forestbook
ความเคลื่อนไหว รูปธรรมและแนวทางปฏิรูประบบจัดการทรัพยากร ทั้งในระดับพื้นที่และนโยบาย จ
เพจ forestbook
นำเสนอความเคลื่อนไหว รูปธรรม และแนวทางในการปฏิรูประบบการจัดการทรัพยากร ทั้งในระดับพื้นที่และระดับนโยบาย เพื่อความเข้าใจร่วมกันของทุกคนในสังคม
ดำเนินการโดย มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ภาคเหนือ (SDF)
#นโยบายย้อนแย้ง
#บริหารจัดการเชื้อเพลิงหรือห้ามเผาเด็ดขาด
29 พฤศจิกายน 2567
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำเสนอมาตรการเพื่อรับมือสถานการณ์ไฟป่าฝุ่นควันต่อคณะรัฐมนตรี และได้รับความเห็นชอบเป็นมติ ครม. มีหนังสือเวียนแจ้งถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับไปดำเนินการ
หนึ่งในมาตรการสำคัญที่กำหนดไว้คือ การบริหารจัดการเชื้อเพลิงทั้งในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตร เช่น
"ให้จัดทำแผนบริหารจัดการเชื้อเพลิงที่ระบุพื้นที่และระยะเวลา แจ้งต่อคณะกรรมการระดับจังหวัด และสื่อสารให้ประชาชนในพื้นที่รับทราบ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องการบริหารจัดการเชื้อเพลิง อาทิ คำนิยาม วัตถุประสงค์ หลักการ วิธีการ และประโยชน์ของการบริหารจัดการเชื้อเพลิง"
"ให้จังหวัดนำระบบปฏิบัติการบริหารจัดการเชื้อเพลิงที่จัดทำไว้ดำเนินการตามรายชื่อเกษตรกรและจำนวนพื้นที่ที่ขึ้นทะเบียน โดยให้มีการกำหนดและประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการจัดการการเผา เช่น ต้องมีการย่อยแปลง ดำเนินการในช่วงกลางวันที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี การไม่เผาข้ามคืน ให้จัดทำแนวกันไฟโดยรอบ และควบคุมมิให้ไฟลุกลาม วิธีการควบคุมกำกับดูแลตามหลักเกณฑ์ที่ประกาศ และให้บังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน"
ซึ่งมาตรการเหล่านี้ จริง ๆ แล้ว จังหวัดเชียงใหม่ มีการทดลองใช้ และพยายามทำอยู่แล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพราะเชื่อว่านโยบายห้ามเผาเด็ดขาด ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง
เชียงใหม่ คิดค้นนวัตกรรมระบบ FireD ขึ้นมา
ไม่ใช่เพื่อสนับสนุนให้มีการเผาได้ตามอำเภอใจ
แต่เป็นการแยกแยะ วางแผน ร่วมไม้ร่วมมือ และบริหารจัดการอย่างเป็นระบบเพื่อ #ลดไฟ #ลดฝุ่น #ลดผลกระทบด้านสุขภาพ
ไม่ให้เกิดการแอบจุดแอบเผาจนควบคุมไม่ได้เหมือนที่ผ่านมา
แม้จังหวัดยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์แบบ และมีจุดที่ต้องปรับปรุงอีกไม่น้อย แต่ก็ถือว่ามีพัฒนาการที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการใชัเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ทำความเข้าใจ และร่วมกันแก้ไขปัญหา
รัฐบาลโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
รับแนวทางนี้ไปเป็นนโยบาย จนออกมาเป็นมาตรการในมติ ครม. 29 พฤศจิกายน 2567
แต่แล้ว 2 เดือนถัดมาก็เกิด #ความย้อนแย้ง ซ้อนทับขึ้น
29 มกราคม 2568
ท่ามกลางความร้อนแรงของสถานการณ์ PM2.5 ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้บัญชาการ
มีข้อสั่งการเพื่อยกระดับมาตรการทั่วทั้งประเทศ โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นในการห้ามเผาอย่างเด็ดขาด
ระหว่างมติ ครม. 29 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีหนังสือแจ้งเวียนให้ทุกหน่วยงานรับไปดำเนินการ กับ ข้อสั่งการของ บกปภ.ช. เมื่อ 29 มกราคม 2568
ทั้ง 2 นโยบายที่มีความย้อนแย้ง สร้างความสับสนให้กับทั้งชุมชนชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
ชวนฟังเสียงสะท้อนของประชาสังคม และผู้นำชุมชนจากหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งมีส่วนสำคัญในการร่วมแก้ไขปัญหานี้มาโดยตลอดครับ
#ไฟป่าฝุ่นควัน2568
#ง่ายแต่ความหมายลึก
🟢 "ป่าเดปอ"
ความเชื่อดั้งเดิมของปกาเกอญอ
จะนำรกหรือสายสะดือ(เด) ของเด็กแรกเกิด ใส่กระบอกไม้ไผ่(ปอ) แล้วนำไปผูกติดไว้กับต้นไม้(ถู่) โดยเชื่อว่าขวัญของเด็กจะอยู่ไม้ต้นนั้นตลอดไป ห้ามตัดโค่นทำลาย
สายสะดือ จึงเป็นเหมือนสายโยงความผูกพันระหว่างธรรมชาติและมนุษย์
🟢 "กระซิบรัก ป่าเดปอ"
เป็นกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่ชุมชนบ้านห้วยอีค่าง ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ คิดค้นขึ้นเพื่อรณรงค์ให้ทุกคนร่วมบอกรักป่า/ต้นไม้
โดยปรับประยุกต์ให้ร่วมสมัย ใคร ๆ ทำได้ไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกลป่า
🟢 "สร้างป่าที่ไหนก็ได้ ไม่ใช่แค่บนดอย"
ลองมองหารอบตัวนะครับว่า ต้นเดปอของเราอยู่ที่ไหน และเราจะกระซิบบอกกับเค้าว่าอย่างไรดี
#ป่าชุมชน
#สมัชชาเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดเชียงใหม่

#เฮ้ยมันไม่ใช่ละ
ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ-นักพัฒนาอาวุโสซึ่งติดตามเรื่องป่าชุมชนมากว่า 30 ปี
จากช่วงหนึ่งของชีวิตที่เคยเชื่อว่า การจะทำให้ชุมชนรักษาป่า ต้องไปจัดอบรม ไปให้ความรู้ชาวบ้าน
แต่เมื่อได้สัมผัส รับรู้ และผ่านเหตุการณ์สำคัญๆ มากมายที่กระตุกความคิดว่า “เฮ้ย! ไม่ใช่อย่างที่ตัวเองเคยคิดละ” ทำให้หันมาศึกษาและชักชวนหลายฝ่ายมาร่วม #ถอดรหัสป่าชุมชน
ปัจจุบัน ทั้งประเทศมีป่าชุมชนอยู่กว่า 12,000 แห่ง รวมเนื้อที่เกือบ 7 ล้านไร่
ทำอย่างไร? กลุ่มก้อนของการจัดการทรัพยากรนี้ จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังให้กับประเทศ และสอดคล้องกับสถานการณ์โลก
ชวนฟังข้อมูลและข้อเสนอจากชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ ในเวทีสมัชชาเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ ที่บ้านห้วยอีค่าง ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2568 ที่ผ่านมาครับ
🟢 “อบรมชาวบ้านให้รักษาป่า ไม่ได้ผล!”
อบรมทุกเดือน! เมื่อก่อนนี้ ผมไปอบรมชาวบ้านทุกเดือน อบรมให้รักษาป่า รักษาทรัพยากร ชาวบ้านมาบอก โอ้ว! อาจารย์ ผมถูกอบรมจนไหม้ละ ไม่ไหวละ ปรากฏว่าการอบรมไม่ได้สร้างจิตสำนึก มันไม่ได้ผล ผมยอมรับนะในสมัยนั้น แล้วผมเริ่มเรียนรู้ตอนไหน?
🟢 “คนที่ลุกมาคัดค้านการตัดไม้ คือชาวบ้าน”
ตอนนั้น รัฐบาลให้สัมปทานป่าไม้ มีบริษัทสัมปทานตัดไม้ไปขาย ในยุคนั้น คนที่ลุกขึ้นมาคัดค้านการสัมปทานป่าไม้คือใครรู้ไหมครับ? ชาวบ้าน! ผมไปเจอหนังสือพิมพ์เมื่อปี 2518 ผมไปเจอเรื่องบ้านหลวงหวงป่า(จ.น่าน) มีการสัมปทานแล้วชาวบ้านลุกขึ้นมาสู้ไม่ให้สัมปทาน เหตุผลคือไปทำลายป่าต้นน้ำของเขา เขาไม่มีน้ำใช้ ไม่มีน้ำเข้านาเข้าสวน
ผมไปเจอชาวบ้านประท้วง เอาบัตรประชาชนไปเผาหน้าที่ว่าการอำเภอที่เชียงราย ประท้วงเรื่องการที่มีบริษัทมาสัมปทานป่า #เอ๊ะ ผมเริ่มสงสัยว่าทำไมชาวบ้านถึงมาประท้วง ในขณะที่รัฐบาลให้สัมปทานป่า
ในที่สุดทั้งนักพัฒนา นักวิชาการ ทั้งชาวบ้าน ก็เริ่มร่วมกันคัดค้านการสัมปทานป่า และยุติไปในปี 2532 จำได้ไหมครับ? เกิดเหตุการณ์ดินถล่มที่กะทูน(จ.นครศรีธรรมราช) รวมทั้งการคัดค้านทั้งหลายแหล่ ในที่สุดก็เลยหยุดสัมปทานไป เพราะฉะนั้น สัมปทานที่หยุดไป เกิดจากกระบวนการคัดค้านของพี่น้องชาวบ้าน นักวิชาการ นักพัฒนาและประชาชนโดยรวมที่อยากเห็นป่ายังคงอยู่ต่อไป อันนั้นคือครั้งที่ 1 ที่ทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนความคิด
🟢 “เฮ้ย! มันไม่ใช่อย่างที่เคยคิดละ”
ครั้งที่ 2 เกิดเหตุการณ์ที่ป่าห้วยแก้ว(จ.เชียงใหม่) มีนายทุนไปเช่าป่า แล้วขยายทำลายป่าเพิ่มขึ้น ชาวบ้านไปคัดค้าน #เฮ้ย เอาอีกแล้ว ชาวบ้านไปคัดค้าน ในขณะที่รัฐบาลให้เช่าป่า แล้วนายทุนไปขยาย ชาวบ้านคัดค้านเพราะไปตัดต้นไม้ในป่าต้นน้ำลำธารของเขา แล้วน้ำในเหมืองฝายได้รับผลกระทบ ก็เลยลุกขึ้นมาประท้วง ที่นั่นมีผู้นำเสียชีวิตคนหนึ่ง(ครูนิด ไชยวันนะ) ในที่สุด อธิบดีกรมป่าไม้ในสมัยนั้น บินมาเลย มามอบป่าชุมชนให้กับป่าห้วยแก้ว เราเริ่มรู้จักป่าชุมชนที่บ้านห้วยแก้ว
ต่อมา ผมเริ่มมาเรียนรู้เรื่องป่าชุมชนที่บ้านทุ่งยาว(จ.ลำพูน) ชาวบ้านรักษาป่า เดิม 60 ไร่ ต่อมาขยายเป็น 800 ไร่ ต่อมาขยายเป็น 1,200 ไร่ ต่อมาขยายเป็น 2,500 ไร่ #เฮ้ย มันไม่ใช่ละ
ตอนนั้นผมทำงานที่คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ผมก็เลยขอสมาชิกนักพัฒนาลองสำรวจว่า ชาวบ้านที่ดูแลป่ามีกี่ที่ แบบป่าห้วยแก้ว แบบป่าทุ่งยาว มีเยอะไหม? สมัยนั้นน่าจะปี 2530 มีอยู่สักประมาณ 40 แห่งที่เราเจอว่าชาวบ้านรักษาป่า นี่คือการเรียนรู้ของสังคม!
🟢 “วิจัย ถอดรหัส ค้นพบ”
หลังจากนั้น เริ่มมีการวิจัยเรื่องป่าชุมชนโดย อ.เสน่ห์ จามริก เริ่มมีงานวิชาการ นักวิชาการ 4 ภาคเข้ามาวิจัยเรื่องป่าชุมชน แล้วในที่สุดก็เริ่มเกิดคำว่า “สิทธิชุมชน” เกิดคำว่า “ความหลากหลายทางชีวภาพ” ในพื้นที่ของชุมชนที่อยู่ในป่าเขตร้อน ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่สำคัญมากๆ สิ่งที่ชาวบ้านทำ ไม่ใช่อยู่ๆ แล้วค้นพบได้เลย ต้องมีคนมาถอดรหัส ต้องมีคนมาศึกษา ต้องมีคนมาค้นพบ
🟢 “ร่วมผลักดัน พ.ร.บ.ป่าชุมชน”
หลังจากนั้น ก็เริ่มผลักดันเรื่องนี้เข้าไปในรัฐธรรมนูญปี 40 ผลักดันคำว่า “สิทธิชุมชน” ล่ารายชื่อ 50,000 รายชื่อ เสนอ พ.ร.บ.ป่าชุมชนตั้งแต่ปี 42 จนเพิ่งมาได้รับอนุมัติป่าชุมชนในปี 62 เห็นไหมครับ ใช้เวลาเยอะไหม? ผมว่าเยอะนะ เพราะฉะนั้น ผมอยากจะบอกว่า การต่อสู้นี้ยังไม่จบ สู้ต่อไปครับ
🟢 “สู้" ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
การสู้ต่อ ผมอยากเสนออย่างนี้ เราจะไม่สู้เรื่องป่าชุมชนอย่างเดียว ผมเสนอให้เราสู้มากกว่านั้น เพราะสถานการณ์เปลี่ยน
1. ตอนนี้กระแสใหญ่สุดคือโลกร้อน โลกเดือด โลกรวน ทั้งโลกกำลังมีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม
2. เกิดอุบัติภัย สังเกตไหมน้ำท่วมก็แรงขึ้น ไฟไหม้ป่าก็แรงขึ้น ทุกอย่างมันจะแรงขึ้น แล้วมีผลกระทบเยอะ นี่คือสิ่งที่โลกกำลังกังวล
3. วิถีความเป็นเมืองขยายตัว แล้วคนที่อยู่ในเมืองไม่เข้าใจคนที่อยู่ในป่านะ มีช่องว่างระหว่างเมืองและชนบทสูงขึ้นเรื่อยๆ
4. เด็กรุ่นใหม่ไปเรียนหนังสือ ไม่รู้เรื่องป่า คือถ้าผมมาเจอพะตีจอนิ พะตีมูเสาะ ถ้ารุ่นพะตีพาเข้าป่า จะอธิบายต้นไม้ได้ทุกต้น รู้จักทุกต้นว่าชื่ออะไร มีคุณสมบัติอย่างไร ชาวบ้านใช้ประโยชน์อะไร แต่พอพานักเรียนและนักศึกษาเข้าป่า เขาไม่รู้จักสักต้นเดียว ผมว่าโลกมันจะเปลี่ยน ถ้าเราไม่สามารถสืบต่อความรู้นี้ได้
5. แล้วหมู่บ้านของเราเปลี่ยนไหม? หมู่บ้านก็เปลี่ยนนะ ชาวบ้านอยากได้ อยากดี อยากมีมากขึ้น ซึ่งมันขึ้นอยู่กับนโยบายว่าจะส่งเสริมให้ชาวบ้านทำอะไร ชาวบ้านก็จะไปอย่างนั้นเยอะขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคืออะไร?
🟢 “เยียวยาโลกด้วยวิถีชุมชน”
ฐานที่เราทำอยู่ เป็นทางออกของโลก ผมอยากพูดอย่างนี้
วิถีชีวิตของพี่น้องที่อยู่กับป่า วิถีที่เราทำเรื่องป่าชุมชน จะเป็นคำตอบของโลกที่จะแก้ปัญหาเรื่องโลกร้อน โลกรวน โลกเดือด
วิถีชีวิตที่เคารพป่า เคารพดิน เคารพน้ำ ผมว่านี่เป็นหลักใหญ่ที่สุด
วิถีแบบนี้จะเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไปได้อย่างไร? ผมว่าต้องช่วยกันสร้าง ต้องช่วยกันให้กำลังใจ ต้องช่วยกันเรียนรู้ ต้องช่วยกันสนับสนุนจากรุ่นอาวุโสไปสู่รุ่นใหม่ให้ได้ เพราะมีวิถีนี้เท่านั้นที่จะรักษาโลกใบนี้ไว้ได้ อยู่อย่างพอดี ใช้ประโยชน์ด้วย รักษาด้วย ยั่งยืนด้วย เป็นทั้งจิตวิญญาณ เป็นทั้งวิถี เป็นทั้งความรู้ที่ลึกซึ้ง ผมอยากให้เราสืบทอดอันนี้
🟢 “เชื่อมนโยบายและภาคีทุกภาคส่วน”
ทีนี้ แค่สืบทอดไม่พอ เพราะมีนโยบายต่างๆ ของรัฐที่ส่งเสริมเข้ามา ถ้านโยบายให้เราปลูกข้าวโพด เราก็ปลูกข้าวโพด นโยบายให้เราขุดแร่ เราก็จะขุดแร่ นโยบายให้เราตัดไม้ไปขาย เราก็จะตัดให้ไปขาย
ผมคิดว่าเราต้องเอาพลังวิถีของเราไปเปลี่ยนนโยบาย ให้เป็นนโยบายที่ยั่งยืน เป็นนโยบายที่มีจิตวิญญาณที่จะรักษาธรรมชาติ ให้นโยบายนั้นมีความรู้ในการรักษาธรรมชาติอย่างยั่งยืน ให้นโยบายนั้นมาสนับสนุนวิถีชีวิตที่ยั่งยืนของเรา ผมว่านี่คือเรื่องใหญ่มาก
แล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องป่าชุมชน
ทำอย่างไรให้การผลิตอาหารที่เป็นอาหารจากไร่หมุนเวียน อาหารพื้นบ้าน อาหารปลอดสารพิษ สามารถขยายตัวได้อย่างเข้มแข็ง ตอนนี้ มีสภาอาหารสุขภาพจังหวัดเชียงใหม่แล้ว จะมาร่วมมือกันอย่างไร? มีสภาลมหายใจเชียงใหม่ซึ่งลุกขึ้นมาดูแลเรื่องฝุ่นควันไปป่า จะมาร่วมมือกับพี่น้องอย่างไร? ต้องมาช่วยกัน มีสภาชนเผ่าฯ จะมาช่วยกันได้อย่างไร? ตอนนี้มีสมัชชาเครือข่ายป่าชุมชนจะมาช่วยกันอย่างไร? แล้วทางหน่วยงานป่าไม้ ตอนนี้ก็มีส่วนป่าชุมชนที่จะมาช่วยกัน ซึ่งอันนี้ก็ต้องขับเคลื่อนกันต่อไป
🟢 “ขับเคลื่อน 2 แนวทาง”
ผมเสนอว่า
1. ต้องทำวิถีของเราให้แข็งแรงว่าเราจะอยู่อย่างไร เราจะกินอย่างไร เราจะใช้ป่าอย่างยั่งยืนอย่างไร เราจะมีเศรษฐกิจสีเขียว เราจะมีอาหารปลอดภัย เราจะมีวิถีวัฒนธรรมความเชื่อ มีพื้นที่จิตวิญญาณ ที่เราจะดูแลรักษาป่าต่อไปอย่างไร เราจะสร้างการเรียนรู้ให้กับลูกหลานเราอย่างไรที่จะสืบเนื่องสิ่งเหล่านี้ต่อไป
2. ขยายไปสู่สังคมที่ใหญ่ขึ้น และสร้างนโยบายที่ดีขึ้น ตอนนี้เรากำลังจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เราจะผลักดันเรื่องนี้เข้าไปในรัฐธรรมนูญอย่างไร สิทธิชุมชนก็ดี วิถีการดูแลธรรมชาติอย่างยั่งยืนก็ดี ต้องถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญ เราจะกระจายอำนาจให้ชุมชนมีสิทธิในการดูแลป่า ดูแลดิน ดูแลน้ำอย่างไร ผมคิดว่าเราคงต้องร่วมกันผลักดันนโยบายนี้ให้เข้มแข็งและแข็งแรง ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาวิถีชีวิตจิตวิญญาณของเราต่อไปในอนาคต
***สนใจรับฟังคลิป "ถอดรหัสป่าชุมชน" ติดตามได้ทางยูทูบลิงก์นี้นะครับ https://youtu.be/VQTI52G-ahM
#ป่าชุมชน #สมัชชาเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดเชียงใหม่
"วิถีของชุมชนที่อยู่กับป่า จะเป็นคำตอบของโลกร้อน โลกเดือด โลกรวน
เป็นทั้งจิตวิญญาณ เป็นทั้งวิถี เป็นทั้งองค์ความรู้ที่ลึกซึ้ง
วิถีแบบนี้จะเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไปได้อย่างไร?
#ทุกฝ่ายต้องช่วยกันสร้าง "
สมัชชาเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดเชียงใหม่
คือความพยายามในการปลุกพลังและเชื่อมร้อยทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน
กลางเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา
จัดงานสมัชชาขึ้นเป็นครั้งแรกที่บ้านห้วยอีค่าง อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่
และจากนี้ไปทุกเดือน จะสัญจรและชวนกันปลุกพลังในอีกหลายอำเภอของจังหวัดเชียงใหม่ (เวียงแหง แม่ออน แม่แจ่ม อมก๋อย ฯลฯ)
มีเรื่องราวหลากหลายมิติ ทั้งโอกาสและข้อจำกัด
ปกป้อง ฟื้นฟู อนุรักษ์ ใช้ประโยชน์
บริหารจัดการไฟป่าฝุ่นควัน
จัดการท่องเที่ยว สร้างอาชีพ รายได้
สร้างกองทุน สร้างความภาคภูมิใจให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ในชุมชน
เชื่อมโยงภาคีทุกภาคส่วน นโยบาย กฎหมาย รัฐ เอกชน วิชาการ ประชาสังคม รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ
ชวนติดตามคอนเทนต์/ซีรีย์ #ป่าชุมชน ทางเพจ forestbook นะครับ
#สมัชชาเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดเชียงใหม่
ขอบคุณ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
มูลนิธิใจกระทิง
Change Fusion
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.)

#ประชาชนในเขตป่าอนุรักษ์
เข้ายื่นหนังสือถึง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
คัดค้านการออกพระราชกฤษฎีกาฯ 2 ฉบับ ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของพื้นที่ และจะนำไปสู่ "ความขัดแย้ง" ระหว่างรัฐกับประชาชนครั้งใหญ่
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2567
ณ ห้องรับรอง ท่าอากาศยานเชียงใหม่
เครือข่ายกลุ่มเกษตรกร ภาคเหนือ (คกน.), เครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตป่าอนุรักษ์, เครือข่ายกะเหรี่ยง ภาคเหนือ ได้เข้ายื่นหนังสือขอคัดค้านการออกพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 และพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ต่อนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เนื่องจาก รายละเอียดในเนื้อหาของร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์ฯ ทั้ง 2 ฉบับ หากผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมของคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ที่กำลังจะถึงนี้ จะกลายเป็นความชัดแย้งและส่งผลกระทบต่อประชาชนในที่อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์กว่า 4 พันชุมชน
อาทิเช่น มาตรา 11 ที่ระบุไว้ว่า ผู้อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการฯ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม อาทิ
ความในวรรค 2 ที่ระบุว่า การอยู่อาศัยและทำประโยชน์บนที่ดินที่อยู่อาศัยหรือทำกินตามโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และไม่มีที่ดินทำกินอื่นนอกเขตพื้นที่โครงการ
ความในวรรค 3 ที่ระบุว่า ไม่มีที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองในที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัยอื่น แต่ตามสภาพข้อเท็จจริง มีหลายหมู่บ้านมากที่ตั้งบ้านเรือน ทำมาหากิน มายาวนาน หากแต่บางพื้นที่ถูกประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ และต่อมาก็มานำพื้นที่บางส่วนไปประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ทำให้กลายมาเป็นปัญหาป่าทับคนที่เป็นปัญหาเรื้อรังมาอย่างยาวนาน
การไปกำหนดรายละเอียดในลักษณะนี้
ขัดแย้งกับสาระสำคัญของความเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ โดยการไปกำหนดคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการฯไว้อย่างคับแคบ และไม่เข้าใจบริบทแห่งสภาพความเป็นจริงของพื้นที่
เครือข่ายประชาชนที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ ขอให้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้พิจารณาดำเนินการประสานงาน เพื่อให้เกิดการยุติ ยับยั้ง ชะลอ การออกพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวออกไป แล้วจัดให้มีการรับฟังความเห็นของประชาชนในเขตป่าอนุรักษ์อีกครั้ง เพื่อปรับแก้สาระที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงของชุมชน
ทางด้านนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้รับปากกับทางเครือข่ายฯ ว่าจะนำไปพิจารณาและดำเนินการอย่างเร่งด่วน และจะนำไปหารือกับคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป โดย #ยังไม่รับปากว่าจะยับยั้งหรือชะลอ การนำเอาเรื่องนี้เข้าที่ประชุมของคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 หรือไม่อย่างไร
หลังจากนี้ทางเครือข่ายประชาชนที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ จะคอยติดตาม การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจนกว่าจะได้ข้อสรุปตามแนวทางที่ได้เสนอไป
หมายเหตุ...
หลักการและเหตุผลของการคัดค้านพระราชกฤษฎีกาฯ ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ ติดตามรายละเอียดได้ในในลิงก์นี้ครับ https://youtu.be/JlR_l5dNz14?si=EnTJ0tUxkcyDrSa8
#จับตาแผนเชียงใหม่
#รับมือไฟป่าฝุ่นควัน2568
หลายคน คงใจจดจ่อว่า
ปีหน้า 2568 ทิศทางการบริหารจัดการของเชียงใหม่จะเป็นอย่างไร?
5 นาทีของคลิปนี้
เก็บประเด็นที่น่าสนใจบางส่วนจากวงประชุม "นัดแรก" ของ #คณะทำงานสนับสนุนการจัดทำแผนป้องกันไฟป่าและการบริหารจัดการเชื้อเพลิงในระดับพื้นที่ (เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567)
🟢สรุปผลการดำเนินงานและตัวชี้วัดของฤดูฝุ่นเมื่อต้นปี 2567
🟢แม้ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ทำให้เห็นแนวทางชัดเจนหลายส่วน รวมถึงต้องปรับแก้อีกหลายจุด
🟢ปี 2568 แบ่งพื้นที่การประสานงานเป็น 8 กลุ่มป่า
🟢ปี 2568 ยังคงใช้นโยบายต่อเนื่องในการเปิดช่องให้มีการบริหารจัดการเชื้อเพลิง (ชิงเผาอย่างรับผิดชอบ)
🟢ปี 2568 จะมีประกาศห้ามเผาในที่โล่งตั้งแต่ 1 มกราคม - 15 พฤษภาคม แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้ไฟ ให้ลงทะเบียนผ่านระบบ FireD
🟢ปี 2568 แพลตฟอร์ม FireD พัฒนาขึ้นกว่าปีก่อนๆ แต่ก็ยังมีกลไกขั้นตอนอีกหลายส่วนต้องปรับจูนและสื่อสารกับสังคม
🟢ปี 2568 ทุกฝ่ายยอมรับตรงกันว่า "แผนในระดับพื้นที่ชุมชนและท้องถิ่น" คือหัวใจสำคัญในการชี้วัดผลลัพธ์ แต่การจะได้มาซึ่ง "แผนที่มีประสิทธิภาพ" ไม่ใช่เรื่องง่าย
🟢ปี 2568 บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะยิ่งเข้มข้น เป็นโจทย์ที่ทุกฝ่ายต้องช่วยเสริมศักยภาพทั้งงบประมาณ ประสิทธิภาพ และระเบียบกฎหมาย
หลายปีที่ผ่านมา
เชียงใหม่เริ่มเห็นกรอบแนวทางและจิ๊กซอว์ชัดขึ้น
มากกว่าการเผชิญเหตุ คือการป้องกัน
มากกว่าการป้องกัน คือต้องเน้นที่มาตรการสู่ความยั่งยืน
ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่กำลังพัฒนาร่างแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี
รายละเอียดต่าง ๆ คลิกดูในคลิปได้เลยครับ
#ไฟป่าฝุ่นควัน2568 #การบริหารจัดการเชื้อเพลิง
ขอบคุณ
โครงการขยายผลป่าชุมชนต้นแบบยกระดับการถ่ายโอนภารกิจ เพิ่มประสิทธิภาพควบคุมไฟป่าลดผลกระทบ PM 2.5
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

#ผมก็เคยเป็นนักอนุรักษ์จ๋า
ท่ามกลางข้อถกเถียงและความขัดแย้งเรื่องที่ดิน ป่าไม้ และวิกฤตไฟป่าฝุ่นควัน มีความพยายามในการหาทางออกที่สมดุลและเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย
แต่บ่อยครั้งที่เราต้องติดกับดักทางกฎหมายและแนวคิดเดิมในอดีต ทั้งที่บริบทของสังคมเปลี่ยนไปแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ยากที่จะเดินต่อ
เพื่อก้าวให้พ้นข้อจำกัด และปรับกระบวนทัศน์ใหม่
forestbook ชวนมาร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิด ข้อมูลและข้อเสนอที่น่าสนใจของ ผศ.ดร.นันทชัย พงศ์พัฒนานุรักษ์ ภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยเรียบเรียงถ้อยคำบางส่วนจากงานเสวนา "ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 สร้างความเข้าใจ สู่การแก้ไขอย่างยั่งยืน" ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 ครับ
🟢 "ผมเข้าใจผิดนี่หว่า"
รู้ไหมครับ? ผมเลือกเรียนวนศาสตร์อันดับหนึ่ง เลือกอันดับเดียว เกิดมาอยากเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ผมมีความรู้สึกว่า โห! ป่านี่มันมีแต่คนใช้ประโยชน์ ผมต้องเป็นนักอนุรักษ์ ▶️️เมื่อก่อน ผมคิดว่าถ้าตัดไม้คือคนชั่ว แต่พอเข้ามาเรียนวนศาสตร์ ผมเข้าใจผิดหมดเลยนี่หว่า◀️ ป่ามันต้องจัดการ ประเทศไทยร้อยละ 70 มันถูกคนเข้าไปเกี่ยวข้อง ป่าที่สูงเท่านั้นแหละที่คนไม่ไปเดิน แต่ป่าตรงไหนที่พอจะไปได้ เขาไปหมด เพราะคนเข้าไปเกี่ยวข้อง มันจะไม่จัดการไม่ได้
🟢 "สองกลุ่มเริ่มตีกัน"
เรื่องการจัดการระบบนิเวศเนี่ย เมื่อเช้า ผมมีแขกมาจากออสเตรเลีย เขาก็ทําทั้งชีวิตเรื่องของการจัดการหมู่ไม้ในป่า ก็คุยกันว่าประเทศเขาก็เกิดปัญหาเหมือนบ้านเรา อ้าว นี่คุณประเทศพัฒนาแล้วนะ คุณยังบอกว่ามีปัญหาจัดการป่าในพื้นที่คุ้มครองไม่ได้เหมือนเราอีกเหรอ เขาก็บ่นว่าจัดการหมู่ไม้ไม่ได้เลย สัตว์ป่าไม่มีที่จะหากินแล้ว อย่างเช่นเราก็คุยกัน สมมุติในป่ามีต้นติ้วรอบๆ มีต้นเต็งรัง 1 ต้น มีติ้ว 4 ต้น เราจะจัดการยังไง ถ้าเราอยากให้เต็งรังต้นนี้ที่มีความสูงเท่ากับต้นติ้วรอบๆ มันได้โตต่อไป มันต้องตัดออก คําถามก็คือ มันอยู่ในพื้นที่คุ้มครอง แล้วเราไปตัดได้ยังไง แต่ถ้าเราปล่อยไป สภาพป่าเต็งรังจะหายไป ซึ่งมันเป็นอย่างงั้นจริงๆ มันมีหลักฐานแล้วว่ามันเป็นอย่างงั้นจริงๆ
ในอเมริกา ตีพิมพ์งานวิจัยออกมาแล้วว่า ในพื้นที่คุ้มครอง National Park จะต้องจัดการละ ▶️ตอนนี้ 2 กลุ่มเริ่มตีกัน ไอ้ที่เคยเป็นคนแบบผมมาก่อนในอดีตที่บอก “อนุรักษ์จ๋า” เลย ยังไงก็ไม่ให้ตัด ตอนนั้นผมเป็นอย่างนั้นจริง ๆ◀️ แต่พอมันเห็นปัญหาไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ตัดนี่ สงสัยป่าสักก็ไม่ฟื้นกลับมา หลังการทําไม้ ป่าเต็งรังก็หายไปหมด ป่าตะเคียนทองวันนี้ก็เริ่มจะไม่ค่อยจะอยากจะอยู่ละ เพราะอายุมากกันหมด แต่เราไม่มีมาตรการในเรื่องของการจัดการ
🟢 "การใช้ไม้ ไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ"
ง่าย ๆ นะครับ การจัดการป่าไม้คือการจัดการการสืบต่อพันธุ์ตามธรรมชาติของต้นไม้ที่มีอยู่ในป่า ถ้าเราจัดการการสืบต่อพันธุ์ของมันไม่ได้ ป่ามันจะเปลี่ยน แล้วป่ามันเปลี่ยนมันเดือดร้อนยังไง ก็ต้องถามคนไทยว่า ถ้าไม่มีป่าสักกลับคืนมา ไม่มีป่าเต็งรังกลับคืนมา ไม่มีป่าที่มีความหลากหลายเหมือนในอดีตที่ก่อนการทําไม้กลับคืนมา เราเดือดร้อนไหม ซึ่งในเรื่องแบบนี้ ▶️การใช้ไม้ไม่ใช่เป็นสิ่งน่ารังเกียจในมุมผมนะ แต่การไม่จัดการป่า จนกระทั่งเราไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรได้เลย ในมุมของนักจัดการคือสิ่งน่ารังเกียจ◀️ เพราะฉะนั้น ในวันที่ผมในอดีตเคยเป็นอยากเป็นนักอนุรักษ์และเป็นด้วย แล้ววันนี้มันจะต้องก้าวมาเป็นนักจัดการ คำถามก็คือสังคมไทยพร้อมรับในเรื่องของบริบทของการจัดการ เพื่อให้มันมีปลายทางที่เราเรียกว่าเป็นสภาพที่เราปรารถนาในทรัพยากรหนึ่ง ๆ ไหม
🟢 "เราจะติดกับดักตัวเองหรือเปล่า"
ที่เมื่อกี้เราพูดกันเรื่องการเอาเข้าสู่ระบบในการจัดการคาร์บอนเครดิต อย่าลืมนะครับ Carbon Accumulation (การสะสมคาร์บอน) เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งแล้ว ต้นไม้จะลดในเรื่องของดีกรีการสะสมคาร์บอนในผืนป่า แล้วจะคงที่ แต่ในส่วนของหมู่ไม้ที่อายุน้อย มันจะมีการสะสมได้เร็วมาก เพราะฉะนั้นถึงจุด ๆ หนึ่ง เขาจะทําไม้ออก เพราะมันเก็บคาร์บอนมาอยู่ในรูปของเนื้อไม้เรียบร้อยแล้ว มันมีการใช้ประโยชน์ตัวนี้ล่ะครับก็คือเงินมหาศาลที่มันจะได้หลังจากคาร์บอนเครดิต
คําถามผม ทุกวันนี้ เรามุ่งไปที่คาร์บอนเครดิตโดยไม่สนใจชนิดไม้ อะไรก็ได้ขอให้มันเป็นต้นไม้ คําถามคือ ถ้าวันหนึ่งฝรั่งเลิกซื้อขายคาร์บอนเครดิต ไม้ที่เราไปส่งเสริมให้เกิด Carbon Stock อยู่ในผืนป่า กลายเป็นไม้ที่ไม่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ในแง่ของเนื้อไม้เลย คําถามคือ ▶️เราจะติดกับดักตัวเราเองหรือเปล่า?◀️ สิ่งที่เราต้องการก็คือ วันนี้เราต้องการคาร์บอนเครดิต วันหน้าคาร์บอนเครดิตตัวนี้จะต้องเป็นเนื้อไม้ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ด้วย ซึ่งถ้าโจทย์ของประเทศเป็นเรื่องของ Land Management จริงๆ มันกำลังรอการจัดการอยู่
🟢 "ต้องโซนนิ่งและปลดล็อกเรื่องการจัดการที่ดินป่าไม้"
สิ่งที่เราจะต้องให้ความสําคัญจริง ๆ ก็คือเรื่องของ Land Management (การจัดการที่ดิน) เรื่องสิทธิที่ทํากินในที่ดินป่าไม้ ที่เราบอกว่า ทุกอย่างมันมาติดที่ พ.ร.บ. มันติดที่ตัวสาระของกฎหมายที่เราไม่สามารถดิ้นอะไรได้เลย ▶️บริบทของสังคม มันไดนามิกเปลี่ยนไปแล้ว แต่เรายังอ้างอิงกฎหมายในวันที่เรามีเจตจํานงในวันนั้นมาใช้ จนกระทั่งถึงวันนี้ มันเป็นเรื่องที่ยากที่จะทําให้เข้ากับบริบททางสังคมในปัจจุบัน◀️
จะทํายังไงให้ป่าเป็นประโยชน์กับสังคมไทยมากที่สุด ต้องเริ่มจากการจัดลำดับความสำคัญ ป่าที่มีสัตว์ป่า ป่าที่ต้องการเก็บพันธุกรรมสัตว์ป่า ป่าที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ ป่าที่มีคุณค่าในแง่ของการผลิตเนื้อไม้ เหล่านี้เราต้องประเมินออกมาว่ามันอยู่ที่ไหน? แล้วเราจัดการที่ดินป่าไม้ให้เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศจริง ๆ ที่เรามองภาพว่ามันจะต้องสร้างสรรค์เศรษฐกิจสังคมไทยได้ เพราะฉะนั้น เราอาจจะต้องมีการจําแนก “โซนนิ่ง” ของป่าที่เป็นพื้นที่คุ้มครองเหล่านั้น มาสู่ในเรื่องของการจัดการพื้นที่ป่าที่จําเป็นจะต้องมีการจัดการ อย่างเช่นป่าที่ผ่านการทําไม้มาแล้ว แล้วไม่สามารถฟื้นคืนกลับไปเป็นป่าดั้งเดิมได้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จะเข้ามาร่วมกันอย่างไร? มันอาจจะมีความสำคัญในแง่ของการอนุรักษ์ เป็นพื้นที่ต้นน้ำ ในโซนที่อาจจะมีความลาดชันสูงตรงนั้น เราต้องประเมินออกมา แล้วแบ่งโซนนิ่งอีกครั้ง
ส่วนตรงไหนที่มันใกล้กับชุมชน เขาจะได้รับประโยชน์ในแง่ของ Incentive (แรงจูงใจ) อะไรบ้าง? ในแง่ของการสนับสนุนเงินชดเชย สมมุติถ้าเรามีกฎหมายออกมา ผมให้สิทธิที่ทํากินคุณนะ แต่คุณจะต้องเก็บไว้เป็นป่า แล้วคุณทําการเกษตรป่าไม้ ผมว่าชาวบ้านก็แฮปปี้นะ แต่เรามีแรงจูงใจให้เขาทําอย่างอื่นด้วย แล้วใช้เวลาเป็นตัวแก้ไขปัญหา เหล่านี้คือสิ่งที่ ▶️ผมว่าจะต้องปลดล็อกในเรื่องของ Land Management ซึ่งถ้าไม่ทําวันนี้ ผมก็มองไม่ออกเหมือนกันว่า PM2.5 เนี่ย มันจะแก้ยังไง◀️ นี่คือสิ่งที่เราเห็นมาตลอดในช่วงอายุขัยเรา แล้วมันอาจจะส่งต่อถึงเจเนอเรชั่นถัดไป มันจะต้องเกิดปัญหาที่ต้องรอการแก้ไขตามมา
🟢 "ผมก็เคยมองประชาชนเป็นผู้ร้าย"
สิ่งที่สังคมไทยต้องการจริง ๆ คือภาคธุรกิจการเกษตรที่เกื้อหนุนคนในระดับรากหญ้าจริง ๆ ที่ไม่ใช่เป็นคนในระดับผู้ลงทุน มันคือกลไกของการจัดการที่ดิน ส่วนหนึ่งคือที่ดินป่าไม้ แต่พูดไปบางท่านก็อาจจะเอาอิฐขว้างผม เพราะเหมือนไปยกพื้นที่อุทยานให้กับเกษตรกร ซึ่งมันไม่ใช่! มันไม่ใช่! ที่ดินที่ประกาศไปแล้ว ยังไงก็ยังต้องมีสถานภาพทางกฎหมายเป็นแบบนั้น
แต่จะทํายังไงที่เราบอกว่าวันนี้เรามี พ.ร.บ.อุทยานฯ ที่ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมได้ ฝั่งพวกอนุรักษ์โคตรกลัวเลย กลัวว่า โอ้โห! เราไปให้สิทธิ์ชุมชนเยอะไปหรือเปล่า?
แต่ในมุมกลับ เราไม่รู้จักโซนนิ่ง ▶️เรามองภาพประชาชนเป็นผู้ร้าย ผมก็เคยเป็นแบบนั้นนะ ทำงานกับภาคประชาชน ผมบอกเลย “คุณคือผู้ร้าย” ภาคประชาชนก็บอก “อาจารย์ก็คือผู้ร้าย”◀️ อันนี้คือเรื่องจริงนะครับ แต่พอเราไปสัมผัส คือถึงจุด ๆ หนึ่งเนี่ย ผมว่าสิ่งสำคัญคือนโยบาย ถ้านโยบายรัฐไม่ชัด พวกระดับปฏิบัติ หัวหน้าอุทยานฯ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์ฯ ไม่มีใครอยากทะเลาะกับชาวบ้านหรอก เพราะมันไม่เคยชนะ แล้วทรัพยากรก็จะหมดไปเรื่อย ๆ ด้วย สัตว์ป่าก็หายไปทุกวัน เหล่านี้คือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น
🟢 "ไฟมาป่าหมดจริงหรือ"
ปีที่เราเจอไฟป่าขนาดใหญ่อย่างเช่น ในปี 1989 (พ.ศ.2532) ที่อุทยานแห่งชาติ Yellowstone (อเมริกา) ทําให้การจัดการของทั้งโลกเปลี่ยนไปเลย ประเทศเราก็เริ่มตระหนักว่า “เฮ้ย! ไฟป่ามันไม่ดีนะ” เราควรจะ suppress ก็คือกดมันไม่ให้มันเกิดขึ้น แต่ในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 1989 จนปัจจุบัน เกือบ 40-50 ปี โลกเรียนรู้ ตอนนี้กลายเป็น issue ใหญ่ในประเทศอเมริกาว่า “เฮ้ย! แล้วจริง ๆ ที่เราทําตอนนั้น มันถูกต้องไหมที่เราไปควบคุมไฟป่าแบบนั้น” เพราะตัวเลขจากงานวิจัย เอาประเด็นที่ผมจะพูดว่า “ไฟมาป่าหมด จริงไหม?” อย่างป่าดิบแล้งที่เราบอกว่ามันไม่ควรมีไฟเข้าไป ในปีเดียวกับที่เกิดไฟป่าที่ Yellowstone ห้วยขาแข้งก็ไหม้ทั้งแปลงในปีนั้น ไหม้จนขึ้นไปสู่ป่าดิบเขาด้านบน 1,000-1,300 เมตร ไหม้หมดปีนั้น แต่หลังจากนั้น ป่ามันฟื้น อัตราการตายของต้นไม้ในป่าดิบแล้งในปีนั้นขึ้นไปถึงราวแค่ 1.5% จากที่โดยปกติอยู่ที่ประมาณ 0.5-0.7% ขึ้นไปที่ 1.5% แล้วหลังจากนั้น ต้นไม้ทุกอย่างก็กลับฟื้นคืนมา
แต่ปัญหาที่ตามมาคือ หลังจากมีนโยบายการกันไฟแบบสิ้นเชิงแล้ว ปรากฏว่าสังคมพืชที่เราอยากจะได้ หน้าตาของป่าที่เราอยากจะได้ อย่างเช่น ป่านี้มีไม้เด่นอย่างกลุ่มไม้เบญจพรรณ ไม่ว่าจะเป็นมะค่าโมง ประดู่ หรือกลุ่มไม้ตะเคียน ไม้ยางทั้งหลายที่เราอยากได้ หรือแม้แต่ในป่าเต็งรัง กลุ่มไม้ยางที่จะเป็นกลุ่มเต็งรัง มันเริ่มลดน้อยถอยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในป่าที่ผ่านการทำไม้ไปแล้ว
ในประเทศไทย หลังจากที่เราปิดป่า มันเกิดช่วงเดียวกันเลยก็คือ ▶️ช่วงที่เราปิดป่า แล้วก็หยุดการทำไม้ แล้วก็หยุดไฟป่าด้วย มันเกิดพร้อมกันหมดเลย (ปี 2532) ยุคนั้นเราเรียกว่าเป็น “ยุคอนุรักษ์จ๋า”◀️ เพราะโลกถูกการใช้ประโยชน์อย่างแสนสาหัสในการทำไม้ออก ในการใช้เป็นพื้นที่การเกษตร ในการเผาป่าที่จะปลดปล่อยในเรื่องของคาร์บอนเกิดขึ้นในยุคนั้นหมดเลย ในช่วงปี 1980 กว่า ๆ ไปถึงปี 2000 เป็นช่วงที่เราตระหนักในปัญหาพวกนี้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจำได้ไหมครับที่เพิ่งผ่านมา ไฟไหม้ป่าที่ออสเตรเลียที่บอกว่าไหม้แรงที่สุด รายงานเพิ่งออกมาว่า ป่าที่มันไหม้ตอนนั้น แล้วตอนนี้ที่กลับไปวัดซ้ำในเรื่องของต้นไม้ ปรากฏว่าอัตราการตายวันนั้นสูงถึง 30% แต่วันนี้ 30% ที่ตาย กลายเป็นว่ามันไปกําจัดต้นไม้ที่เป็นไม้พื้นล่างเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ต้นไม้ขนาดใหญ่ ปรากฏว่า ป่าเขาได้รับอานิสงส์จากการที่กันไฟป่ามาอย่างยาวนาน สังคมพืชที่เขาบ่นกันว่า เฮ้ย! มันไม่กลับคืนมาเนี่ย มันเริ่มกลับคืนมา
บ้านเราเนี่ย เกิดปัญหาในเรื่องการจัดการทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุดก็คือ เรามักจะรู้แค่ 1.เราไม่พอใจในสถานภาพของทรัพยากรที่มันเป็นอยู่ตอนนี้ อย่างเช่นไฟ เราไม่ชอบมัน ป่าไฟไหม้ เราไม่ชอบมัน แต่ 2.เราไม่เคยบอกว่าป่าที่อยู่ปลายทางที่เราอยากได้มันหน้าตายังไง ต้นทางคุณบอกว่าคุณไม่พอใจ มันไม่เพียงพอในการที่จะไปกําหนดนโยบายในการจัดการ คุณต้องกําหนดมาด้วยว่า goal หรือเป้าหมายของคุณ จะจัดการไปให้ถึงจุดไหน เพราะเป้าหมายนี้ จะเป็นตัวไปกําหนดในเรื่องของแผนต่าง ๆ ที่จะต้องเกิด action plan ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นแผนที่สมบูรณ์ มันจะต้องบอกด้วยว่าเราอยากได้ปลายทางของประเทศเป็นยังไง?
🟢 "งานวิจัยยังจำกัดและความรู้ที่ยังไม่เพียงพอ"
ในระดับนโยบายวันนี้ เรื่องของไฟป่า กับเรื่องของไฟในภาคการเกษตร คําถามคือ เรามีตัวเลขที่พอจะเอามาใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจในภาคนโยบายที่เป็นที่ยอมรับทุกภาคส่วนได้แล้วหรือยัง? งานศึกษาวิจัยบ้านเรา ไม่ได้มีงานวิจัยที่มีการ monitoring ในเรื่องของระบบนิเวศไม่ว่าจะเรื่องไหน ๆ มันไม่มีงาน long term เลย มันเป็นงาน short term ที่ทํางานแบบลูบหน้าปะจมูก แต่เราอยากจะเอาข้อมูลเหล่านั้นไปสนับสนุนการตัดสินใจในระดับนโยบาย มันถึงเกิดปัญหาไม่เป็นที่ยอมรับ
ไปดูตัวเลขของงบวิจัยที่ทางรัฐจัดสรรให้ เราได้ยินตัวเลขแล้วเราก็ตกใจ เหมือนโยนมาก้อนหนึ่ง แล้วให้นักวิจัยกระโดดแย่งกัน ผมว่ามันตลก แต่งานวิจัยในลักษณะที่จะต้องไปตอบในเรื่องของการตัดสินเชิงนโยบาย มันจะต้องรู้เรื่องของตัวเลขแต่ละตัวเลขที่เราให้ความสนใจ อย่างเช่น PM 2.5 ที่มาจากภาคเกษตร ภาคป่าไม้ มันเท่าไรกันแน่ ทั้งในเชิงพื้นที่และเวลา ตัวเลขพวกนี้จะช่วยให้เกิดการสนับสนุนการตัดสินใจ
การอยู่ในระบบสังคมที่ขาดแคลน ขาดแคลนทรัพยากรทุกอย่าง เงินก็ไม่มี ความรู้ที่เพียงพอก็ยังไม่มี เราต้องยอมรับว่างานวิจัยของเรา ยังมีอยู่อย่างจํากัด แต่ด้วยความจํากัดตรงนี้ ผมบอกเลย การจัดการทรัพยากรมันเป็นการ Learning by Doing มันเป็นการปฏิบัติ จัดการ แล้วmonitoring แล้วเอากลับมา adaptive ให้มันเกิด management ถูกไหมครับ ซึ่ง ▶️ถ้าไม่กล้าเริ่มที่จะทําเลย มันจะไม่ได้ทําอะไรเลย เพราะจะมารอว่าให้ประเทศไทยสร้างงานวิจัยจนตกผลึก ผมว่าเราต้องกลับมาตายเกิดอีกกี่ชาติก็ไม่รู้นะครับมันถึงจะตกผลึกได้◀️
🟢 "ป่าต้องการการรบกวนและการจัดการ"
ในส่วนของการที่เราจะตัดสินในเรื่องการจัดการไฟป่า มันมีหลักของมันนะครับ ปกติแล้วเรามองไฟป่าเป็น disturbance หรือเรื่องของการรบกวน การรบกวนที่เกิดขึ้นในป่าไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ผมเรียนภาคสังคมอย่างนี้นะครับ ป่าในประเทศไทย เราคงไม่ต้องการให้ป่าทุกผืนกลายเป็นป่าที่เรียก Old-growth forest คือเป็นป่าที่เป็นไม้ต้นใหญ่ ๆ แล้วก็มีไม้สวย ๆ เหมือนกันหมด เพราะสัตว์ป่าต้องการพื้นที่เปิดโล่งบ้าง ต้องการพื้นที่ที่เป็นพื้นที่มีต้นไม้เบาบางบ้าง มีต้นไม้มากบ้าง ซึ่งการปรับตัวของสัตว์มีมายาวนานแล้วในเชิงของการวิวัฒนาการ แต่คนไทยชอบคิดว่า ป่าจะต้องเป็นป่าที่เป็น Old-growth forest ที่เป็นป่าแก่ เป็นป่าอายุมาก ซึ่งในความเป็นจริง มันเป็นแบบนั้นไม่ได้ มันจําเป็นที่จะต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้เกิดความหลากหลายในเรื่องของระบบนิเวศ มันต้องการการรบกวนซึ่ง “ไฟ” เป็นการรบกวนตัวหนึ่งที่สําคัญที่สุดในบ้านเรา เพราะป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ก็วิวัฒนาการมาร่วมกับชุมชนนี่แหละ ใครจะเผาถ้าไม่ใช่คนเผา ตัวเลขของการเกิดไฟในบ้านเราที่บอกว่าเกิดจากธรรมชาติมันไม่มีอยู่จริง
สิ่งที่มันจะต้องเกิดขึ้นก็คือ ไฟในฐานะที่จะทําให้เกิดการรบกวนระบบนิเวศ เราพิจารณาการจัดการอยู่ 3 ตัวหนึ่ง-ขนาดของพื้นที่ที่จะให้มันไหม้ สอง-ความรุนแรงของไฟ สาม-ความถี่ของไฟ 3 ตัวนี้แหละที่เราจะต้องเอามากําหนดในเรื่องของมาตรการในการจัดการให้เกิดการสร้างสรรค์ ให้ได้รับ Impact (ผลกระทบ) ที่เป็นบวกมากกว่าลบ Impact มันก็บอกด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ผลกระทบมีทั้งบวกทั้งลบ ไฟก็มีทั้งบวกทั้งลบ แต่ จะทํายังไงให้ภาคสังคม ภาคนิเวศ ภาคการอนุรักษ์ ได้รับผลประทบที่เป็นบวกมากกว่าลบ
เพราะฉะนั้น ในภาพรวมป่าประเทศไทยมีหลากหลายประเภท ป่าที่เราต้องการจัดการให้มีไฟป่า อย่างป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ แต่ไม่ใช่ว่าป่าเต็งรังกับป่าเบญจพรรณทุกผืนต้องไหม้พร้อมกัน จะต้องไหม้ด้วยอัตราความรุนแรงเท่ากัน จะต้องไหม้ในพื้นที่เท่ากัน ตรงนี้แหละคือ “การจัดการ” ซึ่งถ้าจะเกิดการจัดการตรงนี้ได้ มันจะต้องมีการร่วมมือกันทุกภาคส่วน
ผมว่าอันนี้คือสิ่งที่สังคมไทยต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน เพราะฉะนั้น ▶️ผมฝาก 2 ตัวนี้ ก็คือ 1.ไม่พอใจในสภาพทรัพยากรที่เป็นอยู่ แต่ 2.ต้องตอบให้ได้ด้วยว่าปลายทางอยากได้อะไร?◀️
🟢 "ความมุ่งมั่นตั้งใจของระดับนโยบาย"
เมื่อเราก็ต้องการที่จะจัดการมัน มันต้องเป็นการลงทุนของประเทศที่จะต้องกําหนดในระดับนโยบายลงมา ให้ผู้ปฏิบัติในระดับล่างได้ปฏิบัติ จะมาบอกว่า เฮ้ย! ไปจัดการไม่ให้มี PM2.5 แล้วจะลดปัญหาได้ ผมไม่เชื่อ ผมไม่เชื่อว่าเราจะไปถึงจุดนั้นได้ แต่ระดับนโยบายวันนี้มันกลายเป็นว่า ตัวระดับนโยบายเองก็ไม่ได้มุ่งมั่น อันนี้ผมไม่รู้ว่าผมจะไปโทษในระดับนโยบายขนาดนั้นไหม แต่ผมไม่เห็นถึงความตั้งใจอย่างแท้จริงที่มีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
🔴ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ
🔴จุดชนวนความขัดแย้งครั้งใหม่
4,200 ชุมชนในพื้นที่อุทยานและเขตรักษาพันธุ์ฯ
กำลังจะได้รับผลกระทบมหาศาล หากมีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฯ ประกอบความตามมาตรา 64 ของ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2562 และมาตรา 121 ของ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า 2562
เนื้อหาในร่างพระราชกฤษฎีกาฯ #ที่กำลังจะเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี
ไม่สอดคล้องกับบริบท ข้อเท็จจริงและความซับซ้อนของปัญหาในแต่ละพื้นที่
หากไม่มีการปรับปรุงแก้ไข จะเกิดข้อพิพาทตามมามากมาย เกิดการจำกัดสิทธิ์ ตัดสิทธิ์ ไล่รื้อ ยึดคืน
ที่ผ่านมา
หลังปี 2562 เมื่อมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดให้มีการสำรวจการถือครองที่ดินของชุมชน
แม้เนื้อหาในตัว พ.ร.บ. อาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้คดีความและพื้นที่ที่ถูกบุกรุกลดลงอย่างชัดเจน
หลายฝ่าย เริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ เห็นแนวทางแก้ปัญหาที่ยืดเยื้อยาวนานได้
แต่ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ที่กำลังจะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
จะกลายเป็นชนวนที่ทำลายบรรยากาศระหว่างชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
จากที่เริ่มเกิดความร่วมไม้ร่วมมือ เริ่มพัฒนาไปทิศทางที่ดี กลับต้องย้อนอดีตสู่เส้นทางของความขัดแย้งครั้งใหม่
#ฝากรัฐบาลใคร่ครวญและตัดสินใจ
(เนื้อหาในคลิป สรุปจากเวทีเสวนาออนไลน์ ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนภาคเหนือ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567)
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?
วิดีโอทั้งหมด (แสดงผลทั้งหมด)
ติดต่อ ธุรกิจของเรา
เว็บไซต์
ที่อยู่
Chiang Mai
50200