วัดโนนตลาดกี่
ตำแหน่งใกล้เคียง สถานที่สักการะ
หมู่ 8 ตำบลตลาด อำเภอเมือง จัง, Nakhon Ratchasima
บ้านใต้-หนองโน ต. โพนทอง อ. สีด, Nakhon Ratchasima
อำเภอสูงเนิน, Nakhon Ratchasima
หมู่3 ถนนมิตรภาพ-หนองคาย, Nakhon Ratchasima
Nakhon Ratchasima 30000
Nakhon Ratchasima
ม. 7 บ. หัวถนน ถ. ชาติพัฒนา ต. หัวทะเล อ. เมือง จ. นครราชสีมา, Nakhon Ratchasima
สืบศิริ ซอย, Nakhon Ratchasima
วัดสระบัวเกลื่อน บ้านเก่า ต, Nakhon Ratchasima
M3 Phet Matu Kha, Nakhon Ratchasima
บ้านคลองตะแบก อ. สีคิ้ว ต. ลาดบัวขาว, Nakhon Ratchasima
ตำแหน่งใกล้เคียง แท็กซี่
Nakhon Ratchasima 30000
Nakhon Ratchasima 30000
Nakhon Ratchasima 30000
ถนนยมราช ต. ในเมือง อ. เมือง จ. นครราชสีมา, Nakhon Ratchasima
ซอยโรงต้ม ถนนราชดำเนิน ต. ในเมือง อ. เมืองนครราชสีมา, Nakhon Ratchasima
ซอยโรงต้ม ถนนราชดำเนิน ต. ในเมือง อ. เมืองนครราชสีมา, Nakhon Ratchasima
ความคิดเห็น
นักร้องใจพระ
ธนกร.เถิดเทิง
ร้องฟรีทุกวัด
นักร้องใจพระ
ธนกร เถิดเทิง
ร้องฟรีทุกวัด
ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก วัดโนนตลาดกี่, องค์กรศาสนา, Chum Phuang.
ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ
ไม่มีอะไรได้ดังใจเราทุกอย่าง
มีช่วงเวลาที่เขียวเต็มต้น
มีช่วงเวลาร่วงหล่นเพื่ออยู่รอด
มีสมหวัง
มีผิดหวัง
มีตัวเราที่ต้องผ่านพ้นทุกๆอย่างไป
อย่างเข้าใจและยอมรับความจริง
ไม่ว่าจะยังไง
“เราต้องก้าวต่อไป”
ให้ได้ดังเช่นที่ผ่านมา
🙂
"ตอนเด็ก บทเรียนจะอยู่หน้าแรกของหนังสือ"
"ตอนโต บทเรียนจะอยู่หลังความผิดพลาด"

.. ค ว า ม ทุ ก ข์ ...
ก็เหมือน.. '' ลูกโป่ง '' ในมือ
ยึดไว้.. มันก็ไม่ไปไหน
แค่..'' ป ล่ อ ย ไป ''
มันก็.. จะลอยหาย
ไปกับสายลม .. และเวลา
ยอม.. '' ป ล่ อ ย ''
บางสิ่งบางอย่างไป ..
จะแพ้อะไร .. ก็ช่างมัน
ขอให้เรา.. '' ชนะใจเราเอง ''
ให้ได้ เป็นพอ ..

ในทางพุทธ
ที่มีเป้าหมายสูงสุด
เป็นการพ้นทุกข์ทางใจนั้น
ท่านว่าต้องทำบุญครบ
คือ ทำทานเพื่อทำลายความตระหนี่
เพราะถ้ายังมีความตระหนี่เกินๆ
ก็ถือว่ายังมีความหวงทุกข์ขั้นหยาบๆ
จะไปทิ้งทุกข์ขั้นละเอียดอย่างไรได้
นอกจากนั้น
ท่านยังให้รักษาศีลเพื่อรักษาความสะอาดทางจิต
ถ้ายังมีความสกปรก รกรุงรัง ผิดเพี้ยน
ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นอะไรตามจริง
แล้วจะไปเอาความสะอาดปราศจากทุกข์มาแต่ไหน
สรุปว่า ทานและศีล
เป็นบันไดให้กับการเจริญสติ
ไม่ได้แยกเป็นต่างหากจากกัน
ไม่ได้สูงต่ำตามศักดิ์อย่างที่หลายคนเข้าใจ
ด้วยการศึกษาธรรมแบบลูบคลำ
ส่วนในทางกรรมวิบาก
ผลของการเป็นผู้มีน้ำใจให้ทาน
คือการไปสู่สัมปรายภพ อันมีสภาพที่ชุ่มชื่น
มีกินมีใช้ไม่ฝืดเคือง
และผลของการเป็นผู้มีจิตใจสะอาดด้วยศีล
คือการไปสู่สัมปรายภพ อันมีภาวะที่ปลอดภัย
ไม่อึดอัดลำบาก
อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบทานเหมือนทรัพย์
ส่วนศีลเหมือนแผ่นดินรักษาทรัพย์ไว้ให้คงที่
นอกจากนั้น
เมื่อทำทานด้วยใจเลื่อมใสบริสุทธิ์
ไม่ได้ให้ทานด้วยอาการโยนเศษเดนให้
ใจย่อมถูกปรุงแต่ง
ให้เกิดสภาพอ่อนโยน งดงาม ณ ที่ที่ให้
และเมื่อทำทานด้วยน้ำใจงดงามตลอดชีวิต
ก็ย่อมเป็นผลให้เกิดใหม่
มีรูปงามตามเพศเป็นธรรมดา
และเมื่อรักษาศีลได้ตลอดชีวิต
อันพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น ‘มหาทาน’
คือ ให้ความปลอดภัยไม่จำกัด
ไม่ใช่ถือศีลชั่วคราวด้วยความหวังผลสั้นๆ
ใจย่อมถูกปรุงแต่งให้เกิดสภาพไร้ราคี ณ ที่ที่ให้
และเกิดใหม่ในสภาพไร้ที่ติเป็นธรรมดา
แต่หากผู้ใดคิดว่า
แก่นสารของพุทธมีแต่การเจริญสติ เจริญปัญญา
แล้วเอาแต่คิด เอาแต่ตรอง ‘ธรรมะขั้นสูง’
โดยไม่ได้มีสติรู้เข้ามาที่กายใจจริง
มีแต่อาการดูถูกคนที่ไม่รู้จักธรรมะขั้นสูงเท่าตน
แล้วก็ดูถูกว่าทานกับศีลเป็นเพียงบุญขั้นต่ำ
ใจจริงตระหนี่ถี่เหนียว แล้วสำคัญผิดคิดว่าไม่เป็นไร
เกิดใหม่ต้องฐานะดีด้วยบุญขั้นสูงสุดอยู่แล้ว
แถมผิดศีลบางข้อหรือหลายข้อตามอำเภอใจ
แล้วสำคัญผิดคิดว่าไม่เป็นไร
ยังไงก็รอดจากนรกด้วยบุญขั้นสูงสุดอยู่แล้ว
แบบนี้ยิ่งมีโทษหนัก
เพราะจิตมีแต่ปัญญาแบบคิดเอาหน้าเอาตา
สะสมอัตตาเข้าตน
ไม่ได้มีปัญญาในทางสละออกแบบพุทธ
หรือมีแต่ความฉลาดหาข้ออ้างดีๆในการทำผิด
ไม่ได้มีความฉลาดในการฟอกจิตให้ขาวจริง
จึงไม่คู่ควรกับหน้าตาและฐานะอันงาม
เกิดใหม่อาจเฉลียวฉลาดในทางทำตนให้เป็นทุกข์
แล้วก็มีบุคลิกลักษณะอันน่ารังเกียจ
เพราะยิ่งภาพลักษณ์สูงแต่ทำตัวต่ำ
ผลยิ่งอัปลักษณ์ เห็นแล้วชวนคลื่นเหียนเป็นทวีคูณ
แต่หากเจริญสติ เกิดสติแบบที่เป็นปัญญาจริงๆ
จะรวมเอาบุญทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน
สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
สติเหมือนรอยเท้าช้าง
ที่รวมรอยเท้าสัตว์เล็กใหญ่ไว้ได้ในรอยเดียว
กล่าวคือ เมื่อสติเจริญขึ้น มีจิตสว่างเป็นกุศลจริง
ก็ย่อมมีน้ำใจ คิดในทางเกื้อกูล
และมีความสะอาดใส คิดในทางห้ามใจไม่ก่อบาป
พูดง่ายๆ เมื่อยังสติของจริงให้เจริญขึ้นเพียงหนึ่งเดียว
ผลย่อมเกิดขึ้นแบบเหมาหมด
ถ้ายังต้องเกิดอีก ก็จะเกิดแบบห่างไกลจากทุกข์
และใกล้ความเป็นบรมสุขแค่เอื้อม!

ทุกคนกำลังต่อสู้กับปัญหาของเขา โดยที่เราอาจไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร
ดังนั้น มีน้ำใจ เห็นใจ และให้อภัย
ยิ่งเราเข้าใจเรื่องนี้เร็วเท่าไร เราจะมีความสุขเร็วขึ้นเท่านั้น..

ตอนโดนกวนโมโห
หรือเจอแกล้งตีรวน
ทำเป็นพูดไม่รู้เรื่อง
หรือแกล้งพูดหาเรื่อง
ปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้นทันทีกับมนุษย์คนหนึ่ง
คือโกรธจี๊ดเลือดขึ้นหน้า
พูดง่ายๆคือพอเจอชวนทะเลาะ
คนทั่วไปจะทะเลาะตอบทันที
ไม่อยากยับยั้งชั่งใจกัน
โลกเรามีคนกวนประสาทอยู่มาก
แทบจะฝึกฝนกันเป็นวิทยายุทธทีเดียว
บางคนปักหลักตั้งมั่น
ไม่สนว่าคุณจะรับมืออย่างไร
ยังไงเขาก็พอใจจะเดินหน้ากวนโอ๊ยต่ออยู่ดี
บางทีดีด้วยยิ่งเอาใหญ่
เห็นคุณเป็นเป้านิ่งให้โจมตีเอามันเสียอีก
พุทธวิธีโต้ตอบกับคนพาล
ไม่ใช่ด้วยการพูดกันไปพูดกันมาเสมอไป
อย่างเช่นที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสกะพระอานนท์ว่า
หากท่านเห็นว่าไม่ได้ตั้งใจมาคุยกันด้วยเหตุผล
คืออีกฝ่ายไม่คิดแต่แรกว่าจะคุยให้รู้เรื่อง
ท่านก็จะไม่ตรัสตอบอะไรเลย เฉยเงียบเสีย
แต่หากคุณจำเป็นต้องคุยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อาจเพราะเป็นเรื่องงาน
หรือเพราะเป็นเรื่องสำคัญใดๆ
ก็ขอให้ทำไว้ในใจว่า
สิ่งแรกที่เขาคาดหมายจะเห็นจากคุณ
คืออาการฉุนกึก โกรธตอบ
หรือไม่ก็อาการนิ่งหงอ ยอมให้
แต่หากเขาไม่รู้สึกถึงสองอารมณ์นี้
กลับสัมผัสถึงอารมณ์ที่ยังเย็นนิ่ง
คงที่ และมีพลังสติดีๆ
ใจเขาจะสะดุด
อย่างน้อยก็เพราะผิดความคาดหมายที่ตั้งไว้แต่แรก
ขอให้จำไว้ว่า
คนเราเมื่อผิดคาด
ตั้งใจทำร้ายจิตใจใคร
แล้วกลายเป็นได้ความรู้สึกดีๆตอบ
อกุศลธรรมในเขาจะชะงักตัว
และจิตสำนึกดีๆจะเกิดขึ้นแทน
อย่างน้อยก็ชั่วขณะหนึ่ง
โจทย์สำคัญคือทำอย่างไร
ใจจะดีได้จริงแบบด่วนๆ
ไม่ใช่แกล้งทำเป็นดีให้เขาจับได้
แต่ต้องดีจริงๆให้เขารู้สึกชัด
ประการแรกอย่ารีบสวนคำพูดออกไปทันใด
ให้หายใจช้าลงครึ่งหนึ่ง แต่ยาวขึ้นเป็นสองเท่า
ด้วยลมหายใจที่ต่างไปเช่นนั้น
คุณจะเกิดความสุขกว่าปกติ
อย่างน้อยก็มากพอ
ที่จะสยบความคิดพลุ่งพล่านในหัวตัวเองลง
และเพียงด้วยความสุขสงบที่เกิดขึ้น
คุณจะพบว่าความคิดในหัวของตัวเองแปรไป
ในทางที่ดีขึ้นเช่นกัน
เมื่อใจแตกต่าง และความคิดต่าง
คุณจะรู้สึกถึงความต่างระหว่างใจเขากับใจคุณ
ซึ่งหากแตกต่างอย่างชัดเจนพอ
ก็อาจเกิดประสบการณ์ทางจิตชนิดหนึ่ง
คือ รู้ว่าจะเอาใจดีๆของตัวเอง
ไปล้างใจเสียๆของเขาได้อย่างไร
ไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้ความนุ่มนวล
มาละลายความกระด้าง
ไม่มีอะไรมากไปกว่าการยกสำนึกดีๆ
ขึ้นมาอยู่เหนือความไร้สำนึกดิบๆ
อีกทางลัดง่ายๆ
คุณลองนึกถึงความจริงที่พระพุทธเจ้า
สยบช้างบ้าที่ถูกปล่อยให้พุ่งเข้าใส่พระองค์
ด้วยกำลังพระทัยอันเปี่ยมด้วยความกรุณา
ไม่ใช่ด้วยการตรัสกะมันด้วยเหตุผลกลใด
และแค่มันเจอกระแสเมตตาของพระองค์
มันก็หยุดหมอบศิโรราบต่อเบื้องพระพักตร์แล้ว
เพียงนึกถึงความจริงนี้
ใจคุณอาจสงบลงได้อย่างประหลาด
คำพูด มีไว้แค่โต้ตอบให้เข้าใจ
แต่ตัวจูนจิตจูนใจคนให้ต่างไปได้จริงๆ
คืออารมณ์ดีๆ ในสถานการณ์แย่ๆ
แค่เรียนรู้ความจริงนี้ให้กระจ่าง
คุณจะมีอาวุธไว้ใช้
ปราบมารในตนและคนอื่นไปจนชั่วชีวิต!

จะให้คนอื่นคิดเหมือนเรา
มองเห็น..เหมือนเรา ทุกคนคงเป็นไปไม่ได้
เหรียญ...ยังมีสองด้าน
ต่างคนต่างมุมมอง...สิ่งที่เห็นย่อมต่างกันเสมอ

เขาพูด........ให้คิดบวก
เขาติ............ให้คิดใหม่
เขาใช้.........ให้ทำไป
เขาให้.........ให้ขอบคุณ
เขาดี............ให้ดีต่อ
เขาขอ.........ให้ให้เขา
เขาบ่น.........ให้ทนเอา
เขาเขลา......ให้ตักเตือน
เขากลุ้ม.......ให้เราปลอบ
เขาโกรธ....ให้เราเฉย
เขาด่า..........ให้เดินเลย
เขาเฉย........เพราะเราเย็น
สงบใจเขาได้ ก็ต้อง " สงบใจเราให้เป็น " เหมือนกัน

ความคิดเป็นสิ่งวิเศษ จงคิดแต่สิ่งดีงาม เพราะผลตอบแทนที่ได้รับ จะงดงามเช่นเดียวกัน...
ตักบาตรเทโว...

วันนี้ วันพระ...

บางคน...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า
พรุ่งนี้จะเอาเงินที่ไหน ให้ลูกไปโรงเรียน
บางคน...ไม่เคยรู้เลยว่า
รสชาติการนอนหลับบนเตียงนุ่มๆในห้องแอร์มันเป็นยังไง
บางคน...ลูกร้องอยากกินไก่KFC ยังติดลูกมาเป็นปีๆ
ส่วนบางคน...ไม่ต้องทำอะไร
มีหน้าทีเรียนอย่างเดียว พ่อแม่ส่งเงินให้ใช้
กลับโพสต์ลงเฟสบุ๊คว่า....เรียนเหนื่อยจัง
บางคน...พ่อแม่ปูทางประเคนให้ทุกอย่าง
กลับบ่นว่าชีวิตทำไมมันยากเย็นขนาดนี้
บางคน...นั่งทำงานในห้องแอร์แท้ๆ
แต่บ่นทุกครั้งที่เจอว่า....งานหนักฉิบหาย
เด็กบางคนสมัยนี้ แค่แบตโทรศัพท์จะหมด
ก็เหมือนจะขาดใจตาย
ไม่มีwifi.....ชีวิตเหมือนตายไปแล้วครึ่งตัว!
ลองหันไปรอบตัวคุณดูครับ
มีคนที่เขาลำบากกว่าเราเยอะ
มีคนที่เขาทุกข์กว่าเราเยอะ
มีคนที่เขาต้นทุนต่ำจนติดลบกว่าเราอีกมากมาย
ขับรถเก๋งไปมหาลัย นอนห้องแอร์เรียนห้องแอร์
แล้วโพสต์ลงเฟสบุ๊คว่าเรียนเหนื่อย
มันฟ้องว่าน้อง...กระจอกขนาดไหน
ทำงานในห้องแอร์แล้วบ่นว่าชีวิตแสนแย่
มันคือการดูถูกตัวเองอย่างรุนแรง
เราบ่นว่าชีวิตเราไม่ดี...แล้วคนเหล่านี้ จะมีอะไรให้บ่น?
จงจำไว้ว่าในขณะที่คุณไม่พอใจชีวิตตัวเอง
มีคนอีกไม่น้อย อยากมีชีวิตแบบคุณ!
สุขได้ ถ้ารู้ว่า อันไหนควรถืออันไหนควรวาง
อันไหนควรคิด อันไหนไม่ควรคิด 🤔
CR. ขอบคุณเจ้าของภาพ และคนในภาพ
(ไม่มีเจตนาทำให้คนในภาพเสื่อมเสียเชื่อเสียง)
ก๊อบจากเฟสใครไม่รู้มาโพสให้ได้อ่านกัน

สิ่งที่ควรทำตามกันคือความดี ไม่ใช่ความเลว:)
cr : อ.จตุพล ชมภูนิช

ถาม -- การตบยุงถือเป็นการผิดศีลไหม และจะขัดขวางการเจริญสติเพียงใด?
ดังตฤณ :
นี่เป็นคำถามที่ผมได้รับบ่อยที่สุด
และคิดว่าจะตอบได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อผู้ถาม
เป็นนักเจริญสติซึ่งใจหวังความหลุดพ้น
จากกองทุกข์กองกิเลสทั้งปวงเป็นหลัก
เรื่องตบยุงนี่นะครับ
แทนที่จะแค่คิดว่าบาปหรือไม่บาป
ผมอยากให้คุณมองเป็นภาพใหญ่ภาพรวมไปเลยว่า
เรากำลังอยู่ในจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่ง
นับตั้งแต่ระดับกาแล็กซีชนกัน
ดวงดาวชนกัน เมฆชนกัน
เครื่องบินชนกัน รถไฟชนกัน รถยนต์ชนกัน
คนชนกัน เรื่อยลงไปจนถึงระดับอะตอมชนกัน
นี่คือจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่ง
ตราบเท่าที่คุณยังอาศัยอยู่ในจักรวาลนี้
อย่างไรคุณก็หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งไปไม่พ้น
เพราะมันคือธรรมชาติขั้นพื้นฐานที่มีมาแต่ดั้งเดิม
สิ่งมีชีวิตกระทบกระทั่งสิ่งมีชีวิต
ด้วยรูปแบบที่พิสดาร
กว่าการกระทบกระทั่งของสิ่งไร้ชีวิต
และรูปแบบของการกระทบกระทั่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ
การรบกวนให้รำคาญกัน ทำให้เจ็บใจกัน
หรือกระทั่งทำให้แค้นแน่นอกขนาดคิดลงมือประหัตประหารกัน
จิตของสิ่งมีชีวิตต่างๆ
ได้เสวยภพแห่งการมีภาวะอะไรอย่างหนึ่ง
ก็ด้วยการจองเวรกันไปจองเวรกันมา
อยากกระทบกระทั่งกันไม่เลิกรานี่เอง
คุณถูกยุงเบียดเบียน
แล้วยุงก็เหมือนเป็นสัตว์ตัวจ้อยไร้ค่า
ตบให้ตายๆไปเสียก็ไม่เห็นจะผิดแปลก
แต่เรื่องของเรื่องไม่ได้อยู่ที่ค่าของชีวิตยุง
เรื่องของเรื่องอยู่ที่
คุณมีเจตนาฆ่า พยายามฆ่า และฆ่าสิ่งมีชีวิตสำเร็จ
เมื่อยังมีความยินดีในการฆ่า
ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยินดี
วนเวียนอยู่ในวงจรของการผลัดกันฆ่า
ต่อเมื่อหมดความไยดีในการฆ่าอย่างไร้เงื่อนไข
จึงจะได้ชื่อว่าเป็น 'ผู้อโหสิ'
และพร้อมจะสละสิทธิ์ในการ
เป็นผู้อยู่ร่วมจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่งเสียที
ลองดูปาฏิหาริย์
ของการไม่คิดเบียดเบียนกันและกันเถิดครับ
คุณไม่ตบยุง ยุงก็ไม่กัดคุณ
หรือถึงกัดก็กัดน้อย
ยิ่งถ้าหากเจริญสติได้จนถึงภาวะหนึ่ง
ที่จิตรินเมตตาออกมาเอง
ก็เหมือนทุกที่ที่คุณอยู่ แทบปลอดจากการรบกวน
จากสิ่งมีชีวิตตัวน้อยเหล่านั้นอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
ปาฏิหาริย์ทางธรรมชาติที่กล่าวข้างต้น
ไม่ใช่ทำกันวันสองวันนะครับ
แต่ต้องพิสูจน์ใจกันเป็นเดือนเป็นปี
กระทั่งธรรมชาติแน่ใจแล้วว่า
คุณอยากออกจากวัฏฏะแห่งการเบียดเบียนแน่ๆ
ปาฏิหาริย์แห่งชีวิตประจำวันของผู้ทรงศีลจึงแสดงตัว
ตรงข้าม คงเห็นกันนะครับว่า
ยิ่งมีจิตประทุษร้ายมาก คิดฆ่ามากๆ
ก็จะยิ่งถูกรบกวนมากเป็นเงาตามตัว
เปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว
ในที่สุดคุณจะพบกับความจริงว่า
โลกนี้แต่ละคนมีที่ยืนเฉพาะตนอยู่ที่หนึ่ง
เป็นแนวโน้มว่าจะต้องกระทบกระทั่ง
หรือเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่นมากน้อยเพียงใด
และที่ยืนนั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่น
มันคือจิตของแต่ละคนที่เป็นผู้มีศีลหรือไร้ศีลนั่นเอง
จิตของผู้มีศีล
ย่อมสะอาดปราศจากความเดือดเนื้อร้อนใจ
เมื่อตั้งมั่นแล้ว
จะรู้สึกเหมือนยืนอยู่ในเขตปลอดภัยตลอดเวลา
พร้อมจะเจริญสติได้อย่างมีกำลังและความมั่นใจ
ส่วนจิตของผู้มีศีลด่างพร้อยหรือขาดทะลุ
ย่อมเต็มไปด้วยความกระวนกระวายเดือดเนื้อร้อนใจ
เมื่อตั้งมั่นแล้ว
ย่อมรู้สึกเหมือนต้องวิ่งพล่าน
อยู่ในเขตอันตรายทั้งวันทั้งคืน
จะเอาเวลาที่ไหนไปทำความสงบ
ให้จิตได้พอจะเจริญสติไหวเล่า?
________________
Cr.ดังตฤณ

คนรัก
จะนำมาให้คุณทั้งสุขทั้งทุกข์
แต่บุญ
จะนำมาให้คุณแต่ความสุขอย่างเดียว
แม้คุณสมใจได้อยู่กับบุคคล
อันเป็นที่รักในวันนี้
คุณก็ไม่รู้เลยว่าวันไหน
จะมีเงื่อนไขหรือปัจจัยใด
มาพรากเขาไป
และวันใดบุคคลอันเป็น
ที่รักถูกพรากไป
โดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
วันนั้นเอง
ที่ต้องตระหนัก
ด้วยความตระหนักว่า
"คุณไม่เคยมีสิทธิ์อยู่กับใครจริง.."
คุณต้องอยู่กับตัวเองตลอดไป
ตราบเท่าที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด
ฉะนั้น
ถ้าเตรียมสร้างบุญให้ตัวเอง
คุณก็จะมีความสุขอยู่กับตัวเอง
ในทุกวาระสุดท้าย
ไม่ว่าจะในชาตินี้
หรือในชาติไหน
กล่าวโดยรวมคือ
มีแต่บุญเท่านั้น
ที่จะเป็น "ที่พึ่งอย่างแท้จริง"
ให้กับตัวคุณ
Cr.ดังตฤณ

2 สิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตเรามีความสุขนั่นคือ
อภัยให้กับทุกคน และปล่อยวางกับทุกสิ่ง
เพราะชีวิตคือการเดินทาง
ต่อให้ร้องไห้เดินมันก็ต้องเดิน
ต้นไม้ที่ตายไปแล้วรดน้ำแค่ไหนก็ไม่โต
อดีตที่ผ่านไปแล้วก็เช่นกัน..

ขนาด.. '' นาฬิกา '' ที่ตายแล้ว
ยังบอกเวลา.. ได้ตรงสองครั้งในหนึ่งวัน
ไม่มีเรื่องใด .. ที่เลวร้ายไปเสียหมด
การมองโลก.. '' ในแง่ดี '' จึงจำเป็นมาก
ในการที่จะดำเนินชีวิต .. ให้มี '' ความสุข ''
เพราะ .. คนที่มี '' ความสุข ''
ไม่ใช่.. คนที่มีแต่สถานการณ์ดีๆ อยู่รอบตัว
แต่.. เป็นคนที่มี '' ทัศนคติดีดี ''
ยามมี.. สถานการณ์แย่ๆ ต่างหาก ...



ความคิดไม่อาจขจัดได้ด้วยการคิด เพราะการคิดก่อให้เกิดความคิด แม้คิดจะไม่คิด ก็ยังเป็นความคิด อะไรคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงและดำรงรักษา ความคิดในอดีต และอนาคตไว้เล่า ถ้าไม่ใช่ความคิด...เลิกให้ค่า สักแต่ ว่าเห็นว่ารู้ ทําได้ไหมละ …. ภาพมันขยับ หรือ ใจเราที่ขยับ ?
:
:
:
:
:
:
ใจเราขยับ
เพราะเรามัวไปรู้อยู่กับภาพ เราจึงไม่เห็นความจริง การปฏิบัติธรรมจึงต้องรู้มาอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ไปรู้ภายนอกหรือรู้สิ่งอื่น เพราะใจเป็นตัวขยับ ไม่ใช่ภาพขยับ ภพชาติเกิดที่ใจ ใจขยับเห็นกิริยาของใจ แค่เห็นแค่รู้ทันใจ มันดับ ดับที่ใจ การขยับ หรือการส่งออกของใจ มันจบ "หมดใจ"

คลิปนี้ขอมอบให้กับคนที่กำลังเสียใจกับการผิดหวังในชีวิต พุทธวิธีคลายโศก
พุทธวิธีระงับความโศก
เขียนโดย...พระอัครเดช ญาณเตโช
วัดฉาง ต.บางปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี
ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เมื่อเริ่มต้นแล้ว ย่อมมีการสิ้นสุด ดังคำภาษิตจีนที่ว่า มิมีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา ทุกคนที่เกิดมาแล้วก็เช่นกัน จะต้องการหรือไม่
ต้องการ ก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งของ หรือบุคคลที่รักที่ชอบใจเป็นธรรมดา ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงหรือหน่วงเหนี่ยวสิ่งซึ่งจะต้องเป็นไปมิให้เป็นไป ชีวิตนี้มีความพลัดพราก
เป็นที่สุด
เมื่อต้องพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รัก ความโศกก็เกิดขึ้น ยิ่งรักมากก็ยิ่งโศกมาก ความโศกย่อมทิ่มแทงหัวใจของผู้ที่เศร้าโศกดุจถูกลูกศรอาบยาพิษเจาะ และ
ความโศกย่อมแผดเผาจิตใจอย่างแรงกล้าดุจหลาวเหล็กถูกไฟเผาผลาญอยู่ ผู้ที่ถูกความโศกครอบงำ ย่อมจะเสียใจร้องไห้น้ำตาไหล คร่ำครวญ รำพัน ร่ำไร บ่นเพ้อ จนคอ
ริมฝีปากและเพดานแห้งผาก ย่อมได้รับ ทุกข์อันสาหัส ทอดอาลัยในชีวิต ละทิ้งการงาน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ที่เศร้าโศก เสียใจจนเจ็บไข้หรือเสียชีวิต หรือฆ่าตัวตายก็มี ที่เสียใจ
จนเป็นบ้าไปก็มี ที่ซึมเศร้า หงอยเหงา จมอยู่กับความหลังเหมือนคนไร้อนาคตหมดหวังในชีวิตก็มี
การปล่อยให้ความโศกเข้าครอบงำ ย่อมทำให้เกิดโทษมากมายดังกล่าว จึงจำเป็นต้องศึกษาหาวิธีการต่างๆ เพื่อระงับหรือคลายความโศกลงบ้าง สำหรับ ชาวพุทธก็มีวิธี
ระงับหรือคลายความโศก โดยนำคำสอนหรืออุบาย ที่พระพุทธเจ้า และพระสาวก ทรงใช้สอนเตือนสติหรือปลอบใจ ผู้ที่ทุกข์โศกให้หายทุกข์คลายโศกมาแล้ว มาเป็นแนวทางใน
การปฏิบัติ ในที่นี้จะเรียกคำสอนหรืออุบาย เหล่านี้ว่า พุทธวิธีคลายโศก ซึ่งมีรูปแบบต่างๆ กันดังนี้
คลิปนี้ขอมอบให้กับคนที่กำลังเสียใจกับการผิดหวังในชีวิต พุทธวิธีคลายโศก พุทธวิธีระงับความโศก เขียนโดย...พระอัครเดช ญาณเตโช วัดฉาง ต.บางปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีอ.....

เพ่งขันธ์ ยังไม่เป็นวิปัสสนา
หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นก็เอาแค่แยกขันธ์ก็พอแล้วนะ แยกขันธ์ ดูขันธ์มันทำงานไป ดูรูปทั้งตัวแหละไม่ต้องไปแยกมันมาก ยุ่ง เห็นร่างกายทั้งตัวแหละ ไม่ใช่ตัวเรา ดูเวทนาก็เห็นเวทนาไม่ใช่ตัวเรา ดูสังขารก็เห็นสังขารไม่ใช่เรา ดูจิตใจก็เห็นเกิดดับอยู่ตามทวารทั้ง ๖ เป็นวิญญาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เกิดดับ
ดูไปๆนะ พอแยกขันธ์ได้ก็จะเห็นว่า ไม่มีตัวเราในแต่ละขันธ์ มีแต่สภาวธรรมที่มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในขันธ์ทั้งหลาย
ไปฝึกเอานะ เพราะฉะนั้นคนไหนที่ยังรู้ตัวไม่ได้ ก็ฝึกรู้สึกตัวให้ได้ คนไหนรู้สึกตัวได้แล้ว ฝึกแยกขันธ์ พอแยกขันธ์ได้แล้วก็มาเรียนเรื่องวิปัสสนาได้ แยกขันธ์ได้ยังไม่ขึ้นวิปัสสนานะ ต้องเห็นไตรลักษณ์ของแต่ละขันธ์ จึงจะเป็นวิปัสสนา หลวงพ่อบอกแล้วนะว่าต้องเห็นไตรลักษณ์จึงจะเป็นวิปัสสนา ไม่ใช่เห็นขันธ์จึงจะเป็นวิปัสสนา ยังไม่ถึง การที่เราเห็นขันธ์ เราเพ่งอยู่ที่ขันธ์ เป็นสมถะนะ
เพราะฉะนั้นกว่าจะขึ้นวิปัสสนาไม่ใช่ง่ายนะ บางคนไม่เข้าใจ ไปเพ่งขันธ์อยู่เรื่อย ไปเพ่งท้อง ดูท้องพองยุบแล้วไปเพ่งอยู่ที่ท้องแล้วบอกว่าทำวิปัสสนา ไม่เป็นหรอก ต้องเรียนอีก
ภาพ วัดหน้าพระเมรุ จ.อยุธยา
ชีวิตของเราจะดีหรือไม่ จะสุขหรือจะทุกข์ขึ้นอยู่กับวิธีคิดของเรา ถ้าเราคิดเป็น ชีวิตก็ร่มเย็นเป็นสุข ถ้าคิดไม่เป็น ชีวิตก็เข้าสู่วงจรของความทุกข์


#แจ้งข่าว #เพื่อเชิญชวนร่วมทำบุญสร้างกุฏิสงฆ์
#กุฏิไม้ จำนวน 5 หลัง
ใช้ปัจจัยประมาณ หลังละ 10,000 บาท
รวมประมาณ 50,000 บาท
#เพื่อรองรับการขอขึ้นทะเบียนวัดให้ถูกต้องตามกฏหมาย
#จึงขอเชิญชวนท่านพี่น้องบ้านเรา #ช่วยกันพัฒนา
#วัดบ้านเราให้มีความเจริญ #คนละสิบ #คนละร้อย
#เปิดรับบริจาค #ทุกวัน
#ร่วมบริจาคได้ที่ #วัดโนนตลาดกี่
โทร 095-118-9408. พระครูปลัดเชิดชัยถาวโร
บัชชีธนาคาร กสิกรไทย สาขาชุมพวง
เลขที่ 011-3-44949-7
ชื่อบัชชี พระครูปลัดเชิดชัยกองแก้ว
ท่านใดร่วมบุญ กรุณาส่งสลิป ด้วย สาธุๆ
จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ
จิตปรุงกิเลส คือ การที่จิตบังคับให้กาย วาจา ใจ กระทําสิ่งภายนอก ให้มี ให้เป็น ให้เลว ให้เกิดวิบากได้ แล้วยึดติดอยู่ว่า นั่นเป็นตัว นั่นเป็นตน ของเรา ของเขา, กิเลสปรุงจิต คือการที่สิ่งภายนอกเข้ามาทําให้จิตเป็นไปตามอํานาจของมัน แล้วยึดว่ามีตัว มีตนอยู่ สําคัญผิดจากความเป็นจริงอยู่รํ่าไป...
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
หากวันหนึ่งคนที่เรารักกลายเป็นคนที่ไม่รักเรา เขาหักหลัง ทำร้ายและปล่อยให้ทุกข์เพียงลำพัง อย่าได้คิดว่าทำไมต้องเกิดกับเรา อย่าได้ถามว่าจะทำอย่างไรจะกลับไปมีความสุขเหมือนเดิม เำราะความจริงก็คือความจริงที่ว่า มีแต่คนที่ไม่รักเราเท่านั้นละที่ทำร้ายคนที่รักได้ลงคอ
ลองเปลี่ยนความคิดที่ว่าเมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนว่าเราได้ชดใช้กรรม หมดเวรหมดกรรมแล้ว เราจะเลือกทุกข์ หรือจะทนอยู่เพราะให้กรรมนั้นยาวนาน หรือเลือกที่จะปล่อยว่างเรืองที่ทำให้ทุกข์และคนที่ทำให้เราแล้วทุกข์ที่ว่าหนักก็จะหมดไป จากนั้นคือการเรียนรู้ที่จะให้อภัยคนที่ให้เราทุกข์ เพราะนอกจะไม่สร้างกรรมเมื่อมาทำกรรมให้กันอีกแล้ว ยังทำให้ใจผู้ที่ให้อภัยมีความสุขได้
เราพิจารณาให้รู้ชัดเจน และปล่อยวางไว้ตามความจริงของมัน จะสุขก็ให้รู้ตามความจริงของมัน สุขเกิดขึ้น สุขดับไป สุขเป็นไตรลักษณ์ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ดับไป ทุกข์เป็นไตรลักษณ์ รูปเป็นไตรลักษณ์ สัญญาเป็นไตรลักษณ์ สังขารเป็นไตรลักษณ์ วิญญาณเป็น
ไตรลักษณ์ ให้เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นความจริงอันหนึ่งๆ รุ้แล้ว ถอนตัวเข้ามา อยู่เป็นอิสระ อย่าไปยุ่ง อย่าไปแบก ไปหาม นี่เรียกว่า "ปัญญาค้นดูให้เห็นชัดเจน"
เมื่อพิจารณาสิ่งเหล่านี้รอบตัวหมดแล้ว มันไม่ไปไหน สติปัญญาจะหมุนติ้วเข้าไปสู่จิต ตัวลุ่มหลงที่กลมกลืนกับ "อวิชชา" นั่นแหละ นั่นแล บ่อแห่ง "อวิชชา"แท้ บ่อแห่งความเกิดแท้ บ่อแห่งความเปลี่ยนเสื้อ เปลียนแสง เปลี่ยนภพ เปลี่ยนชาติ เปลี่ยนอยู่ที่ตรง "จิต" นั่นแหละ
เอ้า สติปัญญา ค้นเข้าไป ทำลายมัน รังของ "อวิชชา" มันฝังอยู่ในจิตนี้ เมื่อแยกออกได้หมดแล้วด้วยสติปัญญา ทางฝ่ายขันธ์ก็ย้อนเข้าไปถึง "อวิชชา ปัจจะยา สังขารา" อวิชชา ปัจจะยา จริงๆ มันมาจากไหน ใครเป็นอวิชชา? ถ้าไม่ใช่ผู้ที่รู้ ซึ่งเต็มไปด้วยความหลงฝังอยู่ภายในตัวนั้น ปัญญาสอดแทรกเข้าไป พิจารณาเข้าไปให้เห็นธรรมชาตินี้ คือ อะไรกันแน่? มันก็ไตรลักษณ์ดีๆ นั่นเอง พวกกิเลสตัณหา อวิชชาจะเป็นอะไรไป ให้พิจารณาตรงนี้ ตอนนี้เรียกว่า พิจารณา "จิต" ให้เป็นไตรลักษณ์ เช่นเดียวกันไมผิด ถ้าเราาถือว่าเป็นตนแล้ว ก็เท่ากับเรากินปลาทั้งก้าง หรือกินไก่ทั้งกระดูก กินข้าวทั้งเปลือก โดยไม่เลือกเฟ้น จะเป็นอันตรายแก่ใครเล่า คิดให้ดีก่อนจะกลืนลงไป ไม่งั้นตาย เพราะก้างและกระดูกขวางคอ
ที่ว่าจิตเป็นไตรลักษณ์ตอนนี้ คือ จิตมีส่ิงที่เป็นไตรลักษณ์ครอบงำอยู่นั่นเอง เราจะถือว่าจิตเป็นตนขณะนั้นไมได้ ต้องพิจารณาตรงนั้น ให้เห็นความจริงของไตรลักษณ์ ซึ่งมีอยู่ภายในจิต
เราเห็นแต่ไตรลักษณ์ที่มีอยู่ตามรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่เราต้องการเห็นไตรลักษณ์อันละเอียดแห่ง "สมมุติ" ฝังอยู่ภายในจิต จึงต้องพิจารณา "จิต" เช่นเดียวกับพิจารณาอาการทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เป็นไตรลักษณ์ ดูให้เห็นจริงด้วยสติปัญญา สิ่งที่มันไม่อาจทนทานอยู่ได้ ด้วยอำนาจของปัญญาผู้ทำลาย มันจะสลายตัวลงไป คือจะแตกกระจายลงไป สิ่งที่เป็นความจริงโดยธรรมชาติของตัว สิ่งนั้นจะคงอยู่ เช่น "ผู้รู้"
เมือ่สิ่งจอมปลอมทั้งหลายสลายตัวลงไปแล้ว ผู้รู้นี้จะทรงตัวอยู่ กลายเป็นผู้รู้ที่บริสุทธิ์ขึ้นมา ผู้นี้ ไม่ฉิบหาย ผู้นี้ไม่เป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ก็หมดปัญหาในขณะที่กิเลสอาสวะทั้งหมดสิ้นสุดไปจากใจ คำว่า "ไตรลักษณ์" ภายในใจจึงหมดไป เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ภายนอกก็ตาม ภายในก็ตาม รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ย่อมหมดปัญหาไป เมื่อ "อวิชชา" สิ้นไปจากใจโดยเด็ดขาดแล้ว
เมื่อจิตพ้นจาก "สมมุติ" แล้ว อะไรๆ ก็เป็นความจริงไปตามๆกัน ไม่มีอะไรเป็นปัญหาตอ่ไปอีก เพราะใจไม่สร้างปัญหาให้แก่ตัวเอง เนื่องจากสติปัญญารู้รอบขอบขัดแล้ว
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"จงพยายามเปลี่ยนเสื้อให้ทันสมัยก่อนตาย"
วิดีโอทั้งหมด (แสดงผลทั้งหมด)
ประเภท
เบอร์โทรศัพท์
เว็บไซต์
ที่อยู่
Chum Phuang
30270