ตามรอยนิมิต โดย ครูมณฑ์ หางดง

เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงจากกา?

รอยที่21เล่ม2 ตอน ยามดวงตกอะไรก็เกิดขึ้นได้ 20/11/2022

https://www.youtube.com/watch?v=OJ0FjkPje0E

รอยที่21เล่ม2 ตอน ยามดวงตกอะไรก็เกิดขึ้นได้ ตามรอยนิมิต โดย ครูมณฑ์ หางดงสนใจหนังสือติดต่อได้ที่ [email protected]https://www.facebook.com/tamroilnimit/

รอยที่ 20เล่ม2 ตอน ตัวเราสำคัญที่สุด 18/11/2022

https://youtu.be/8pj5U_nJMfk

รอยที่ 20เล่ม2 ตอน ตัวเราสำคัญที่สุด ตามรอยนิมิต โดย ครูมณฑ์ หางดงสนใจหนังสือติดต่อได้ที่ [email protected]https://www.facebook.com/

12/11/2022

WSxdauPuFk4https://youtu.be/WSxdauPuFk4

รอยที่18 เจ้ากรรม นายเวร 04/11/2022

ตามรอยนิมิต

รอยที่18 เจ้ากรรม นายเวร

23/10/2022
รอยที่17เพื่อนกันจนวันตาย 21/10/2022

https://youtu.be/RD6uB7KW5M4

รอยที่17เพื่อนกันจนวันตาย ตามรอยนิมิต โดย ครูมณฑ์ หางดงสนใจหนังสือติดต่อได้ที่ [email protected]https://www.facebook.com/tamroilnimit/

13/04/2022

สุขสันต์วันปีใหม่ไทยค่ะ

11/08/2020

ไอดีอ.มณฑ์

ก่อนตามรอยนิมิตร 06/08/2020

ก่อนตามรอยนิมิตร กดติดตามด้วยนะ

05/08/2020

โปรดติดตามเสียงอ่านตามรอยนิมิตเร็วๆนี้ค่ะ

31/05/2016

หนังสือ “ ตามรอยนิมิต ”
โดย ครูมณฑ์ หางดง
----------------------------------------------------------------------------
รอยที่เก้า ลางสังหรณ์.......ชนสิบล้อ

มีหนึ่งเหตุการณ์ที่ชวนใจหวิว ถือเป็นครั้งที่ดูสยดสยองอย่างยิ่ง เป็นช่วงที่ดิฉันกำลังเป็นครูฝึกสอนอยู่ วันนั้นยังจำได้ไม่ลืมเลย คือวันที่ 23 ต.ค. 2528 คณะครูและนักศึกษาฝึกสอนทุกคนต้องไปทำพิธีวางพวงมาลา เนื่องในวันปิยะมหาราช ที่ที่ว่าการอำเภอ ดิฉันและเพื่อนนักศึกษาฝึกสอนจึงจะไปร่วมงานนี้ด้วย โดยมีครูต่างโรงเรียนเพิ่งซื้อรถปิคอัพมาใหม่ อาสาเป็นคนขับรถไปส่งที่อำเภอในวันรุ่งขึ้น

“ พี่แต่งชุดนี้มาทำไม ” ดิฉันถามครูพี่เลี้ยงสาวด้วยอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเสียเลย ที่วันนี้เธอแต่งชุดขาวดำมา รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เป็นลางอีกแล้วหรือเปล่า

“ ยุ่งอะไรกับพี่เล่า พี่จะไว้ทุกข์ให้รัชกาลที่ 5 ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงความรำคาญ

มองดูรถกระบะป้ายแดงคันนั้นกับจำนวนคนแล้ว รู้สึกว่าคนจะมากกว่ารถนะ ดิฉันกับเพื่อนๆ 4 คน จึงขอไปกันเอง แต่คุณพี่เจ้าของรถไม่ยอม คะยั้นคะยอให้ไปด้วยกัน ระยะทางก็ไม่ไกล นั่งซ้อนๆกันไปก็ได้ พวกเราเลยจำใจต้องนั่งรถมาด้วยกัน รถกระบะคันนี้มีหลังคาคล้ายกับรถโดยสาร ครูพี่เลี้ยงผู้หญิงซึ่งตัวเล็กกว่าใคร นั่งซ้อนทับบนตักของดิฉัน รถแล่นได้เพียงหน่อยเดียว ด้วยความไม่ชำนาญของคุณพี่มือใหม่หัดขับ เท้าเกิดไปเหยียบเบรคกระทันหัน หน้าของเพื่อนคนหนึ่งไปกระแทกกับราวเหล็กข้างกระบะ เกิดรอยแดงช้ำขึ้นที่จมูก

“ จมูกหักไม่เป็นไร อย่าให้รถพังก็แล้วกัน ”

แน่ะ พูดจาเข้า ดิฉันไม่ขำด้วยกับการพูดจาติดตลกของเพื่อน มีลางสังหรณ์ซ่อนเงาอยู่ภายในใจ รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร จะบอกใครก็ไม่ได้เดี๋ยวจะว่าเราคิดมาก มันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น

รถวิ่งไปได้สักพัก ครูประจำท่านหนึ่งนำลูกอมมาแจกในรถ จนเหลือเม็ดสุดท้ายมาถึงครูรุ่นพี่ที่นั่งบนตักดิฉัน ด้วยความมีน้ำใจ จะแบ่งครึ่งหนึ่งให้ดิฉัน แต่ดิฉันปฏิเสธเนื่องจากนอยด์ไม่มีอารมณ์จะกินแล้ว

“ รังเกียจเหรอ ” ครูคนเดิมถามเหมือนน้อยใจ

“ ไม่หรอกพี่ พี่ทานเถอะ น้องไม่เป็นไร ” ความอึดอัดมันคับอก (เอายกออกก็ไม่ได้) ได้แต่นั่งหลับตานิ่ง จนจิตเริ่มเข้าสู่ภวังค์ ก็มีเสียงชายคนหนึ่งอันคุ้นหูมากระซิบข้างๆ

“ ลงจากรถคันนี้เสีย ลงจากรถคันนี้เสีย อันตรายๆ ”

ดิฉันสะดุ้งตกใจหลุดจากภวังค์ เหลียวมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นมีใครที่เป็นที่มาของเสียง เริ่มใจไม่ดี อยากจะลงจากรถ

“ พี่ น้องขอลงป้ายหน้าได้ไหม น้องจะต่อรถไปที่อำเภอเอง ” ดิฉันร้องบอกคุณพี่โชเฟอร์

“ พี่นั่งตักเธอนิดเดียว เธอทนไม่ได้ถึงกับจะลงจากรถเชียวหรอ ” ครูพี่เลี้ยงสาวพูดประชดใส่ดิฉัน

บอกตรงๆเลยค่ะว่า ตอนนั้นรู้สึกอึดอัดใจมาก แต่ไม่กล้าพูดหรือบอกใคร เพราะกลัวจะไม่มีใครเข้าใจดิฉัน ความตายมันมารอรับเราอยู่ข้างหน้าแท้ๆ แต่กลับบอกใครไม่ได้

“ ไม่นานแล้วน้อง อีกไม่กี่นาทีก็ถึง ทนอีกนิดนะ ”

ขอบคุณค่ะ ฮือ.... คุณพี่โชเฟอร์ผู้ใจดี มากด้วยน้ำใจ ทำเอาดิฉันอยากจะร้องไห้ ได้แต่เก็บงำอยู่ข้างใน ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ดิฉันจึงหลับตานิ่งต่อ ทำสมาธิอีกครั้ง ใจนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อร้อยปีตอนบวชชีพราหมณ์

“ โยมเอย ลูกเอย ชีวิตของเราเอาแน่ไม่ได้ เกิดมาแล้วต้องตาย ต้องใช้กรรมกันทุกคน เมื่อไหร่ที่รู้ตัวว่าจะตายก็อย่าตระหนก กำหนดจิตใจให้แน่วแน่ ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ไปสู่ภพภูมิที่ดีที่สงบนะ โยมนะ แล้วจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี สมใจปรารถนา ”

“ รถเสียหลักแล้ว ! ” หลายเสียงตะโกนก้องทั่วคันรถ ดิฉันยังคงหลับตานิ่ง คิดในใจว่าต้องตายแน่ๆ

“ ถ้าจะตายขอให้ลูกตายท่าสวยๆนะ ” ดิฉันนึกถึงภาพสิบล้อชนกันในข่าวแล้วรู้สึกสยอง แต่ทำใจให้นิ่งที่สุดในยามนั้น

ทันใดนั้นดิฉันเห็นดวงแก้วสีเหลืองเหมือนจีวรพระ ขนาดเท่าลูกปิงปองได้ลอยผ่านหายเข้าไประหว่างคิ้วของดิฉัน

“ หลวงพ่อช่วยลูกด้วย!!! ”

ดิฉันอุทานออกมาโดยอัตโนมัติ รู้สึกเหมือนตัวเบาหวิว ลอยไปไกลแสนไกล ระหว่างนั้นดิฉันไม่กล้าจะลืมตาเลย แล้วร่างดิฉันก็กลิ้งไปหลายตลบ ในใจนึกเป็นห่วงครูพี่เลี้ยงที่นั่งบนตักดิฉัน เธอหายไปไหนแล้ว

ทันทีที่ร่างหยุดนิ่ง ดิฉันได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกสลับกับเสียงร้องไห้ระงม ใครเจ็บใครตายดิฉันไม่อาจรู้ พอขยับร่างขึ้นได้ ก็ก้มมองสำรวจตัวเองพบแขนซ้ายถลอกเล็กน้อย ดิฉันลุกขึ้นนั่งแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ มองหาครูพี่เลี้ยงที่นึกถึง ตั้งใจจะช่วยเหลือถ้าเธอบาดเจ็บ และดิฉันก็พบร่างที่ใส่ชุดสีดำซึ่งดิฉันจำได้ดี คือร่างของครูพี่เลี้ยงนั่นเอง ดิฉันขยับตัวเข้าไปใกล้ร่างนั้นเพื่อจะช่วยเหลือ แต่ภาพที่เห็นทำเอาผง่ะ สยดสยองเป็นที่สุด ศรีษะของเธอขาด สมองกองอยู่ใกล้ๆ กลิ่นเลือดคาวคลุ้งไปทั่ว จนปัญญาที่จะช่วยอะไรได้ ดิฉันมองไปอีกด้านหนึ่ง พบคนแขน ขาขาด ร้องโอดโอยดังไปทั่ว เพื่อนๆดิฉันต่างได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งแขนหัก นอนสลบ แอดมิดเข้าโรงพยาบาลกันเป็นแถว ส่วนดิฉันกลับไม่เป็นอะไรเลย รอดตายมาได้อย่างไรกัน ดิฉันยังคงคิดวนเวียนอยู่ในหัว และถ้าครูพี่เลี้ยงไม่นั่งบนตักดิฉัน ดิฉันจะเป็นยังไง ลงเอยแบบครูพี่เลี้ยงไหม แล้วเสียงใครที่กระซิบอีกแล้ว ยังหาคำตอบไม่ได้

ชีวิตคนเรา ไม่มีอะไรแน่นอน วันนี้ยิ้ม พรุ่งนี้ร้องไห้ วันนี้สุข รุ่งขึ้นพบกับความตายอย่างน่าอนาถ ดิฉันอยากจะให้คุณผู้อ่าน มีสติกับปัจจุบัน และอย่าประมาทในชีวิต เร่งสะสมบุญ ความดี ไว้ให้มากๆในตอนที่เรายังมีชีวิต ณ ตอนนี้ ปัจจุบันนี้ ก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสได้ทำ แล้วต้องมาเข้าฝันญาติพี่น้องให้ช่วยทำบุญให้

“ บุญกุศลซื้อ – ขายไม่ได้ ถ้าอยากได้ก็ต้องทำเอาเอง ”

05/05/2016

หนังสือ “ ตามรอยนิมิต ”
โดย ครูมณฑ์ หางดง
----------------------------------------------------------------------------
รอยที่แปด แม่ตัวดี...(ทำแสบอีกแล้ว)


ในที่สุดความฝันก็เป็นจริงเสียที ดิฉันสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฏ สุราษฎร์ธานี โดยได้โควตานักกีฬาบาสเกตบอล ที่วิทยาลัยครูจะมีหอพักหญิงและหอพักชายแยกกัน ในวันรับน้องใหม่ เด็กหอทุกคนจะต้องไปตามฐานที่รุ่นพี่เตรียมไว้ แต่ละฐานนั้นสุดยอดมากค่ะ ทั้งลอดรั้วมดแดง กินไอติมยัดไส้ด้วยกะปิ พริกป่น โอ๊ย ! สารพัดฐานที่ต้องจดจำไปอีกนาน

แล้วมีฐานหนึ่งที่ต้องผ่านหอพักชาย ซึ่งมีรุ่นพี่ผู้ชายมาแจมด้วย ในฐานนี้จะมีเลือกขวัญใจชาวหอ รุ่นพี่ถามว่า

“ ผ่านมาทางนี้รู้ไหมหอพักนี้ ชื่อว่าอะไร ”

ทุกคนตอบพร้อมกันว่า

“ หอพักชายนันทพร ” รุ่นพี่จึงถามต่ออีกว่า

“ ในที่นี้มีใครชื่อ นันทพรบ้าง ”

ดิฉันยกมือขึ้น เพราะตอนนั้นชื่อนันทพรจริงๆ (เพิ่งเปลี่ยนในภายหลัง) รุ่นพี่บอกว่า เราได้ขวัญใจชาวหอชายแล้วคือ น้องนันทพร กลายเป็นดิฉันได้ไปโดยบังเอิญ ตลกดีค่ะ

พอถึงช่วงกลางคืน มีจัดงานรับขวัญน้องใหม่ ภายในงานมีการแสดงและเลี้ยงสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน ก่อนงานเลิกก็มีการคัดเลือกขวัญใจชาวหอหญิง โดยให้รุ่นพี่เป็นคนคัดเลือกลงคะแนน ผลปรากฏว่า ดิฉันได้รับเป็นขวัญใจชาวหออีกรางวัล ควบสองเลยทีนี้

ดิฉันเป็นนักบาสฯ นิสัยแก่นแก้ว วันๆอยู่แต่ในสนามฝึกซ้อม กลับหอพักเวลาค่ำแทบทุกวัน จริงๆแล้วดิฉันมาเรียนที่วิทยาลัยครูด้วยความผิดหวัง เพราะใจจริงอยากเรียนคณะทรัพยากรธรรมชาติ วาริชศาสตร์(เกี่ยวกับพืช) เลยทำให้ไม่ค่อยมีความสุขกับการเรียนที่นี่มากนัก เพียงแต่ต้องการเอาชนะและคิดว่าต้องทำได้ การเรียนพลศึกษาไม่สนุกอย่างที่คิดเลย ต้องลงเรียนภาคปฏิบัติแทบทุกวิชา วิ่งก็ไม่เคยทันเพื่อน วอลเล่ย์บอลก็โดนเพื่อนตบใส่ กลายเป็นบ่อน้ำมันในสนามตลอด แต่ด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้ เพื่อนทำได้เราก็ทำได้ ทุกการแข่งขันจะมีเพื่อนๆและรุ่นพี่ คอยเชียร์เป็นแรงใจให้ดิฉันตลอดมา ทำให้มีกำลังใจ รู้สึกมีความสุขมากขึ้น คำเรียก “แม่ตัวดี” ได้เป็นฉายาที่บรรดารุ่นพี่และเพื่อนๆ มักเรียกดิฉันเสมอ

ช่วงปีใหม่ในปีนั้น ชาวหอมักให้ของขวัญกันและกัน ดิฉันได้นำของขวัญไปมอบให้รุ่นพี่หลายๆคนเพื่อเป็นการตอบแทน เผอิญพี่คนหนึ่งไม่อยู่ในห้อง เข้าไปไม่พบใครเลย จึงเดินหาที่วางของขวัญ ขณะที่กำลังมองหาก็เหลือบไปเห็นกล่องสบู่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ด้วยใจที่คิดว่าอยากเซอร์ไพรส์ด้วยการจะนำของขวัญไปซ่อนในกล่องสบู่ แต่ปรากฏว่าข้างในกล่องสบู่มีเงินซ่อนอยู่ตั้ง 600 บาท

“ พี่เขาไม่น่าสะเพร่าเลย วางเงินไว้แบบนี้ได้อย่างไร ในห้องไม่มีใครอยู่เลย ประตูก็ไม่ล็อค เดี๋ยวเถอะ พวกคิดไม่ซื่อมาเห็นเข้า หยิบเอาไปแล้ว จะทำอย่างไร ”

ด้วยคิดหวังดีกลัวเงินพี่เค้าหาย จึงเก็บกล่องสบู่นั้นไว้ให้ ตั้งใจจะคืนให้ตอนเจอกัน หลังจากนั้นดิฉันก็ไปซ้อมกีฬาตามปกติและลืมเรื่องเงินนั้นเสียสนิท

ดิฉันแวะนั่งพักผ่อนที่ห้องพักผ่อนรวมซึ่งอยู่ชั้นล่างสุดของหอพักหลังจากซ้อมกีฬาเสร็จ แต่น่าแปลกทำไมวันนี้ดูเงียบผิดปกติ ไม่มีเสียงหยอกล้อ ไม่มีการอ่านหนังสือ ไม่มีคนดูโทรทัศน์ เพราะโดยปกติแล้วห้องนี้เป็นศูนย์รวมชาวหอ เป็นที่พบปะสังสรรค์ นอนเล่น ขบเคี้ยวขนม ดูโทรทัศน์ ทำรายงาน อ่านหนังสือ ถึงแม้บรรยากาศที่ดูเงียบสนิทเช่นนี้ซึ่งเหมือนเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ช่วยให้ดิฉันรู้สึกเอะใจอะไรขึ้นมา ยังจะนั่งไกว่ห้างพิงฝา หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน มือล้วงขนมกินสบายใจ

เวลาผ่านไปนานเป็นชั่วโมง รุ่นพี่สองสามคนเดินเข้ามาในห้อง ดิฉันเงยหน้ายิ้มทัก แล้วถามว่าทำไมหอเงียบจังไปไหนกันหมด แล้วก็นึกเรื่องเงินขึ้นมาได้ จึงถามต่อไปอีกว่าเห็นพี่คนที่ดิฉันต้องการพบหรือเปล่า รุ่นพี่กลุ่มนั้นมองหน้าดิฉันอย่างสงสัย

“ นี่ไปอยู่ที่ไหนมาล่ะเธอ ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาบ้างเหรอ ”

“ เรื่องอะไรกัน ” ดิฉันถามอย่างสงสัย

“ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในหอเราน่ะสิ แล้วรุ่นพี่ที่เธอถามถึงน่ะ ห้องนั้นแหละกำลังมีปัญหา ”

“ ปัญหาอะไร ” ดิฉันถามด้วยความร้อนร้น เหมือนมีอะไรแว๊บเข้ามาให้สะดุ้ง

“ เงินรุ่นพี่ที่อยู่ในห้องนั้นหาย แม่เขาส่งมาให้เพื่อเป็นค่าลงทะเบียน เมื่อวานเขาเผลอลืมไว้ ไม่รู้ใครหยิบไป อาจารย์ประจำหอค้นกันทั้งหอแล้วตั้งแต่บ่าย จับคนขโมยไม่ได้ ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นโดนขังอยู่ในห้องกันทั้งหมดแหละ ป่านนี้ยังไม่เสร็จเรื่องกันเลย ”

“ เงินอะไรพี่ ใช่เงินที่อยู่ในกล่องสบู่หรือเปล่า ” ดิฉันรีบถามรัวต่อ บอกถึงจำนวนเงินและรายละเอียดเกี่ยวกับกล่องสบู่

“ ใช่แล้ว รู้ได้ยังไง ”

“ นี่ใช่ไหม ” ดิฉันรีบควักกล่องเจ้าปัญหาให้รุ่นพี่ดู แล้วเล่าเจตนาของตัวเองให้รุ่นพี่ฟัง

“ แม่ตัวดี ! แม่ตัวดีนี่เอง รู้ไหมเธอทำให้เขาวุ่นกันทั้งหอแล้ว! ” รุ่นพี่ฉุดกระชากลากดิฉัน เหมือนเป็นเด็กน้อยให้ไปที่ห้องอาจารย์ประจำหอ กลายเป็นดิฉันที่เป็นขโมยแบบไม่ได้ตั้งใจเสียเองหรือนี่

“ คนนี้เอง คนนี้เองที่กำลังหาอยู่ อ้วนๆ ขาวๆ ผมซอยสั้น นุ่งกางเกงพละ สวมเสื้อสีน้ำเงิน ทำไมลืมนึกไปได้นะ ” อาจารย์ประจำหอพูดอย่างตื่นเต้น พลางเพ่งมองมาที่ดิฉัน

ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ต่างรวมทุกสายตามาที่จุดเดียวกันกับอาจารย์ ทุกความคิดที่แล่นผ่านห้องนี้คงยากจะเดาได้ รุ่นพี่ที่ลากดิฉันได้เล่าความจริงตามที่ดิฉันได้เล่าไปตอนแรกให้ทุกคนรวมทั้งอาจารย์ฟัง บางคนทำหน้าสงสัย บางคนทำหน้าโล่งอก อาจารย์ประจำหอไม่ติดใจเอาเรื่อง เพราะมองว่าดิฉันทำไปเพราะเจตนาดี แต่ผิดจังหวะไปหน่อยเท่านั้นเอง

เมื่อเรื่องวุ่นวายได้ผ่านไปแล้ว ดิฉันมาหวนนึกถึงคำพูดของอาจารย์ประจำหอ และเกิดความสงสัยว่าอาจารย์รู้ได้อย่างไร รูปพรรณสัณฐาน และเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดิฉันสวมใส่นั้นถูกต้องทุกอย่าง เมื่อมีโอกาสจึงถามรุ่นพี่ พี่เขาเล่าว่าเมื่อตอนเกิดเรื่อง หลายคนช่วยกันหาขโมย แต่ไม่พบ อาจารย์ก็เลยไปหาอาจารย์อีกท่านหนึ่งที่เล่าลือกันว่าท่านมีสัมผัสพิเศษ อาจารย์ท่านนั้นเพ่งกระแสจิต อธิบายรูปร่างลักษณะคนหยิบเงินไป อาจารย์ประจำหอจึงมาบอกให้ทุกคนฟังและให้ไปค้นหาและสังเกตตามรูปร่างลักษณะที่บอกตั้งแต่บ่าย แต่ไม่มีใครเจอเลย จนมาพบตัวดิฉันนี่แหละ วุ่นวายกันไปหมด

“ แม่ตัวดี ”

ถ้าหากว่ารุ่นพี่พบดิฉันช้ากว่านี้สักนิด และถ้าอาจารย์ตรวจค้นพบกล่องสบู่ก่อนที่ดิฉันจะได้มีโอกาสอธิบายเสียก่อน หรือถ้าดิฉันไม่ใช่คนที่ใครๆรู้จักนิสัยใจคอเป็นอย่างดี “ แม่ตัวดี ” อาจกลายเป็น “ แม่ตัวร้าย ” ในสายตาและความรู้สึกของใครๆไปแล้วก็เป็นได้

Timeline photos 26/04/2016

หนังสือ “ ตามรอยนิมิต ”
โดย ครูมณฑ์ หางดง
-----------------------------------------------------------------------------
รอยที่เจ็ด จุดเริ่มเข้าสู่ธรรม

หลังจากนั้นชีวิตของดิฉันก็เปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิด เริ่มรู้จักบาปบุญคุณโทษมากขึ้น ด้วยพื้นฐานเดิมดิฉันเป็นคนที่มีจิตอ่อนไหวอยู่พอตัว เชื่อเรื่องบุญกรรม แถมยังกลัวการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม้แต่เจ้าตัวมดน้อย ดิฉันก็เลือกที่จะเดินข้าม สงสารเค้าถ้าเราเป็นมดแล้วถูกเหยียบคงเจ็บมาก และส่วนการนั่งสมาธินั้นเป็นสิ่งที่ดิฉันปรารถนาจึงตัดสินใจเข้าวัดปฏิบัติธรรม ถือศีลกินเจ ทำบุญในวันพระ วันโกน และวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ทุกวันปิดภาคเรียน ดิฉันจะชอบไปบวชชีพราหมณ์ ถือศีล กินเจที่วัดธรรมบูชา คนชาวสุราษฏร์ธานี จะรู้จักหลวงพ่อร้อยปีเป็นอย่างดี และที่นี่เองมีกิจกรรมที่ทำให้ดิฉันสะดุ้งเสียววาบ ขนลุกพอง เพราะกลัวผี กิจกรรมที่ว่านี้คือ “ ล้างป่าช้า ” อ่านแล้วเสียววูบกันบ้างไหมคะ

ครั้งแรกที่ได้ยินจากหลวงพ่อ ดิฉันบ่ายเบี่ยงขอไม่ไป

“ หนูขอไม่ไปล้างป่าช้าได้ไหมเจ้าคะ ให้หนูคอยอยู่ที่วัด คอยดูแลแม่ชีก็ได้ คือว่า คือว่า คือว่ากลัวน่ะ เจ้าค่ะ กะ กะ กะ กลัวผีเจ้าค่ะ ” ดิฉันพูดด้วยอารมณ์ปอดแหกสุดๆ เชื่อว่าหลายๆคนที่อยู่ตรงนั้นคงจะรู้สึกไม่ต่างกัน สิ้นเสียงของดิฉัน หลวงพ่อหัวเราะเบาๆ แล้วก็พูดว่า

“ ไม่หรอกโยม ล้างป่าช้าครั้งนี้ไม่มีผี ล้างป่าช้าในที่นี้หมายถึงการชำระล้างภายในตัวเราเอง โยมคิดดูสิตั้งแต่โยมแต่ละคนจำความได้ คงจะกินปลา หมู เห็ด เป็ด ไก่ วัว ควาย หรือชีวิตอื่นๆ ไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เป็นล้านๆได้ละมั้ง ในท้องเราแต่ละคนก็เป็นเหมือนสุสานฝังชีวิตย่อยๆนั่นแหละ เราจึงควรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาเหล่านั้นบ้าง เคราะห์กรรมต่างๆจะได้ทุเลาเบาบางลงไป จริงไหมล่ะโยม ”

เมื่อฟังคำสอนของหลวงพ่อ ดิฉันเห็นด้วยอย่างที่ท่านว่า ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ มีชีวิตกี่ชีวิตที่ถูกสังเวยเพื่อการอยู่รอดของเรา ดิฉันจึงตั้งใจถือศีลกินเจ ปฏิบัติธรรมให้มากยิ่งขึ้น เพื่อชะล้างสิ่งที่หมักหมมในร่างกาย ล้างกรรมที่สร้างขึ้นเพราะความจำเป็นมิได้ตั้งใจ

หลวงพ่อร้อยปีท่านเป็นพระสงฆ์องค์แรกที่สอนให้ดิฉันเข้าใจหลักการฝึกสมาธิ โดยการภาวนา พุท - โธ ให้พิจารณาลมหายใจเข้าออก กำหนดจิตไปที่เหนือสะดือ 1 นิ้ว ให้สังเกตลมหายใจเข้าออกจากการกระเพื่อมของหน้าท้อง หายใจเข้า กำหนด “ พุท ” หายใจออก กำหนด “ โธ ” ดิฉันทำเช่นนี้ตลอดเวลา จนกระทั่งเห็นอาการพองยุบชัดเจนขึ้น บางทีสังเกตจากลมหายใจที่ไปกระทบริมฝีปากบนเมื่อหายใจออก จมูกแฟ่บเป็นลมหายใจเข้า ถ้ามีอาการฟุ้งซ่าน ก็จะเปลี่ยนการกำหนดจิตจากหน้าท้องมาเป็นจมูก จะสังเกตได้ว่า ลมหายใจเข้า สั้นยาวไม่เท่ากัน ความละเอียดอ่อนของลมหายใจก็ไม่เท่าเช่นกัน บางครั้งเกิดการเจ็บปวดตามเนื้อตามตัว แขน และขา หลวงพ่อก็สอนให้ไปกำหนดตามการเจ็บปวดที่บริเวณนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีอะไรแน่นอน แม้ขณะที่เรานั่งนิ่งๆยังเกิดอาการที่เราไม่ปรารถนา ถือว่าเป็นการชดใช้เวร ชดใช้กรรม ให้เขาก็แล้วกัน

หลวงพ่อท่านสอนดีมากๆ ดิฉันจดคำสอนได้เป็นเล่มๆในตอนนั้น เพราะทุกคำสอนของท่าน สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ตอนกลางคืนหลังจากนั่งสมาธิกันนานแล้ว ท่านก็ให้ลุกขึ้นแยกย้ายออกไปเดินจงกลม ด้านนอกนั้นบรรยากาศอึมครึม แสงไฟสลัวๆ กลิ่นดอกพิกุลในยามค่ำคืน โชยกลิ่นแตะจมูก หอมรัญจวนใจ รู้สึกขนลุกวูบวาบขึ้นมา ทันใดนั้นเสียงหลวงพ่อเรียกทุกคนให้กลับเข้ามานั่งที่ตามเดิม ดิฉันจึงรีบเดินกลับไปอย่างไม่รีรอ แล้วนั่งสมาธิกันต่ออีกรอบหนึ่ง นั่งไปได้สักพัก เริ่มกำหนดลมหายใจได้นิ่ง กลับเห็นด้านหลังในขณะที่หลับตาภาวนาโดยไม่ได้หันหน้าไปมอง เห็นผู้หญิงร่างสูงใหญ่ ใส่ชุดกระโปรงเดรสลายดอกไม้สีน้ำเงิน - ขาว มายืนที่หน้าประตูซึ่งอยู่ด้านหลังของดิฉัน ความรู้สึกตอนนั้นขนลุกขนพองขึ้นมาโดยอัตโนมัติ พยายามกลั้นความกลัวที่กำลังล้นอก แล้วตั้งจิตอธิษฐานแผ่ส่วนบุญ ภาวนาในใจว่า ตั้งใจล้างป่าช้า ล้างป่าช้า สักครู่ภาพนั้นก็หายไปจากม่านมโนสติ

ประสบการณ์การล้างป่าช้าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่กลับมีความอิ่มเอิบใจที่ได้ฝึกจิตและยังได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายแม้แต่บุคคลที่ไม่รู้จักก็ตามที
--------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณภาพประกอบจากเจ้าของภาพนี้ด้วยค่ะ
---------------------------------------------------------------------------
ภาพประกอบ: วัดธรรมบูชา จังหวัดสุราษฏร์ธานี

Timeline photos 18/04/2016

หนังสือ “ ตามรอยนิมิต ”
โดย ครูมณฑ์ หางดง
-----------------------------------------------------------------------------
รอยที่หก นิมิต...สมบัติต้องห้าม


ท่ามกลางความมืดในคืนเดือนแรม ดิฉันอาศัยเพียงแสงดาวระยิบระยับส่องนำทาง เดินดุ่มเดี่ยวลัดเลาะเลียบริมฝั่งน้ำไปข้างหน้าเรื่อยๆ ความสงสัยปรากฏอยู่ลางเลือนในใจ

“ ที่นี่ที่ไหน ฉันกำลังไปที่ไหน ไปทำไม ” ถึงแม้ความสงสัยยังแคลบแคลงใจ สองเท้าคู่นี้ยังคงก้าวย่างไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติอย่างไร้จุดหมาย

“ มาทางนี้ซิลูก พวกเขารอเอ็งอยู่ ” เสียงใครคนหนึ่งดังก้องไปทั่วบริเวณนั้น

ดิฉันจึงหันไปมองซ้าย มองขวาก็ไม่พบเจ้าของเสียง กลับพบชายคนหนึ่งพายเรือมาจอดตรงหน้าเหมือนตั้งใจมารับ พร้อมกับเอ่ยชวน ดิฉันก้าวลงเรืออย่างว่าง่าย โดยไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร และชายคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
เรือค่อยๆออกจากฝั่งอย่างช้าๆและเลียบริมฝั่งไปเรื่อยๆ ตลอดสองริมฝั่งในยามคืนเดือนแรมมีแต่เงาต้นไม้น้อยใหญ่ บ้างตะคุ่มเป็นพุ่มหนา บ้างแผ่กิ่งก้านสาขาไหวพลิ้วไปตามแรงลม คล้ายภูติผีปีศาจคอยกวักมือเรียกในความมืด มีเพียงแสงไฟสลัว น้อยครั้งจะเจอแสงไฟจากชาวบ้านวับแวมให้เห็น ลมหมอกขาวพัดลอยอยู่เนืองๆ ทำบรรยากาศดูน่ากลัว ชวนสยอง แต่แปลกที่ดิฉันไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด เรือหยุดจอดที่ใต้ต้นไทรใหญ่ และที่น่าแปลกใจ คือ ม่านความมืดที่ปกคลุมอยู่ตอนนั้นได้ถูกแหวกหายออกไป แต่กลับมีแสงสว่างไสวเหมือนฉากละครเวทีกำลังเปิดม่านเริ่มต้นเข้ามาแทนที่ ชายคนเดิมก้าวลงจากเรือไปนั่งที่ใต้ต้นไทร ดิฉันก้าวลงจากเรืออย่างช้าๆเดินตามเหมือนลูกแมวเชื่องๆตามนายมันไป กวาดสายตาไปรอบๆเห็นแต่ความรกครึ้มของต้นไม้ที่เบียดเสียดแทรกกันอย่างหนาแน่นอยู่บริเวณนั้น รากไทรเลื้อยพันเกาะเกี่ยวราวกับงูน้อยใหญ่มาอาศัยอยู่รวมกัน สายน้ำก่อนหน้านี้ที่นิ่งเงียบ แต่บัดนี้ไหลมารวมตัวกันแล้วหมุนวนเป็นเกลียวคล้ายกรวยลงสู่เบื้องล่าง เกลียวนั้นได้นำพาสิ่งของต่างๆหลงหายไปต่อหน้าต่อตา

ดิฉันนั่งอยู่สักครู่หนึ่ง ชายคนเดิมก็เดินอ้อมไปด้านหลังของต้นไทร พร้อมนำหีบไม้สีมะค่าออกมาด้วย วางตรงหน้าดิฉัน

“ สมบัติพวกนี้เป็นของเอ็ง สมบัติพวกนี้รอเอ็งอยู่ เอาไปสิ ” ว่าแล้วเขาก็เปิดหีบออก ภายในหีบมีเพชรนิลจินดามากมาย เปล่งแสงรัศมีกระทบนัยน์ตาดิฉันจนพร่ามัว ต้องยกมือขึ้นมาบังตาเอาไว้

“ เอาไปสิ เอาไป สมบัติพวกนี้เป็นของเจ้า ” ดิฉันมึนงง เขาให้ดิฉันทำไม ดิฉันคลานเข้าไปข้างๆหีบ เลือกแหวนวงหนึ่งขึ้นมา

“ ขอแหวนวงนี้ ” ดิฉันบอกพร้อมหมุนแหวนในมือไปมา

“ เอาไปอีกสิ ของพวกนี้เป็นของเจ้า เจ้าเอาไปให้หมด พวกเขาจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที ” ชายคนนั้นคะยั้นคะยอให้ดิฉันเอาของไปให้หมด

พวกเขา ใครกัน พวกเขาคือใคร ดิฉันนึกสงสัยอยู่ในใจ พอจะถามก็ดันไม่มีเสียงตัวเองเปล่งร้องออกมาแต่กลับมีเสียงเดิมนั้นดังสะท้านทรวง

“ เลือกเอาไป เลือกเอาไป สมบัตินี้เป็นของเจ้า ” แต่ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เสียง ยังจะเอามือกอบสมบัตินั้นโยนให้ เมื่อเห็นดิฉันมีท่าทีไม่สนใจสมบัติเหล่านั้นเลย

“ พอแล้ว ไม่เอา ไม่เอาแล้ว พอแล้ว ” ดิฉันร้องตะโกนสุดเสียงพลางดิ้นหนี ยิ่งร้อง ยิ่งดิ้น ชายคนนั้นยิ่งโกยสมบัติโยนใส่ประหนึ่งจะกลบตัวดิฉันด้วยสมบัติแทนดิน ดิฉันดิ้นเฮือกสุดแรง หายใจไม่ออก

“ ตื่นๆ ตื่นได้แล้วลูก ตื่นได้แล้ว ” เสียงของพ่อเหมือนเสื้อชูชีพช่วยชีวิตดิฉันไว้ ก่อนที่จมหายไปในทะเลลึก

ดิฉันตกใจตื่น ร่างกายชิ่งอาบด้วยเหงื่อไปเสียแล้ว ดิฉันสับสนไปหมด ฝันไปหรือเปล่า แต่เหมือนจริงมาก แล้วก็ลุกไปหาพ่อด้วยอาการมึนงงอยู่

“ เป็นอะไรไปลูก เหงื่อแตกซิกเชียว ” พ่อถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นสารรูปของลูกสาวสุดที่รัก ที่หัวฟูยุ่งเหยิง เป็นยัยเพิ้งเหงื่อแตก

“ ฝันพ่อ ลูกฝัน สมบัติมากมายเขาให้ลูก ” ดิฉันเล่าให้พ่อฟังโดยไม่ทันได้เห็นว่ามีป้าคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนพ่อนั่งอยู่ด้วยก่อนแล้ว พ่อหัวเราะทันทีหลังจากได้ฟังแค่ประโยคเกริ่น แต่ป้าคนนั้นกลับสนใจ

“ ฝันว่าอะไรล่ะลูก ไหนลองเล่าให้ป้าฟังซิ ” ประโยคนั้นช่วยปลดล็อคความอึดอัดที่อยู่ในใจ เลยได้ทีสนองตัวเองและคุณป้า

“ ลูกฝันว่ามีชายคนหนึ่งพายเรือมารับ เขาพายไปตามแม่น้ำ แล้วเลี้ยวเข้าไปในบาง ไปหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไทร.......... ” ดิฉันเล่าต่อไปจนจบ คุณป้าฟังอย่างตั้งใจแล้วพูดขึ้นมาว่า

“ ฮื่อๆ แปลก แปลกมาก ” พร้อมพยักหน้า พึมพำเบาๆ แล้วพูดกับพ่อดิฉันว่า

“ ที่ลูกเอ็งเล่ามานี่มันเหมือนสถานที่ที่หนึ่งเหลือเกิน ที่นั่นนะ เขาเรียกว่าบางโก้ ฉันก็เคยโดนมาแล้วแบบนี้ ตอนนั้นจำได้ว่าไปตัดไม้มาทำฟืนเผาถ่าน ไม้ตัดใหม่มันสด เผาไม่ได้ ฉันเลยเอาไม้ไปพิงที่ต้นไทรเพื่อให้แห้งเสียก่อน เท่านั้นแหละเหมือนมีเงาดำขนาดใหญ่หลายเงาเดินไปมาอยู่บ้าง บ้างถาโถมเข้ามา ฉันวิ่งหนีแทบไม่ทัน มานั่งนึกตอนหลังว่าฉันอาจกลัวไปเอง คิดไปเองก็ได้ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรขนลุกซู่อยู่เลย แม้เหตุการณ์ผ่านนานหลายปีแล้ว นอกจากฉันก็ยังมีหลายๆคนก็พูดกันว่าเคยโดนมาแล้วเหมือนกัน เขาเล่ากันว่าที่นั่นนะ มีสมบัติจริง เป็นสมบัติตั้งแต่สมัยญี่ปุ่นยกทัพมาตีประเทศไทย จากนั้นมาก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาด คนที่รู้ๆกันจะไม่มีใครกล้าเข้าไปบริเวณนั้นหรอก ”

ดิฉันเคยชวนพ่อไปถามผู้รู้ที่เป็นร่างทรงบ้าง เป็นนักปฏิบัติบ้าง ทำให้ได้ทราบว่า มีครอบครัวหนึ่งน่าจะมาจากไชยา ชื่อท่านเจ้าคุณศรีสม พากันลงเรือเพื่อหนีข้าศึก เรือเกิดไปล่มแถวๆนั้น ลูกแฝดจมน้ำตาย ชื่อ วันทอง กับ วันทา ดิฉันก็เป็นลูกคนหนึ่งในอดีตชาติที่ได้มาเกิดก่อนคนอื่นๆสมบัติบางส่วนจึงเป็นของดิฉัน

“ แล้วถ้าเชื่อว่าสมบัติมีจริง ไม่มีใครไปขุดเลยหรือ ” พ่อดิฉันถามต่อ

“ มี แต่ไม่ทันได้ขุด น้ำขึ้นเสียก่อน เขาเล่ากันว่าบริเวณนั้นนอกจากน้ำวนแล้ว การขึ้นลงของน้ำก็ไม่แน่นอน เมื่อไรที่น้ำขึ้นต้องรีบขึ้น ไม่อย่างนั้นก็ตายไม่รู้ตัว เพราะน้ำขึ้นเร็วมาก ” ป้าเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง เหมือนบ่งบอกว่าไม่ได้เป็นเพียงแค่ข่าวลือ

หลังจากนั้นดิฉันก็ฝันซ้ำๆอีกหลายหน ดิฉันไม่เคยมีความคิดที่อยากจะครอบครองสมบัติแม้แต่น้อย เพียงแต่อยากพิสูจน์ความฝันและคำล่ำลือนั้นเป็นจริงหรือเปล่า จึงจุดธูปเทียนอธิษฐานจิต

“ ข้าแต่วิญญาณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตย์อยู่ ณ ต้นไทร ลูกมิได้ประสงค์ทรัพย์สมบัติของท่านแต่ประการใด แต่อยากรู้ว่าท่านประสงค์สิ่งใดจึงบันดาลให้ลูกฝันครั้งแล้วครั้งเล่า เผื่อว่าลูกจะช่วยอะไรได้บ้าง ”

คำอธิษฐานนั้นช่วยคลี่คลายปมความสงสัย เมื่อจิตนิ่ง ดิฉันเหมือนเคลิ้มไปคล้ายนิมิตว่าตัวเองกำลังนั่งดูหนังอยู่ที่โรงภาพยนตร์ที่กำลังฉายเรื่องราว เห็นภาพชายคนเดิมมาหาดิฉันเล่าให้ฟังว่า ท่านหนีสงครามจากพวกญี่ปุ่นมาพร้อมกับลูกๆ 6 คน แล้วเรือมาล่มบริเวณนั้น แต่เดิมบริเวณนี้น้ำนั้นลึก และมีวังน้ำวนอยู่ ลูกสองคนจมอยู่ในวังน้ำวน (ในปัจจุบัน บริเวณนั้นก็มีวังน้ำวนอยู่จริง แต่ตื้นเขินมากแล้วค่ะ) ท่านยังย้ำว่า สมบัติยังจมอยู่ที่นั่น วิญญาณทั้งหลายก็ยังวงเวียนอยู่ ไปไหนไม่ได้ อยากให้ดิฉันงมสมบัติขึ้นมาทำบุญ

ด้วยความติดใจ สงสัย จึงออกไปสืบหาความจริง เดินทางไปที่แห่งนั้นหลายครั้ง เพื่อพิสูจน์ดูว่ามีสมบัติอยู่จริงไหม หลังจากนั้น พ่อได้ฟังคำแนะนำจากท่านผู้หนึ่งแล้วมาบอกกับดิฉันว่า

“ ลูกเอ๋ย สมบัตินั้นเป็นสมบัติต้องห้าม ใครจะมาขุดเอาไปไม่ได้หรอก ถึงแม้จะขุดขึ้นมาได้ก็เกิดความหายนะ เกิดการนองเลือดตามมา เพราะสมบัติมีมากและเป็นของร้อน ของต้องห้าม ของที่ก่อกิเลสหนาเชียวล่ะ ปล่อยให้เป็นสมบัติของแผ่นดินจะดีกว่า ” ก็จริงอย่างที่พ่อว่า ของที่มันไม่ใช่ของๆเรา ก็เหมือนจับกิเลสเข้าตัว เอาชั่วเข้าใจ

“ หืม ท่านขา แล้วใครจะกล้าไปเสี่ยงขุดเอาสมบัติต้องห้าม สมบัติแห่งความหายนะนั่น ! ” เป็นคำที่ดิฉันอยากจะอุทานออกมา เมื่อนึกถึงนิมิตคำเล่าจากท่านเจ้าคุณ

หลายปีผ่านมา ท่านก็ยังมาเข้าฝันดิฉันปีละหลายครั้ง ท่านบอกว่า ท่านเป็นพ่อของดิฉันในอดีตชาติ ตอนนี้ท่านตกทุกข์ได้ยาก อยากจะไปเกิดใหม่ ขอให้ดิฉันปลดแอกให้ท่านและครอบครัวด้วย มันเป็นความทุกข์ใจให้กับดิฉันเป็นอย่างมาก ถ้าเราได้มาเกิดแล้วคนอื่นยังคงอยู่ที่นั่น คงทุกข์ทรมานมาก เราได้มาเกิดแล้วแต่กลับช่วยอะไรเขาได้ไม่มาก ดังนั้นสิ่งเดียวที่เราจะทำได้ในเวลานี้ คือ ทาน ศีล ภาวนา

เมื่อครั้งใดมีโอกาสทำบุญหรือนั่งสมาธิ ดิฉันจึงอุทิศแผ่ส่วนบุญกุศลให้วิญญาณทั้งหลายที่สิงสถิตย์อยู่ที่นั่นด้วย ครั้งสุดท้ายดิฉันฝันถึงชายคนเดิมอีก ท่านบอกว่าจากบุญกุศลที่ดิฉันได้แผ่ให้นั้น ทำให้ดวงวิญญญาณหลายดวงที่เคยเฝ้าอยู่ที่นี่ไปผุดไปเกิดหมดแล้ว เหลือเพียงท่านที่ยังคอยเฝ้าสมบัติเพื่อรอคอยให้เจ้าของตัวจริงมารับแล้วจึงจะไปเกิดได้ ที่เราติดตามเจ้าเพราะเจ้าเป็นทายาทเรา มีเจ้าเท่านั้นที่จะแก้อาถรรพณ์นี้ได้

เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป ว่าสมบัตินี้จะถูกขุดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะดิฉันมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเอาสมบัตินั้น มาสร้างโบสถ์หลังใหม่ให้วัดดอนยาง (ติดตามใน หลังคาโบสถ์รั่ว เล่ม2 ) ซึ่งเป็นวัดที่ใกล้กับบริเวณนั้นมากที่สุด คิดว่าคงไม่นาน ทุกอย่างคงลงตัวเสียที

ความโลภ อยากได้อยากมี ในของที่ไม่ใช่ของเรา ความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด กิเลสที่นำพาสู่ความหายนะ หากเรารู้จักคำว่า “ พอ” บ้าง คงจะทำให้โลกนี้ สังคมนี้ น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งลี้ลับยากต่อการพิสูจน์ ดิฉันยังคงรอให้ผู้รู้จริงมาไขปัญหาคาใจจนถึงทุกวันนี้
--------------------------------------------------------------------------

ขอขอบคุณ คุณadd เจ้าของภาพด้วยค่ะ

---------------------------------------------------------------------------
*** รูปภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น ไม่ใช่สถานที่จริงค่ะ

Timeline photos 04/03/2016

หนังสือ “ ตามรอยนิมิต ”
โดย ครูมณฑ์ หางดง
-----------------------------------------------------------------------------
รอยที่ห้า เสียงกระซิบ

ตอนเรียนชั้นมัธยม ดิฉันเรียนอยู่โรงเรียนประจำจังหวัด จึงไปอาศัยอยู่กับญาติในตัวเมือง นานๆทีจึงจะได้กลับบ้านสักครั้ง วันไหนที่กลับมาบ้าน เด็กๆน้องนุ่งแถวบ้านมักจะมาขลุกอยู่กับดิฉันหลายคน ทำนองเป็นไอดอลของเด็กๆ (แอบปลื้ม อิอิ) โดยส่วนตัวชอบวิชาเกมส์เบ็ดเตล็ดและยิมนาสติก เลยจับเด็กๆมาเล่นเกมส์และสอนยิมนาสติกให้ซะเลย สนุกสนานกันยกใหญ่ โดยเฉพาะท่าหกสูง ดิฉันสามารถใช้แขนเดินแทนเท้าได้ เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากเด็กๆไม่ขาดสาย

ดิฉันมักแอบหนีไปเที่ยวเล่นน้ำที่ลำคลองใหญ่ชื่อคลองท่าทอง เป็นลำคลองที่กว้างใหญ่มาก เชื่อมต่อกับแม่น้ำตาปี ใช้เป็นที่สัญจรทางน้ำ สมัยก่อนไม่มีถนน ทุกคนจึงต้องอาศัยเรือเมล์ เพื่อเดินทางไปบ้านดอนซึ่งอยู่ฝั่งคลองด้านโน้น ที่นั่นมีต้นลำภูออกผลรสเปรี้ยว เคยมีเพื่อนเอามาฝาก ทานแล้วชอบมาก เลยชวนเพื่อนไปเก็บมาอีกแต่ไม่มีเรือข้ามฟาก ก็เลยหาไม้ไผ่คนละลำ เกาะข้ามฟากกันไป เฮฮาตามประสา ทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็นแต่กล้าที่จะข้ามคลองด้วยไม้ไผ่ลำเดียว (พอมานึกตอนหลังไม่น่าห้าวเล๊ย อย่าทำตามนะคะ)

พ่อดิฉันมักพูดประโยคนี้เสมอๆว่า “ ลูกนะยังเด็ก ยังเล็ก ว่ายน้ำก็ไม่เป็น อย่าไปนั่งเรือเล่นเด็ดขาด ถ้าไม่เชื่อละก็ พ่อจะตีให้น่วมเชียว ” จนดิฉันจำขึ้นใจ แต่ก็ไม่เชื่อฟัง จนครั้งล่าสุดเพื่อนชวนไปอีก วันนี้มีเรือลำเล็กของเพื่อนที่พ่อแม่จอดทิ้งไว้ เราเลยไปกันหลายคน เพื่อนแกล้งดิฉันโคลงเคลงเรือให้คว่ำ แล้วดิฉันก็จมดิ่งลงไปใต้น้ำอย่างรวดเร็วเนื่องจากว่ายน้ำไม่เป็น ไม่ทันจะได้ร้องเรียกให้ใครช่วย

“ ว่ายน้ำไม่เป็น! ว่ายน้ำไม่เป็น! ไม่เชื่อพ่อ! ต้องตายแน่ๆ พ่อ! พ่อ! พ่อต้องโกรธ! พ่อต้องเสียใจ! พ่อ! ลูกขอโทษ! พ่อ! ช่วยลูกด้วย! ใครก็ได้ช่วยที! ว่ายน้ำไม่เป็น! ว่ายน้ำไม่เป็น! ช่วยที! ทำไมไม่มีใครมาช่วยเราเลย ” เสียงของดิฉันตะโกนร้องขอความช่วยเหลือดังอยู่ในใจ ที่ไม่มีใครได้ยิน รู้สึกผิดต่อพ่อที่ไม่เชื่อฟัง

มวลของน้ำโอบล้อมร่างดิฉันอย่างหนักหน่วง ระบบหายใจติดขัด รู้ซึ้งถึงความรู้สึกของคนใกล้ตาย ออกซิเจนเริ่มไม่มี ลมหายใจอ่อนระรวย ถึงคราวซวยเคราะห์กรรมต้องตายแล้วหรือนี่

“ ตาย ตาย ตายแน่แน่ ว่ายน้ำไม่เป็น ” เสี้ยวห้วงคำนึงสุดท้ายที่มีอยู่ในขณะนั้น ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดไป เส้นชีวิตจะถูกปลิดออกจากร่าง ก็มีเสียงกระซิบดังก้องข้างในโสต

“ ว่ายน้ำไม่เป็นก็วิ่งไปสิลูก วิ่งไปสิลูก ว่ายน้ำไม่เป็นก็วิ่งไปสิลูก ” เสียงชายผู้นั้นได้ดึงสติที่เหลืออยู่น้อยนิดให้กลับคืนมา

“ เออ! วิ่ง! วิ่ง! ว่ายน้ำไม่เป็นก็วิ่งได้! ” ดิฉันรีบทำตามเสียงกระซิบโดยไม่นึกถึงอะไรอีกแล้ว

ณ วินาทีนั้น เริ่มตั้งสติและวิ่งไปพร้อมกับยื่นมือไปข้างหน้า หวังที่จะคว้าหาสิ่งที่ยึดเหนี่ยว มือทั้งสองแหวกว่ายพาตัวเองขึ้นสู่เหนือผิวน้ำ และรวบรวมแรงฮึดสุดท้ายก่อนจะขาดใจ กระเสือกกระสนตัวเองขึ้นมานอนแผ่หราอยู่บนฝั่งอย่างหมดแรง ทั้งไอ ทั้งหอบ ทั้งสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหล เพื่อนๆช่วยกันพาขึ้นมาบนฝั่ง ล้อมหน้าล้อมหลังต่างโทษกันไปมา ไม่เท่านั้นยังซักถามดิฉันว่าจมน้ำจริงๆหรือแกล้งทำ บ้างก็โทษกันว่าไม่มีใครช่วย บ้างก็ไม่รู้ว่าดิฉันว่ายน้ำไม่เป็น คิดว่าจมอยู่นานเพราะมัวเล่นน้ำอยู่ แต่เสียงเหล่านั้นไม่สำคัญต่อตัวดิฉันเท่ากับเสียงกระซิบที่บอกให้ดิฉันวิ่งในน้ำหรอก

“ เสียงใครกันนะ เพราะเสียงนั้นแท้ๆ ทำให้เรารอดชีวิตมาได้ ”
การที่เราไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ อาจจะทำให้ต้องประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ ความโชคดีเช่นนี้ไม่ได้มีเสมอไป ดังนั้นเราไม่ควรประมาท ควรคิดพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบถึงผลดีผลเสียก่อน การรอดชีวิตในครั้งนี้เหมือนกับได้ชีวิตใหม่อีกครั้ง เชื่อแล้วว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนโลกนี้มีจริง ได้ช่วยชีวิตดิฉันไว้ และคงอยากให้ช่วยทำความดีเพื่อเป็นการตอบแทน แต่คงยังไม่ถึงเวลากระมัง.....
----------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ Eadkung

Timeline photos 08/02/2016

หนังสือ “ ตามรอยนิมิต ”
โดย ครูมณฑ์ หางดง
------------------------------------------------------------------------------
รอยที่สี่ ผิดที่

นอกจากมีโรงสีข้าว ทำสวน ทำนา ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวแล้ว ทางบ้านดิฉันยังเลี้ยงหมูไว้ขายเพราะเห็นว่ารำและปลายข้าวที่ได้จากโรงสี ประกอบกับกล้วยที่ปลูกไว้ริมทุ่งนามีอยู่แล้ว สามารถนำมาทำเป็นอาหารหมูได้ ด้วยการนำกล้วยมาหั่นแล้วตำให้ละเอียด มาคลุกกับรำข้าวให้หมูกิน ไม่ได้เลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูปเหมือนกับสมัยนี้ (แต่แถวต่างจังหวัดยังเลี้ยงด้วยวิธีนี้อยู่บ้างค่ะ) พอกลับจากโรงเรียน ดิฉันและพี่ๆก็ช่วยเลี้ยงหมูกันอย่างสนุกสนานตามประสาเด็กๆ พอหมูโตเต็มที่จะมีพ่อค้ามารับไปชำแหละเนื้อขาย เลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์หมูอยู่หลายตัวสามารถผสมพันธุ์ขายลูกหมูตัวโตเต็มวัยได้ แต่ไม่ได้ฆ่าหมูเองนะคะ

แต่ไม่รู้ด้วยผลกรรมใดทำให้ดิฉันเจ็บป่วยด้วยโรคแปลกๆ ขาบวม เข่าบวม จนเดินไม่ได้ตอนเรียนอยู่ ป. 5 ปวดมากจนต้องหยุดเรียนไปถึง 6 เดือน ดิฉันเกือบจะโดนตัดขาแล้ว เพราะหมอบอกว่ากลัวจะกลายเป็นมะเร็ง แต่คุณพ่อไม่ยอมให้ตัด ท่านแบกดิฉันขึ้นบ่าเพื่อไปขึ้นเรือที่ท่าน้ำพากลับบ้าน ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านชื่อ “เทวดาบุญกอง” รักษา เทวดาบุญกองเป็นร่างทรงที่สามารถล่วงรู้สิ่งที่เรามองไม่เห็น ทำนองหมอเทวดา หมอผีสมัยก่อนที่ชาวบ้านนับถือกัน เทวดาบุญกองบอกว่า

“ พ่อเอ๋ย ! เจ้านั้นเองที่เอาเสาคอกหมูไปผูกกับเสาพระภูมิของยุ้งข้าว มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเลย เหตุนี้เองทำให้เคราะห์เกิดกับลูกคนนี้ที่เกิดวันอ่อนนั่นเอง ” ( พี่น้องคนอื่นๆเกิดวันแข็ง ทำให้เคราะห์กรรมต่างๆจึงตกที่ตัวดิฉัน วันอ่อนคือ คนที่เกิดวันจันทร์ พุธกลางวัน วันแข็งคือ อังคาร พฤหัส เสาร์ )
และแนะให้พ่อแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น โดยการแก้เสาออกจากกันแล้วลูกจะหาย และให้ลูกไปนอนบนยุ้งข้าวในคืนนี้ด้วย 1 คืน รุ่งขึ้นอาการจะดีขึ้น และท่านยังกำชับไว้อีกว่า

“ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นห้ามลงมาดูเด็ดขาด ”

สาเหตุที่พ่อไปทำคอกหมูเฉพาะกิจอย่างนั้น เนื่องจากจะมีแม่หมูท้องแก่ใกล้คลอดอยู่เรื่อยๆ พ่อจึงจับแยกมาอยู่ต่างหากเพื่อความสะดวกในการช่วยเหลือ แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงผูกคอกหมูไว้กับเสายุ้งข้าว คืนนั้นเราสามคนพ่อแม่ลูกนอนด้วยกัน เพราะดิฉันนอนไม่หลับ ปวดเข่า ปวดขามาก และรู้สึกหวาดกลัว
ตกกลางดึก แม่หมูตกลูกร้องดังลั่นยุ้งข้าว ท่านทั้งสองลงไปช่วย ดิฉันรู้สึกเสียวจี๊ดไปทั้งขา แล้วมีอาการวูบวาบไปทั่วตัว พอรุ่งเช้าเกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้น แม่หมูคลอดลูกมาแค่เพียงตัวเดียวได้ไม่ทันไรก็สิ้นใจตาย แล้วอาการต่างๆของดิฉันค่อยๆลดน้อยลง คุณพ่อคุณแม่เลยบอกดิฉันว่า

“ แม่หมูมารับเคราะห์แทนลูกแล้วนะ ต่อไปพ่อแม่จะเลิกเลี้ยงหมูโดยเด็ดขาด เพื่อระลึกถึงบุญคุณที่เค้าตายแทนลูก ชีวิตลูกมีค่ามากกว่า เรามีโรงสีข้าวก็พอจะเลี้ยงชีพอยู่ได้ ที่สวนที่นาเราก็มี เราจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตหมูอีก ”

ตั้งแต่วันนั้นอาการดิฉันดีวันดีคืน จนกระทั่งหายเป็นปกติ พ่อบอกกับดิฉันว่า

“ ดีนะที่ไม่ตัดขา ไม่งั้นป่านนี้คงได้เลี้ยงลูกพิการแน่ๆ ” คำพูดของพ่อทำให้ดิฉันหวาดเสียวไม่หาย กรรมส่งผลทันตาเห็นจริงๆ ถือว่ายังโชคดีที่ผ่านวิกฤตนั้นมาได้
----------------------------------------------------------------------------
วันหนึ่งดิฉันไปเล่นน้ำที่คลองท่าทอง แล้วโดนเพื่อนแกล้งจนตกน้ำ ดิฉันว่ายน้ำไม่เป็น คิดว่าตัวเองต้องตายจมอยู่ใต้น้ำแน่ๆ อยู่ๆก็มีเสียงกระซิบบอกให้วิ่ง ว่ายน้ำไม่เป็น ก็วิ่งสิลูก..... แล้วเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อนั้น โปรดติดตาม รอยที่ห้า “ เสียงกระซิบ ” ในครั้งต่อไปค่ะ
----------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ Thanawat707

ต้องการให้ธุรกิจของคุณ ธุรกิจ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ร้านขายของ ใน Chiang Mai?
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?

เบอร์โทรศัพท์

เว็บไซต์

ที่อยู่


Chiang Mai
50100

ร้านหนังสือ อื่นๆใน Chiang Mai (แสดงผลทั้งหมด)
Makemoney376 Makemoney376
35
Chiang Mai, 45050

XsoE

ร้านหนังสือดวงกมล เชียงใหม่ - DK BOOK Chiangmai ร้านหนังสือดวงกมล เชียงใหม่ - DK BOOK Chiangmai
79/1 ถ. คชสาร ต. ช้างคลาน อ. เมือง จ. เชียงใหม่ เทศบาลนครเชียงใหม่, จังหวัดเชียงใหม่
Chiang Mai, 50100

ร้านหนังสือดวงกมลเชียงใหม่ ติดต่อโทร 053-2069957 OfficeMobile:086-4297061,086-4297021 Line:0864297021

ทีมนายอินทร์ เชียงใหม่ภาคเหนือ ร้านหนังสือโดนใจ ใครๆก็อ่าน ทีมนายอินทร์ เชียงใหม่ภาคเหนือ ร้านหนังสือโดนใจ ใครๆก็อ่าน
เชียงใหม่
Chiang Mai, 50000

รับสั่งซื้อหนังสือ โดยทีมงานร้านนายอินทร์ภาคเหนือ

The Lost Book Shop. The Lost Book Shop.
34/3 Rachamakka Road, T. Prasingh
Chiang Mai, 50200

The Lost Book Shop has been open since 1995. Its the longest running English used Bookstore in Chian

Mine_Books Mine_Books
70 หมู่ 1 ต. สะเมิงใต้
Chiang Mai, 50250

Suriwong Bookcentre Suriwong Bookcentre
Amphoe Muang Chiang Mai
Chiang Mai

สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์ เปิดให้บริกา?

Little Lion Children's Bookshop หนังสือเด็กภาษาอังกฤษ นิทานภาษาอังกฤษ Little Lion Children's Bookshop หนังสือเด็กภาษาอังกฤษ นิทานภาษาอังกฤษ
Chiang Mai

We sell good condition used children’s book imported from UK and USA. We have a variety of selecti

ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Cmu Bookstore ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Cmu Bookstore
อาคารเรียนรวม 3 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ห้วยแก้ว
Chiang Mai, 50200

จำหน่ายหนังสือ เครื่องเขียน อุปกรณ?

Bytanissa งานแฮนเมด กิ๊ฟช็อป หนังสือมือสอง Bytanissa งานแฮนเมด กิ๊ฟช็อป หนังสือมือสอง
50300
Chiang Mai, 50300

ขายงานแฮนเมด หนังสือมือสอง ของใช้กุ๊กๆกั๊กๆ ตามแต่ละช่วงชีวิตของตัวเองกำลังชอบอะไร😂

Tiny seeds book club Tiny seeds book club
Chiang Mai

children book

สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - Chiang Mai University Press สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - Chiang Mai University Press
ห้วยแก้ว
Chiang Mai, 50200

จัดจำหน่ายหนังสือ และ E-book ของคณาจารย?

On The Road Books On The Road Books
34/3 Ratvithi Road Mueang Chiang Mai
Chiang Mai, 50200

We have thousands of titles covering a wide range of subjects. Open everday 09.00am.-20.00pm.