธาตุ(Anatomy) และการทำหน้าที่ของธาตุเหล่านั้น (Physiology) โดยสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ที่แบ่งสสารออกเป็นของแข็ง ของเหลว ก๊าซ กับพลังงาน ซึ่งสสารและพลังงาน เปลี่ยนกลับไปกลับมาได้สัมพันธ์กับความเร็วของสิ่งนั้นๆ การแพทย์แผนไทย จึงเรียก สสารและพลังงาน รวมกันเป็น "ธาตุ 4"

เมื่อร่างกายเกิดความเจ็บป่วยขึ้น แพทย์แผนไทย จะต้องทำการวินิจฉัยว่า ธาตุใดบ้างที่มีการกำเริบ(วฤทธิ/Hyperfunction) หย่อน (กษายะ/Hypofunction) หรือพิการ (ภิณณะ/Failure) เมื่อพบแล้วก็จะทำการปรับแก้ไขให้ธาตุเหล่านั้นกลับมาปกติหรือสมดุลดังเดิม

การหาความผิดปกติเหล่านี้เรียกว่า ธาตุสมุฏฐาน ซึ่งถ้าเรียกแบบแพทย์แผนปัจจุบันก็คือการหาความผิดปกติของอวัยวะ (Pathology)

ตามตำราการแพทย์แผนไทยพบว่า ธาตุน้ำ ลม ไฟ จะผิดปกติก่อน พอเสียสมดุลมากๆจึงมากระทบที่ธาตุดิน ทำให้เกิดความผิดปกติที่อวัยวะต่างๆขึ้น แพทย์แผนไทยที่เก่งๆจึงต้องวินิจฉัยความผิดปกติของธาตุน้ำ ลม ไฟ ก่อน

เพื่อรีบให้การบำบัดโรคตั้งแต่เนิ่นๆ จะรักษาได้ง่ายและได้ผลดีกว่า จึงต้องสนใจกลุ่มธาตุทั้ง 3 นี้ก่อน เรียกว่า กองธาตุสมุฏฐาน ตัวที่เป็นหลักคือ ปิตตะ (ไฟ+น้ำ) เสมหะ(น้ำ+ดิน) และวาตะ (ลม+อากาศ)

ถ้าจับเหตุ 3 ตัวนี้ได้ ก็วินิจฉัยโรคได้ ว่าเป็นโรคอะไร ผิดปกติที่ธาตุใดและสภาวะร่างกายเสียสมดุลไปทาง "ร้อนเกิน"หรือ "เย็นเกิน"

และนำไปสู่การตั้งตำรับยาเพื่อบำบัดตามสมุฏฐานวินิจฉัยนั้นได้ว่าจะใช้ยาที่ออกฤทธิ์ร้อน เย็น หรือสุขุม(กลางๆ)ที่เรียกว่า ใช้ยา "รสประธาน"ใด ก็ตั้งตำรับยาให้ออกมาตามรสประธานนั้นๆ

ยาไทย หรือ ยาแผนไทย จึงต้องใช้เป็นตำรับ คือ ใช้สมุนไพรหลายชนิด คำว่า หลายชนิดคือ ตั้งแต่ ๒ ชนิดขึ้นไป

การใช้สมุนไพรชนิดเดียว เช่น น้ำต้มใบมะละกอ จึงไม่ถือเป็นยาตามองค์ความรู้ทางการแพทย์แผนไทย แต่จัดเป็น “อาหาร” หรือ “เครื่องยา” หรืออาจจะจัดเป็นกระสายยาก็พอได้ ซึ่งก็เกิดประโยชน์ต่อร่างกายได้เช่นกัน

แต่หากเป็นองค์ความรู้ทางการแพทย์ทางเลือกหรือการแพทย์เสริม การใช้ส่วนของพืชหรือสัตว์มาทำเป็นยา แบบน้ำต้มมะละกอ หรือ นำใบฟ้าทะลายโจรมาเคี้ยว อมหรือกินนี้ จัดเป็นการแพทย์ทางเลือกกลุ่ม การแพทย์ทางเลือกที่ใช้ชีวภาพมาบำบัดรักษา

น้ำต้มใบมะละกอ จึงไม่จัดเป็นยาทางการแพทย์แผนไทย แต่จัดเป็นยาทางการแพทย์ทางเลือกชีวภาพ (Biological based therapy)

การใช้สมุนไพร จึงต้องอิงว่า เป็นศาสตร์ความรู้ทางด้านใด เมื่อใช้ศาสตร์ใดก็ต้องใช้ให้ถูกต้องตามศาสตร์นั้น การอ้างโน่นนิด นี่หน่อย ไปทั่ว เท่ากับมั่ว นั่นเอง

นพ.พท.พิเชฐ บัญญัติ
เลขาธิการสมาคมเวชกรรมไทย
รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๖

#การแพทย์แผนไทย
#การแพทย์ทางเลือกและการแพทย์เสริม
#การแพทย์ทางเลือกชีวภาพ
#น้ำต้มใบมะละกอ