พาไปวัด
”พาไปวัด“ วัยเลข ๔ เชื่อมโลกสู่ธรรม / เที่ยววัดเชิงคติธรรม / ปกิณกะโลกและธรรม ถ่ายทอดประสบการณ์ท่องเที่ยววัดทั่วประเทศไทย


”วันสำคัญสากล : หนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวพุทธ“
วันวิสาขบูชา (Vesak Day) ถือเป็นวันที่มีความสำคัญสูงสุดในพระพุทธศาสนา และได้รับการยกย่องให้เป็น วันสำคัญสากลของโลก โดยองค์การสหประชาชาติ เนื่องจากวันนี้เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์สำคัญยิ่งใหญ่สามประการในพุทธประวัติ อันได้แก่ การประสูติ (ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ), การตรัสรู้ (ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) และ การปรินิพพาน (การดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้า) ซึ่งทั้งสามเหตุการณ์นี้ล้วนบังเกิดขึ้นตรงกับวันเพ็ญเดือนวิสาขะหรือเดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติทั้งสิ้น นับเป็นความอัศจรรย์ที่ไม่มีใครเสมอเหมือนจนถึงปัจจุบัน และเป็นวันที่เหล่าพุทธศาสนิกชนทั่วโลกต่างพร้อมใจกันน้อมระลึกถึงพระพุทธองค์อย่างพร้อมเพรียงด้วยความศรัทธาและภาคภูมิใจ
ความสำคัญของวันวิสาขบูชาในระดับสากล
วันวิสาขบูชานับได้ว่าเป็นวันสำคัญสูงสุดทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่ให้กำเนิดพระพุทธเจ้าและพระธรรมคำสอน ตลอดจนให้กำเนิดพระสงฆ์สาวกผู้สืบทอดพระศาสนาจนถึงปัจจุบัน พุทธศาสนิกชนทุกนิกายทั่วโลกไม่ว่าจะเถรวาท มหายาน หรือวัชรยาน ต่างก็ถือวันนี้เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาไปพร้อมๆ กันทั่วโลก ทำให้วันวิสาขบูชาเป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีของชาวพุทธทั้งมวล และยิ่งตอกย้ำความสำคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะศาสนาสำคัญของโลกที่มีผู้นับถือหลายร้อยล้านคนในหลายสิบประเทศ
ด้วยความสำคัญดังกล่าว องค์การสหประชาชาติ (UN) จึงมีมติประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของโลกอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 54 โดยที่ประชุมมีมติรับรองอย่างเป็นเอกฉันท์ ถือเป็นการยอมรับถึงคุณูปการของพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคมโลก อันได้แก่หลักธรรมคำสอนเรื่องเมตตา กรุณา และสันติ ซึ่งสอดคล้องกับอุดมการณ์แห่งสหประชาชาติในการสร้างสันติภาพให้แก่มวลมนุษยชาติ กล่าวได้ว่าวันวิสาขบูชาได้ก้าวจากวันสำคัญทางศาสนาสู่เวทีระดับโลกอย่างสง่างาม ชาวพุทธทั่วโลกจึงภาคภูมิใจที่วันสำคัญทางศาสนาของตนได้รับการยอมรับและเฉลิมฉลองในระดับนานาชาติ
เหตุการณ์สำคัญสามประการในวันวิสาขบูชา
วันวิสาขบูชาเกี่ยวข้องกับสามเหตุการณ์สำคัญในพระชนมชีพของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหตุการณ์ทั้งสามนี้เกิดคนละปีแต่บังเอิญตรงกันในวันและเดือนเดียวกัน (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6) ได้แก่
• ประสูติ – เมื่อกว่า 2,600 ปีที่แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะ พระราชโอรสแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ประสูติ ณ สวนลุมพินีวัน (ปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศเนปาล) การอุบัติขึ้นของเจ้าชายสิทธัตถะผู้ต่อมากลายเป็นพระพุทธเจ้า ถือเป็นจุดกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนาที่จะนำแสงสว่างทางปัญญามาสู่โลก
• ตรัสรู้ – หลังออกผนวชและบำเพ็ญเพียรอยู่เป็นเวลา 6 ปี เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (คือบริเวณพุทธคยาในประเทศอินเดียปัจจุบัน) การตรัสรู้ธรรมของพระองค์คือการค้นพบอริยสัจและหนทางดับทุกข์ ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
• ปรินิพพาน – เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาและจาริกสั่งสอนสัตว์โลกเป็นเวลา 45 ปี จนมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ในประเทศอินเดียปัจจุบัน) การปรินิพพานถือเป็นการดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานของพระองค์ เป็นการสิ้นสุดพระชนมชีพทางกาย แต่แสงแห่งพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้และเผยแผ่ไว้ยังคงดำรงอยู่เพื่อชี้นำทางแก่ชาวโลกสืบมา
ทั้งสามเหตุการณ์นี้นับเป็น “วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6” เหมือนกันตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ศาสนา ด้วยเหตุนี้เองวันวิสาขบูชาจึงเป็นวันระลึกถึง พระพุทธคุณ ของพระพุทธเจ้าอย่างครบถ้วนทั้งในฐานะ พระผู้ให้กำเนิด (ประสูติ), พระผู้ตรัสรู้ความจริงอันประเสริฐ (ตรัสรู้) และ พระผู้ดับขันธปรินิพพาน โดยส่งต่อมรดธรรมให้มวลมนุษย์ (ปรินิพพาน) จึงนับเป็นวันแห่งการบูชาพระรัตนตรัยอย่างสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ที่สุดวันหนึ่ง
สหประชาชาติประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสากล
การที่องค์การสหประชาชาติประกาศรับรองวันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากล เนื่องมาจากประจักษ์แจ้งในคุณูปการของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาที่มีต่อมวลมนุษยชาติ ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่นิวยอร์ก ตัวแทนจากหลายประเทศ (นำโดยประเทศศรีลังกา และมีประเทศไทยร่วมสนับสนุน) ได้ร่วมอภิปรายว่า พระพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนให้มนุษย์มีเมตตาธรรมและขันติธรรมต่อกัน อันจะนำไปสู่สันติสุขในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของสหประชาชาติ อีกทั้งพระองค์ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อเพื่อนมนุษย์อย่างใหญ่หลวง ทรงยกเลิกระบบชนชั้นวรรณะ (เลิกทาส) โดยสันติวิธีและทรงสอนให้เคารพชีวิตสัตว์ทั้งหลาย ตลอดจนเปิดโอกาสให้คนทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธธรรมเพื่อค้นหาความจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา คุณูปการเหล่านี้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาคมโลกว่าสอดคล้องกับคุณค่สากลสมัยใหม่อย่างยิ่ง สหประชาชาติจึงลงมติเป็นเอกฉันท์ประกาศยกย่องวันวิสาขบูชาให้เป็น “วันสำคัญของโลก” ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติและสำนักงานสาขาทั่วโลกจะจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองและรำลึกถึงวันนี้เป็นประจำทุกปีตามความเหมาะสม การรับรองนี้นับเป็นการประกาศเกียรติคุณความสำคัญของพระพุทธศาสนาในเวทีโลก และสะท้อนถึงการให้ความเคารพในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ในระดับสากล
นับตั้งแต่นั้นมา วันวิสาขบูชา จึงได้รับการเฉลิมฉลองในเวทีนานาชาติทุกปี ทั้งในและนอกพื้นที่ของสหประชาชาติ มีการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนานานาชาติ เช่น การประชุมวิสาขบูชาโลก การสวดมนต์และเวียนเทียนเพื่อสันติภาพ ที่รวบรวมผู้นำชาวพุทธและพุทธศาสนิกชนจากหลากหลายประเทศมาร่วมงานกัน ยกตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ. 2561 ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดงานวิสาขบูชานานาชาติครั้งที่ 15 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้นำชาวพุทธและผู้แทนจาก 81 ประเทศ ทั่วโลกเข้าร่วม เหตุการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าวันวิสาขบูชาไม่เพียงเป็นวันสำคัญของชาวพุทธเท่านั้น หากยังเป็นสะพานเชื่อมโยงวัฒนธรรมและศาสนิกชนจากนานาประเทศให้มาพบปะแลกเปลี่ยนกันภายใต้ร่มเงาแห่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า สร้างความสมัครสมานสามัคคีและความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนต่างชาติและต่างศาสนา
ความภาคภูมิใจและการเฉลิมฉลองของชาวไทยและชาวพุทธทั่วโลก
สำหรับประเทศไทยซึ่งประชากรส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา วันวิสาขบูชา เป็นทั้งวันสำคัญทางศาสนาและวันหยุดราชการประจำปีที่ผู้คนจะออกมาทำบุญสร้างกุศลกันอย่างคึกคัก ขณะเดียวกันชาวไทยก็รู้สึกภาคภูมิใจที่วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของชาติเราได้รับการยอมรับในระดับโลก การที่สหประชาชาติยกย่องวันวิสาขบูชาถือเป็นเกียรติภูมิของชาวพุทธไทยที่ได้เห็นวัฒนธรรมและศรัทธาของตนเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สันติภาพและคุณธรรมในเวทีสากล ยิ่งไปกว่านั้นประเทศไทยยังมีบทบาทในการเผยแผ่ความสำคัญของวันนี้ เช่น การสนับสนุนให้มีการจัดงานวิสาขบูชานานาชาติและการประชุมชาวพุทธนานาชาติอยู่บ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ. 2547 รัฐบาลไทยและมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยได้ร่วมกันจัดการประชุมวิสาขบูชาโลกเป็นครั้งแรกที่พุทธมณฑล มีผู้แทนจากกว่า 35 ประเทศเดินทางมาร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของชาวไทยในการธำรงรักษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้งอกงามไพศาล และความยินดีที่ได้แบ่งปันวันมหามงคลนี้ให้ชาวโลกได้รับรู้และร่วมเฉลิมฉลอง
ในวันวิสาขบูชาของทุกปี พุทธศาสนิกชนทั่วโลกจะพร้อมใจกันปฏิบัติบูชาและทำกิจกรรมอันเป็นกุศลเพื่อบูชาพระพุทธองค์อย่างงดงาม เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า ชาวพุทธนิยม ทำบุญตักบาตร ถวายอาหารแด่พระสงฆ์ เพื่อสืบสานประเพณีการให้ทานและจรรโลงพระสงฆ์ จากนั้นตลอดทั้งวันผู้คนจะตั้งใจรักษาศีล 5 หรือศีล 8 ประกอบคุณงามความดีอื่น ๆ เช่น สวดมนต์ นั่งสมาธิ และรับฟังพระธรรมเทศนาในวัดใกล้บ้าน พอตกเย็นหลังพระอาทิตย์ลับฟ้า พุทธศาสนิกชนจะร่วมกันประกอบพิธี เวียนเทียน โดยถือดอกไม้ ธูปเทียน เดินเวียนรอบพระอุโบสถหรือพระเจดีย์ สามรอบ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณจนครบถ้วนตามลำดับ บรรยากาศยามค่ำคืนของวันวิสาขบูชาจึงงดงามด้วยแสงประทีปเทียนที่ส่องสว่างทั่วพุทธสถาน ผู้คนต่างตั้งจิตอธิษฐานขอให้โลกมีสันติสุขและสรรพสัตว์มีความผาสุก บ้างก็ปล่อยนกปล่อยปลาเพื่อชีวิตเป็นทาน ส่งผลให้ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองนี้เต็มไปด้วยความปีติสุข ความสงบเย็นทางใจ และความปรองดองในสังคม
ท้ายที่สุด วันวิสาขบูชา ในฐานะวันสำคัญสากลของโลก เป็นวันที่ชาวพุทธทั่วโลกร่วมกันแสดงออกถึงความเคารพรักในพระพุทธเจ้าและพระธรรมคำสอนที่พระองค์ประทานไว้ให้แก่มวลมนุษย์ วันนี้เปรียบเสมือนการเตือนใจให้เราทุกคนไม่ว่าชาติใดภาษาใดระลึกถึงหลักธรรมแห่งความดีงาม ความเมตตากรุณา และความสันติ ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา การเฉลิมฉลองวิสาขบูชาร่วมกันทั่วโลกไม่เพียงเป็นการบูชาพระพุทธองค์ หากยังเป็นการสืบทอดมรดกทางจิตวิญญาณที่ล้ำค่าที่สุดของมนุษยชาติให้คงอยู่สืบไปด้วยความภาคภูมิใจ ในฐานะชาวพุทธ เราทั้งหลายล้วนมีความปีติที่ได้เห็นวันวิสาขบูชากลายเป็นวันแห่งความดีงามของสากลโลก และจะร่วมมือร่วมใจกันรักษาและเผยแผ่ปณิธานแห่งพระพุทธองค์นี้ให้ดำรงอยู่เพื่อประโยชน์สุขของสรรพชีวิตตราบนานเท่านาน
วันวิสาขบูชาเป็นวันที่รวมเหตุการณ์พิเศษสามประการในพระชนมชีพของพระพุทธเจ้า อันได้แก่ การประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ไว้ในวันเดียว จึงถือเป็นวันสำคัญสูงสุดของพระพุทธศาสนา และได้รับการประกาศให้เป็นวันสำคัญสากลโดยองค์การสหประชาชาติเพื่อยกย่องคุณูปการของพระพุทธศาสนาต่อมนุษยชาติ ชาวพุทธทั่วโลกต่างภาคภูมิใจและพร้อมใจกันประกอบคุณงามความดีในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญตักบาตร รักษาศีล ฟังธรรม และเวียนเทียน ทั้งนี้เพื่อสืบทอดพระศาสนาและเผยแผ่แสงธรรมให้งดงามไพศาล เพื่อความสงบสุขร่มเย็นของสังคมโลกตลอดไป
#พาไปวัด : พาไปน้อมรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญ 3 ประการ และพร้อมใจกันประกอบคุณงามความดี เนื่องในวันวิสาขบูชา-วันไหว้ครู-วันสำคัญสากลของโลก… โมทนากับทุกท่านครับ.

“ธรรมราชาแห่งยุคสมัยเนื่องในวันฉัตรมงคล”
วันฉัตรมงคล (Coronation Day) ตรงกับวันที่ ๔ พฤษภาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการของพระมหากษัตริย์ไทย โดยพระราชพิธีฉัตรมงคลจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติอย่างสมบูรณ์ของพระมหากษัตริย์ นับเป็นวันที่ปวงชนชาวไทยร่วมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระราชอำนาจสูงสุดของพระองค์ท่าน ในประเทศไทย สถาบันพระมหากษัตริย์ มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะศูนย์รวมจิตใจของประชาชนและเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกผู้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา สืบทอดจารีตประเพณีให้ชาติบ้านเมืองดำรงอยู่ด้วยความสงบร่มเย็นโดยธรรมมาอย่างยาวนาน “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๑๐)” ก็ทรงสืบทอดพระราชปณิธานดังกล่าวและทรงเป็นประมุขของรัฐผู้ทรงนำหลักธรรมมาปกครองแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของอาณาราษฎร อันสอดคล้องกับพระปฐมบรมราชโองการแห่งรัชกาลที่ ๑๐ ที่จะทรงครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อความผาสุกของประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า
บทบาทของรัชกาลที่ ๑๐ ในการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็น “องค์อัครศาสนูปถัมภก” คือทรงอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านศาสนาด้วยพระองค์เองอย่างต่อเนื่อง พระองค์ทรงประกาศพระองค์เป็นพุทธมามกะเมื่อวัยเยาว์ (พิธีที่แสดงตนว่ายึดมั่นในพระพุทธศาสนา) และต่อมาเมื่อทรงพระชนมายุครบตามพระราชประเพณี ก็ทรงเข้าพระราชพิธีบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ระหว่างวันที่ ๖ - ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๑ เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและปฏิบัติสมณกิจอย่างเคร่งครัด การทรงผนวชนี้สะท้อนถึงพระราชศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนาของพระองค์ และเป็นแบบอย่างการทุ่มเทพระวรกายปฏิบัติธรรมจริงจัง
นอกจากนี้ ในฐานะองค์รัชทายาทก่อนขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้เสด็จฯ แทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบรมชนกนาถ (รัชกาลที่ ๙) ไปทรงประกอบพระราชกรณียกิจทางศาสนาเป็นประจำสม่ำเสมอ เช่น ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามทุกครั้งที่เปลี่ยนฤดู ทรงเป็นประธานในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา อาทิ วันมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา เข้าพรรษา ตลอดจนทรงถวายผ้าพระกฐินหลวงตามวัดต่าง ๆ เป็นประจำ พระราชกรณียกิจเหล่านี้แสดงถึงพระราชศรัทธาแรงกล้าและบทบาทสำคัญของพระองค์ในการธำรงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามทางศาสนาให้ดำรงสืบไป
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในด้านอื่น ๆ อีกหลายประการ เช่น ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์หรือประธานโครงการก่อสร้างและบูรณะศาสนสถานสำคัญ อาทิ โครงการสร้างพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ จังหวัดชลบุรี ซึ่งทรงดำเนินการมาตั้งแต่เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี และเพื่อเป็นศูนย์รวมศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ตลอดจนทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโครงการ “หนึ่งใจ…ให้ธรรมะ” เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาและส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมแก่เยาวชนและประชาชนทั่วประเทศ เป็นต้น ทั้งนี้ พระองค์ยังทรงมีพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะธำรงพระศาสนาให้อยู่คู่แผ่นดินไทยสืบไป ดังพระราชดำรัสเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาปี ๒๕๖๑ ที่ว่า ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองสถิตสถาพรในชาติไทย พระราชกรณียกิจและปณิธานดังกล่าวตอกย้ำบทบาทของรัชกาลที่ ๑๐ ในฐานะเอกอัครศาสนูปถัมภกผู้ทรงทุ่มเทเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาและจริยธรรมคุณธรรมในสังคมไทย
“ธรรมราชา” กับพระราชจริยวัตรของพระองค์
คำว่า “ธรรมราชา” หมายถึง พระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรม หรือผู้ปกครองแผ่นดินโดยยึดหลักธรรมเป็นแกนในการบริหารบ้านเมือง หลักแนวคิดนี้ปรากฏทั้งในพระพุทธศาสนาและประวัติศาสตร์ อันมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์จะใช้อำนาจในการปกครองเพื่อประโยชน์สุขของราษฎรบนพื้นฐานแห่งคุณธรรมความถูกต้องเสมอมา ในบริบทพุทธศาสนา ธรรมราชา มักถูกใช้คู่กับแนวคิด “ธรรมวิชัย” (การชนะด้วยธรรม) ตรงข้ามกับ “ยุทธวิชัย” (การชนะด้วยกำลัง) ตัวอย่างเช่น จักรพรรดิอโศกมหาราชแห่งอินเดียทรงเริ่มต้นแผ่อำนาจด้วยสงครามแย่งชิง (ยุทธวิชัย) แต่เมื่อทรงตระหนักถึงทุกข์ภัยจากการนองเลือด ก็ทรงเปลี่ยนมาใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือปกครองแทน จนได้รับการถวายพระนามว่า “พระมหาธรรมราชา” ดังนั้น ธรรมราชาจึงหมายถึงกษัตริย์ผู้เอาธรรมะชนะใจคนและปกครองโดยธรรมเป็นหลัก
สำหรับประเทศไทย อุดมคติแห่งธรรมราชามีบทบาทสำคัญยิ่งในสถาบันกษัตริย์มาตั้งแต่อดีต พระมหากษัตริย์ไทยทรงถือพระราชจริยวัตรตามหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการบริหารราชกิจ ดังจะเห็นได้จากพระปฐมบรมราชโองการของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และยังสืบทอดมาถึงในรัชกาลปัจจุบัน เมื่อพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ทรงเน้นย้ำแนวทางการ “ครองแผ่นดินโดยธรรม” เช่นกัน ดังพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า "เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป" คำกล่าวนี้สะท้อนภาพลักษณ์ของพระองค์ในฐานะ “ธรรมราชา” แห่งยุคสมัย ที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยแน่วแน่จะใช้อำนาจโดยธรรมเพื่อความผาสุกของปวงประชา
พระราชจริยวัตรหลายประการของรัชกาลที่ ๑๐ สอดคล้องกับอุดมคติธรรมราชาดังกล่าว ทั้งในมิติของความเป็นผู้นำที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมและในบทบาทการส่งเสริมศีลธรรมคุณธรรมในสังคมไทย ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงเหตุการณ์วิกฤตต่าง ๆ พระองค์ทรงแสดงออกถึงพระเมตตาคุณอย่างเด่นชัด อาทิ เมื่อเกิดเหตุการณ์คนร้ายกราดยิงประชาชนที่โคราชในปี ๒๕๖๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีได้เสด็จฯ เยี่ยมผู้บาดเจ็บถึงโรงพยาบาล พร้อมทั้งทรงรับผู้ประสบเหตุเหล่านั้นไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และพระราชทานขวัญกำลังใจแก่ครอบครัวผู้สูญเสียและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างใกล้ชิด กรณีดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์ถึงน้ำพระราชหฤทัยและการปกครองโดยธรรมที่ทรงยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจะยามทุกข์หรือสุข พระองค์จะทรงอยู่เคียงข้างประชาชนเสมอด้วยพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาธรรม
หลักทศพิธราชธรรม : คุณธรรม ๑๐ ประการของพระมหากษัตริย์
การจะดำรงตนเป็นธรรมราชานั้น พระมหากษัตริย์ตามอุดมคติของพระพุทธศาสนาจะต้องทรงยึดถือ “ทศพิธราชธรรม” หรือคุณธรรม ๑๐ ประการสำหรับผู้ปกครองบ้านเมืองอย่างเคร่งครัด หลักทศพิธราชธรรมนี้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พุทธศาสนา และกลายเป็นหลักธรรมประจำใจพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ กล่าวโดยสรุป ทศพิธราชธรรม ”๑๐ ประการ ได้แก่
๑. ทาน – การให้และเสียสละทรัพย์หรือสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขของราษฎร ผู้เป็นพระมหากษัตริย์พึงมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เช่น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานความช่วยเหลือแก่พสกนิกรในยามเดือดร้อนอยู่เสมอ ทั้งการพระราชทานถุงยังชีพในภัยพิบัติ และทรงรับผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์รุนแรงไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ดังที่กล่าวแล้ว ซึ่งล้วนสะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระราชจริยวัตรแห่งการให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน อันเป็นไปตามหลักทานบารมีข้อแรกนี้
๒. ศีล – ความประพฤติที่ดีงาม ถูกต้องตามหลักธรรมและจารีต ศีลธรรมนี้ครอบคลุมทั้งการสำรวมกาย วาจา ใจ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชน ดังจะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรักษาพระเกียรติยศและพระจริยาวัตรงดงามสม่ำเสมอ อาทิ เมื่อครั้งทรงผนวช พระองค์ทรงตั้งพระทัยปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เสด็จออกบิณฑบาตฉันอาหารเช่นเดียวกับพระภิกษุอื่น ๆ ยังความปลาบปลื้มปีติแก่พสกนิกรที่ได้พบเห็น กอปรกับตลอดระยะเวลาที่ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระองค์ก็มิได้เคยประพฤติสิ่งใดเสื่อมเสีย ระมัดระวังในการวางพระองค์อย่างเหมาะสม เป็นแบบอย่างแห่งความมีศีลธรรมจรรยาแก่สังคมไทย
๓. บริจาค – ความเสียสละประโยชน์ส่วนพระองค์เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม ในยามที่บ้านเมืองเผชิญวิกฤตหรือประชาชนทุกข์ยาก พระมหากษัตริย์พึงยอมสละทรัพย์ สิ่งของ หรือพระราชอำนาจบางอย่างเพื่อช่วยบรรเทาทุกข์แก่ประชาชน ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑๐ เราเห็นตัวอย่างความเสียสละนี้จากที่พระองค์ทรงใช้เวลาและพระวรกายอย่างเต็มที่ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั่วประเทศ บางครั้งเสด็จฯ ไปยังถิ่นทุรกันดารหรือพื้นที่ประสบภัยเพื่อพระราชทานความช่วยเหลือด้วยพระองค์เองโดยมิทรงถือเหน็ดเหนื่อย ส่วนในด้านการบริจาคทรัพย์สิน พระองค์ก็ทรงสานต่อโครงการสาธารณประโยชน์มากมายที่รัชกาลก่อนตั้งไว้ และพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์สนับสนุนงานสาธารณกุศลต่าง ๆ เช่น การศึกษาและการแพทย์ โดยมิได้มุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนพระองค์ ซึ่งสอดคล้องกับหลักบริจาคธรรมนี้
๔. อาชวะ – ความซื่อตรงสุจริต พระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรมต้องทรงตั้งอยู่ในความสัตย์สุจริตทั้งต่อตนเองและผู้อื่น โปร่งใสในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ รัชกาลที่ ๑๐ ทรงแสดงถึงอาชวธรรมนี้ผ่านการมุ่งมั่นให้ราชการในพระองค์และหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ดังจะเห็นได้ว่าพระองค์มีพระราชดำรัสเตือนสติรัฐบาลและข้าราชการอยู่เนือง ๆ ให้ยึดความถูกต้องยุติธรรมในการบริหารบ้านเมือง มิให้ฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือละเมิดกฎหมาย ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาธรรมาภิบาลและความไว้วางใจของประชาชน เป็นการทรงธำรงความซื่อตรงให้ปรากฏเป็นรูปธรรม
๕. มัททวะ – ความอ่อนโยน สุภาพละมุนละไมและไม่ถือตัว ผู้ปกครองที่มีความเป็นธรรมราชาจะทรงวางพระองค์อย่างสง่างามแต่ไม่เย่อหยิ่ง ทำตัวเข้าถึงง่ายและทรงรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระอัธยาศัยอ่อนโยนยิ่ง เห็นได้จากทุกครั้งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินพบปะประชาชน จะทรงมีพระราชปฏิสันถารอย่างสุภาพและเป็นกันเองกับพสกนิกร อีกทั้งเมื่อมีผู้ทูลเกล้าฯถวายคำร้องทุกข์หรือขอพึ่งพระบารมี พระองค์ก็ทรงรับเรื่องไว้ด้วยความใส่พระราชหฤทัย อันแสดงถึงพระเมตตาและความอ่อนโยนต่อราษฎรของพระองค์
๖. ตบะ – ความเพียรหรือการทรงธรรมอย่างเคร่งครัดข่มพระทัยตนให้อยู่ในกรอบธรรม ผู้ทรงเป็นธรรมราชาต้องมีความวิริยะอุตสาหะในการปฏิบัติพระราชภารกิจและขัดเกลาพระองค์เองเสมอ ในส่วนนี้ รัชกาลที่ ๑๐ ได้ทรงอุทิศเวลาและกำลังอย่างเต็มกำลังตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์เพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ของรัชกาลก่อนหน้าทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นงานโครงการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ งานด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม หรือการทหาร ทั้งยังทรงฝึกฝนพระองค์ในหลายด้านตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ เช่น ทรงรับการฝึกทางทหารอย่างเข้มงวดจนทรงมีความเชี่ยวชาญด้านการบินและยุทธวิธี สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงพระวิริยะและความพยายามยิ่งยวดของพระองค์ในการพัฒนาพระองค์อยู่เสมอ ซึ่งสอดคล้องกับหลักตบะคือความเพียรเคร่งครัดในหน้าที่
๗. อักโกธะ – ความไม่โกรธ ผู้ปกครองที่ดีต้องมีขันติธรรม ไม่ทรงกริ้วโกรธโดยไม่สมควร เพราะความโกรธจะบดบังปัญญาและนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระจริยวัตรสุขุมเยือกเย็น ไม่ว่าจะเผชิญกับเหตุการณ์วิกฤตหรือข่าวสารใด ๆ พระองค์ไม่ทรงแสดงพระอาการกริ้วโกรธเกรี้ยวกราดออกมาให้สาธารณชนเห็น เมื่อเกิดความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมือง พระองค์กลับทรงมีพระราชปณิธานในการเป็นศูนย์รวมให้คนไทยกลับมาปรองดองกัน ดังพระราชดำรัสช่วงหนึ่งว่า “ประเทศไทยเป็นแผ่นดินแห่งความประนีประนอม” ซึ่งทรงย้ำการให้อภัยและไม่ถือโทษโกรธกันในหมู่ประชาชน ความสุขุมรอบคอบและการระงับโทสะนี้สะท้อนถึงอักโกธธรรมในองค์พระมหากษัตริย์โดยแท้
๘. อวิหิงสา – ความไม่เบียดเบียน คือการไม่ใช้ความรุนแรงหรือการบีบบังคับกดขี่ผู้อื่นโดยไม่เป็นธรรม ผู้ทรงธรรมจะไม่ใช้อำนาจไปในทางทำร้ายประชาชนหรือผู้ใต้ปกครอง แต่ตรงกันข้ามจะทรงปกป้องคุ้มครองไม่ให้ใครรังแกกัน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญกับสันติวิธีและหลักนิติธรรม ในรัชสมัยของพระองค์จะเห็นว่าทรงสนับสนุนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างสันติ เช่น ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้อภัยโทษลดโทษผู้ต้องราชทัณฑ์ในหลายโอกาส แสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณในการให้อภัยและลดการลงโทษที่เป็นการเบียดเบียน พร้อมทั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ พระองค์มักจะทรงส่งเสริมให้มีการพูดคุยปรึกษาหารือเพื่อคลี่คลายปัญหา มากกว่าจะทรงสนับสนุนการใช้กำลังหรือความรุนแรงโดยไม่จำเป็น
๙. ขันติ – ความอดทน อดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุหรืออุปสรรคทั้งปวง ไม่ว่าจะเจอคำติฉินนินทาหรือทุกขเวทนาเพียงใด ผู้ทรงธรรมต้องทรงรักษาพระอุระให้นิ่งอยู่ในคุณงามความดี หากพิจารณาพระราชประวัติของรัชกาลที่ ๑๐ จะเห็นว่าพระองค์ทรงมีขันติธรรมอย่างยิ่ง ตัวอย่างหนึ่งคือช่วงเวลาที่ยาวนานถึง ๔๔ ปีที่ทรงดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมาร (ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ จนเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙) พระองค์ทรงรอคอยด้วยความจงรักภักดีและมุ่งมั่นเตรียมพระองค์สำหรับบทบาทพระมหากษัตริย์ด้วยความอดทนอดกลั้น ไม่เคยทรงละทิ้งพระราชภารกิจหรือให้ประชาชนระคายเคืองพระราชหฤทัย ความอดทนนี้ยังปรากฏในพระราชจริยวัตรเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ ที่พระองค์ทรงมุ่งมั่นสืบสานพระราชกรณียกิจมากมายภายในระยะเวลาอันสั้น แม้ว่าจะทรงงานหนักติดต่อกันก็ทรงอดทนไม่ย่อท้อ เพื่อให้สิ่งที่รัชกาลก่อนทรงริเริ่มไว้นั้นบรรลุผลสำเร็จต่อไป
๑๐. อวิโรธนะ – ความเที่ยงธรรม ความมีธรรมะเป็นหลักไม่เอนเอียงเข้าข้างใดหรือหวั่นไหวต่ออคติ ผู้ทรงเป็นธรรมราชาจะทรงตัดสินพระทัยบนพื้นฐานของความถูกต้องยุติธรรมเป็นหลัก ไม่ทรงประพฤติผิดธรรม รัชกาลที่ ๑๐ ทรงเป็นที่ประจักษ์ว่าทรงยึดมั่นในหลักความเที่ยงธรรมนี้ ในบทบาทขององค์พระประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ พระองค์ไม่เคยก้าวล่วงการเมืองหรือฝักใฝ่พรรคฝ่าย ทรงวางพระองค์เป็นกลางเหนือความขัดแย้งทั้งปวง และเมื่อใดที่บ้านเมืองมีปัญหาท้าทาย พระองค์จะทรงชี้แนะแนวทางโดยยึดหลักการที่ถูกต้องเหมาะสม เช่น พระราชทานพระราชดำรัสแก่คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เข้าเฝ้าฯ ให้ปฏิบัติงานโดยถือประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง มิใช่เพื่อสนองประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง นับเป็นการย้ำเตือนให้ทุกฝ่ายตั้งมั่นอยู่ในความเที่ยงธรรมซึ่งเป็นคุณธรรมสำคัญยิ่งสำหรับผู้ปกครองตามแนวคิดทศพิธราชธรรม
จะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผสมผสานหลักทศพิธราชธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้เข้ากับการดำรงพระราชกรณียกิจของพระองค์อย่างกลมกลืน พระราชจริยวัตรและพระราชดำริต่าง ๆ ของพระองค์ล้วนสะท้อนองค์ธรรมเหล่านี้ในทางปฏิบัติ ไม่เพียงเป็นการสืบทอดพระราชปณิธานของบูรพมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี แต่ยังเป็นแบบอย่างคุณธรรมให้แก่พสกนิกรชาวไทยในการดำเนินชีวิตตามรอยพระยุคลบาทอีกด้วย
การสั่งสมบารมีในอดีตชาติ : รากฐานของธรรมราชาในพระไตรปิฎก
หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาชี้ให้เห็นว่า การได้อุบัติเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรมในชาตินี้ มิใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการสั่งสมบุญบารมีอันยิ่งใหญ่ในอดีตชาติ บุคคลผู้บำเพ็ญคุณงามความดีและบารมีธรรมอย่างต่อเนื่องยาวนาน จะได้รับวิบากผลให้เกิดในภพชาติที่สูงส่ง อาจได้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์หรือผู้นำที่มีอำนาจเพื่อสร้างประโยชน์สุขแก่มหาชน และมีโอกาสบรรลุธรรมขั้นสูงได้ง่ายขึ้น ดังจะเห็นตัวอย่างได้จาก คัมภีร์ชาดก ซึ่งเป็นเรื่องเล่าพุทธประวัติในชาติปางก่อนของพระพุทธเจ้า
ในพระไตรปิฎกฉบับบาลีมีชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง ซึ่งบรรยายถึงพระโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้) ในชาติภพต่าง ๆ โดยเน้นคุณธรรมความดีที่พระองค์ได้บำเพ็ญมา เช่น ทานบารมี ความกตัญญู ความเสียสละ ความเมตตากรุณา เป็นต้น คุณธรรมเหล่านี้เองที่เกื้อหนุนให้พระโพธิสัตว์ทรงบังเกิดในชาติสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จะเห็นได้ว่าในหลายชาติ พระโพธิสัตว์ทรงถือกำเนิดเป็นกษัตริย์หรือผู้นำซึ่งทรงธรรม อาศัยสถานะอันสูงส่งนั้นประกอบคุณงามความดีอย่างยิ่งยวด สร้างสมบารมีอันสมบูรณ์เพื่อความหลุดพ้นทั้งต่อตนเองและผู้อื่นในกาลต่อมา
ตัวอย่างชาดกที่แสดงถึงธรรมราชา ได้แก่ ไมยตรีบาลชาดก ซึ่งเล่าว่า พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดเป็นพระราชาผู้ทรงเมตตา มีพระนามว่า “ไมยตรีบาล” ทรงปกครองบ้านเมืองโดยธรรมและแผ่ความรักใคร่เมตตาไปทั่วราชอาณาจักร วันหนึ่งมียักษ์ร้ายห้าตนมาทดลองใจ ด้วยการปลอมตัวเป็นพราหมณ์มาขอสิ่งที่ไม่ใช่อาหารปกติ พระราชาไมยตรีบาลจึงทรงยอมสละพระวรกายของพระองค์เองให้ – ทรงเชือดพระองค์เพื่อนำเลือดเนื้อออกมาเป็นอาหารแก่ยักษ์เหล่านั้นด้วยความสมัครพระทัย เมื่อยักษ์ทั้งห้าประจักษ์ในพระราชจริยวัตรอันเสียสละยิ่งใหญ่ก็เกิดสำนึกผิดและกลับใจเป็นสัมมาทิฏฐิ ได้สดับธรรมเทศนาจากพระราชาจนเกิดศรัทธา นับว่าไมยตรีบาลกษัตริย์ทรงธรรม สามารถชนะใจอมนุษย์ร้ายด้วยธรรมทานอันยิ่งใหญ่ สมกับเป็นธรรมราชาโดยแท้ เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่าการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาติที่ทรงเป็นกษัตริย์นั้น มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งยวดในการหล่อหลอมให้พระองค์ก้าวไปสู่ความเป็นมหาบุรุษ (พระพุทธเจ้า) ในอนาคต บุญญาธิการและบารมีธรรมอันโอฬารที่ทรงสั่งสมขณะทรงครองราชย์โดยธรรม นอกจากจะสร้างคุณูปการแก่สรรพชีวิตในชาติภพนั้น ๆ แล้ว ยังเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ทรงบรรลุพุทธภูมิได้ในที่สุด
สำหรับพระมหากษัตริย์ไทยนั้น ตามคติความเชื่อแบบพุทธแล้ว ก็สามารถกล่าวได้ว่าการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติและทรงตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรมดังกรณีของรัชกาลที่ ๑๐ ย่อมเป็นผลจากการสั่งสมบุญบารมีมายาวนานเช่นกัน กล่าวคือ พระองค์ย่อมต้องทรงบำเพ็ญคุณงามความดีมาหลายภพหลายชาติจนถึงพร้อมด้วยปัญญาบารมีและบุญญาภินิหาร จึงได้เสด็จมาอุบัติเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรม อันเป็นตำแหน่งแห่งเกียรติยศและอำนาจที่จะทรงใช้สร้างสันติสุขให้แผ่นดินและสรรพสัตว์ทั้งหลายตามแนวพุทธปรัชญา
คุณลักษณะที่พบเห็นร่วมกันในความเป็นธรรมราชา ได้แก่ การยึดมั่นในศีลธรรม เมตตากรุณาต่ออาณาประชาราษฎร์ ความเสียสละเพื่อส่วนรวม และความเที่ยงธรรมไม่ลำเอียง สิ่งเหล่านี้ล้วนปรากฏชัดในองค์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นพระเมตตาธรรมที่ทรงมีต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า ความทุ่มเทพระวรกายปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของราษฎร หรือพระวิจารณญาณอันเที่ยงธรรมในการพระราชทานแนวทางพัฒนาประเทศ ล้วนสะท้อนพระบารมีธรรมและพระปรีชาญาณที่หาได้ยากยิ่งในผู้นำทั่ว ๆ ไป
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๑๐) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณูปการอย่างอเนกอนันต์ต่อพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ พระราชประวัติและพระราชจริยวัตรของพระองค์แสดงให้เห็นถึงการดำรงตนเป็น “ธรรมราชา” ผู้เปี่ยมด้วย ทศพิธราชธรรม ทั้ง ๑๐ ประการอย่างพร้อมมูล พระองค์ไม่เพียงทรงสืบทอดพระราชปณิธานในการทำนุบำรุงพระศาสนาจากบูรพกษัตริย์ หากยังทรงปรับใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนากับการปกครองประเทศในยุคสมัยใหม่ได้อย่างเหมาะสมกลมกลืน ก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่พสกนิกรในวงกว้าง ดังที่ปรากฏผ่านพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคมสงเคราะห์ การศึกษา วัฒนธรรม หรือการต่างประเทศ
เมื่อพิจารณาในเชิงหลักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา เราอาจอธิบายปรากฏการณ์ที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นธรรมราชาว่าเป็นผลของ “บุญญาภินิหาร” หรือผลแห่งการสั่งสมบารมีในอดีตชาติที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน กล่าวคือ พระองค์ทรงสั่งสมคุณความดีและบารมีธรรมมาอย่างยาวนานจนบังเกิดเป็นผู้นำที่เพียบพร้อมด้วยธรรม เป็น “ผู้ครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎร” อย่างแท้จริง อันสะท้อนให้เห็นสายสัมพันธ์ระหว่างหลักธรรมในคัมภีร์พระพุทธศาสนากับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่มีมาแต่อดีต แม้บริบทการปกครองจะเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แต่แก่นแท้แห่ง ธรรมราชา และ ทศพิธราชธรรม ยังคงสถิตสถาพรในพระราชจริยวัตรของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์
เนื่องในโอกาส วันฉัตรมงคล อันเป็นวันมงคลเฉลิมฉลองการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ”พาไปวัด“ จึงได้น้อมนำหลักฐานจากพระไตรปิฎกและเหตุการณ์ร่วมสมัยมาแสดงให้เห็นถึงพระเกียรติคุณและพระบารมีธรรมของพระองค์ เพื่อเทิดพระเกียรติคุณแห่งพระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรม เราทั้งหลายต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และขอน้อมตั้งจิตถวายพระพรให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเจริญยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ และทรงสถิตเป็นร่มโพธิ์ทองของแผ่นดินไทยสืบไปตราบกาลนาน ด้วยพระบารมีแห่งธรรมที่ทรงสั่งสมมานับแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันเฉกเช่นนี้ เชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงนำพาประเทศไทยให้ผาสุกสถาพรด้วยธรรมะและคุณธรรมจริยธรรมสืบไปในภายภาคหน้า
#ธรรมราชา - ทศพิธราชธรรม
#พาไปวัด : พาไปน้อมรำลึกในพระเกียรติคุณแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ในโอกาสบำเพ็ญกุศลน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๘… โมทนากับทุกท่านครับ.

“แสงธรรมนำทางราชย์ : ธรรมราชาแห่งราชจักรีวงศ์”
วันที่ ๖ เมษายนของทุกปี คือ “วันจักรี” วันที่ปวงชนชาวไทยน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ผู้ทรงสถาปนาราชวงศ์จักรี และพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ในราชวงศ์นี้ ผู้ทรงนำพาสยามประเทศฝ่าฟันอุปสรรค สร้างความเจริญรุ่งเรือง และธำรงไว้ซึ่งเอกราชอธิปไตยจวบจนปัจจุบัน หัวใจสำคัญของการปกครองแผ่นดินโดยธรรมของพระมหากษัตริย์ไทยคือการยึดมั่นในหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักการไม่จองเวร (การไม่ผูกพยาบาทอาฆาตแค้น) และการไม่เบียดเบียน (การงดเว้นจากการทำร้ายหรือสร้างความทุกข์แก่ผู้อื่นและสรรพชีวิต) หลักธรรมอันประเสริฐทั้งสองประการนี้ เปรียบประดุจ "ธรรมะคู่พระบารมี" ที่พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทรงน้อมนำมาปฏิบัติสืบต่อกันมาในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร การพระราชทานอภัยโทษ (ทาน) และการสร้างสันติสุขที่ยั่งยืนให้แก่ชาติบ้านเมือง ความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งระหว่างหลักธรรมดังกล่าว ดังปรากฏในพุทธดำรัส "เวรุปสมคาถา" กับพระราชกรณียกิจอันทรงคุณค่าของพระมหากษัตริย์ไทยแต่ละรัชกาล เพื่อเทิดพระเกียรติคุณในโอกาสวันจักรี
แก่นธรรมพุทธะ : สัจธรรมแห่งการไม่จองเวรและการไม่เบียดเบียน
ในพระพุทธศาสนา "การไม่จองเวร" ถือเป็นกุญแจสำคัญสู่การดับไฟแห่งความขัดแย้งได้อย่างแท้จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน เวรุปสมคาถา (พระคาถาระงับเวร) อย่างชัดเจนว่า "เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่เวรย่อมระงับได้ด้วยการไม่จองเวร" (น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน) พุทธพจน์นี้ชี้ให้เห็นสัจธรรมว่า การผูกใจเจ็บและตอบโต้ด้วยความพยาบาทนั้น มีแต่จะทำให้วงจรแห่งความเกลียดชังดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด เปรียบเสมือนการราดน้ำมันเข้ากองไฟ แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลือกที่จะยุติการจองเวรด้วยการให้อภัย ความขัดแย้งและความบาดหมางนั้นย่อมสงบลงได้ ดังที่คัมภีร์ธรรมบทได้กล่าวย้ำว่า การผูกโกรธไม่ใช่หนทางของผู้เจริญ และนำมาซึ่งโทษภัยทั้งในปัจจุบันและอนาคต หนทางที่ถูกต้องคือการเจริญเมตตาและให้อภัยแก่กัน ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะตัดขาดวงจรแห่งเวรกรรม ไม่สร้างเงื่อนไขแห่งความทุกข์เพิ่มขึ้นอีก
ขณะเดียวกัน "การไม่เบียดเบียน" (อหิงสา) ก็เป็นหลักธรรมที่ดำเนินควบคู่กัน หมายถึง การงดเว้นจากการทำร้าย ทำลาย หรือคุกคามชีวิตและสิทธิของผู้อื่นทั้งทางกาย วาจา และใจ หลักเมตตาธรรมสอนให้มนุษย์มีจิตกรุณา ไม่คิดร้าย ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่สรรพชีวิต หลักการนี้ปรากฏชัดเจนในศีลข้อแรกของชาวพุทธ (ปาณาติปาตา เวรมณี) และขยายความครอบคลุมถึงการไม่ข่มเหงรังแก หรือเอารัดเอาเปรียบในทุกรูปแบบ หลักธรรมทั้งสองประการนี้ – การไม่จองเวรและการไม่เบียดเบียน – ทำงานประสานกันเพื่อสร้างสันติสุขในสังคม เมื่อปราศจากความคิดอาฆาตแค้นและการกระทำที่โหดร้ายเบียดเบียน ย่อมบังเกิดความสงบร่มเย็นทั้งแก่ปัจเจกบุคคลและสังคมโดยรวม
ยิ่งไปกว่านั้น หลักธรรมเหล่านี้ยังเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของผู้นำที่ดีตามทัศนะของพุทธศาสนา ปรากฏชัดใน ทศพิธราชธรรม หรือธรรม ๑๐ ประการสำหรับพระราชา ซึ่งมีกล่าวไว้ในคัมภีร์ชาดก หนึ่งในนั้นคือ "อหิงสา" ซึ่งหมายถึง ความไม่เบียดเบียน ความมีเมตตากรุณา ไม่คิดปองร้ายหรือผูกเวรอาฆาตต่อผู้ใด ธรรมข้อนี้เน้นย้ำว่า พระราชาผู้ทรงธรรมจะต้องไม่ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงราษฎรเพื่อประโยชน์ส่วนตน ทรงปกป้องคุ้มครองชีวิต และส่งเสริมให้เกิดความสงบสุขในราชอาณาจักร หลักธรรมเหล่านี้มิใช่เพียงอุดมคติที่ลอยอยู่เหนือความเป็นจริง แต่ได้หยั่งรากลึกและสะท้อนออกมาผ่านพระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทยตลอดมา
ธารน้ำพระทัย : การสร้างกุศลและการสงเคราะห์เพื่อดับทุกข์
พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการสร้าง "กุศล" คือ การประกอบคุณงามความดี และการสงเคราะห์เกื้อกูลเพื่อบรรเทาทุกข์และส่งเสริมความสุขแก่พสกนิกร ซึ่งถือเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อลดทอนผลแห่งอกุศลกรรม และสร้างเสริมความผาสุกให้แก่สังคม ทศพิธราชธรรมข้อแรก "ทาน" (ทานํ) เน้นย้ำถึงการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน พระราชาผู้ทรงธรรมพึงสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย พระมหากษัตริย์ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลนานัปการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตราษฎรและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคง ในยุคสร้างบ้านแปงเมืองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาหลังภาวะวิกฤต ทรงสังคายนาพระไตรปิฎก และสร้างวัดวาอาราม เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจและหลักชัยของบ้านเมือง การทำนุบำรุงพระศาสนาและศิลปวัฒนธรรมเป็นการสร้างมหากุศล ทั้งยังช่วยกล่อมเกลาจิตใจผู้คนให้อ่อนโยน ละเว้นจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ก็ทรงมีพระราชศรัทธาอย่างยิ่งในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ให้เป็น "มหาวิทยาลัยเปิด" แห่งแรกของสยาม โดยโปรดเกล้า ฯ ให้จารึกสรรพวิชาความรู้ต่าง ๆ ลงบนแผ่นศิลาประดับไว้ทั่วพระอาราม เพื่อให้ประชาชนทุกชนชั้นได้ศึกษาหาความรู้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ด้านการศึกษาและการสงเคราะห์ที่มุ่งประโยชน์สุขของมหาชนเป็นที่ตั้ง
ครั้นถึงยุคแห่งการปฏิรูปและพัฒนา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ทรงเป็นแบบอย่างของกษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาธรรม พระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่คือ การเลิกทาส ซึ่งเป็นการปลดปล่อยมนุษย์จากการกดขี่และตกเป็นทรัพย์สินของผู้อื่น พระองค์ทรงดำเนินนโยบายนี้อย่างสุขุมคัมภีรภาพ เป็นขั้นตอน และยาวนาน เพื่อป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรง ทรงศึกษาบทเรียนจากต่างประเทศ (เช่น สงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา) ที่การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนำไปสู่การนองเลือด จึงทรงเลือกหนทางที่ละมุนละม่อมเพื่อรักษาความสงบและป้องกันความขัดแย้งรุนแรงในชาติ การเลิกทาสสำเร็จลงในปี พ.ศ.๒๔๔๘ ถือเป็นการยุติการเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย สะท้อนถึงหลักอหิงสาอย่างชัดแจ้ง และป้องกันการแก้แค้นระหว่างชนชั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงริเริ่มกิจการสาธารณประโยชน์ เช่น การสถาปนา โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลหลวงแห่งแรกเพื่อดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชนอย่างทั่วถึง รวมถึงการพัฒนาการศึกษา การสาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ด้วยทรงตระหนักว่าหน้าที่สูงสุดของพระมหากษัตริย์คือการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎร
สืบเนื่องมาในยุคแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญา "กษัตริย์นักพัฒนา" จากนานาประเทศ ตลอด ๗๐ ปีแห่งการครองราชย์ ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพสกนิกรทั่วทุกภูมิภาค ทรงริเริ่มโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า ๔,๐๐๐ โครงการ ครอบคลุมทั้งด้านการเกษตร แหล่งน้ำ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สาธารณสุข การศึกษา และการพัฒนาคุณภาพชีวิต โครงการเหล่านี้ เช่น โครงการหลวงเพื่อพัฒนาชาวเขา โครงการแก้มลิงเพื่อจัดการน้ำ โครงการฝนหลวงเพื่อแก้ภัยแล้ง ฯลฯ ได้ช่วยให้ประชาชนหลายล้านคนพ้นจากความยากจน สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน องค์การสหประชาชาติได้ทูลเกล้า ฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ (UNDP Human Development Lifetime Achievement Award) ในปี พ.ศ.๒๕๔๙ เพื่อสดุดีพระวิริยอุตสาหะในการเข้าถึงและช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้ที่สุด โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติหรือศาสนา ความทุ่มเทนี้คือแบบอย่างอันประเสริฐของการ "ให้" ตามหลักทานบารมี ซึ่งช่วยบรรเทาความทุกข์ยาก (อันเป็นผลพวงหนึ่งของเวรกรรมทางสังคม) และสร้างรากฐานแห่งสันติสุขที่มั่นคง การสร้างกุศลและการสงเคราะห์ของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์จึงสะท้อนถึงพระเมตตาและกรุณาธรรมตามหลักพุทธศาสนาอย่างแท้จริง พระราชจริยวัตรเหล่านี้ไม่เพียงนำความผาสุกมาสู่ประชาชน แต่ยังมีส่วนสำคัญในการลดความขัดแย้ง สร้างความสามัคคี และเป็นแรงบันดาลใจให้ราษฎรร่วมกันพัฒนาประเทศชาติ
พลังแห่งอภัยทาน : การไม่จองเวรในพระราชอำนาจ
การให้อภัย (อภัยทาน) เป็นคุณธรรมสำคัญที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงยึดมั่น สอดคล้องอย่างยิ่งกับหลักธรรมเรื่องการไม่จองเวร ดังพุทธพจน์ที่ว่า "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร" พระมหากษัตริย์ในฐานะองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก จึงทรงดำรงมั่นในหลักเมตตาธรรมนี้ ทั้งต่อมิตรและผู้ที่เคยเป็นศัตรู ดังปรากฏในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์หลายครั้งที่ทรงเลือกใช้ "พระเมตตาบารมี" แทนการลงทัณฑ์สถานหนัก เพื่อนำความสงบสุขกลับคืนมา แบบอย่างจากอดีตที่โดดเด่นคือกรณี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา ภายหลังทรงกระทำยุทธหัตถีมีชัยเหนือพระมหาอุปราชาพม่า แม้แม่ทัพนายกองบางส่วนตามเสด็จไม่ทัน อันเป็นความผิดตามกฎอัยการศึกถึงขั้นประหารชีวิต แต่สมเด็จพระนเรศวร ฯ กลับทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานอภัยโทษ และให้โอกาสแก้ตัวด้วยการไปปฏิบัติราชการสงครามเพื่อชาติแทน การตัดสินพระทัยครั้งนี้แสดงถึงพระเมตตาธรรมและพระปรีชาญาณในการรักษาขวัญกำลังใจของทหาร และป้องกันความแตกแยกที่อาจเกิดจากการลงโทษอย่างรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การจองเวรกันต่อไป
ในยุครัตนโกสินทร์ ก็ปรากฏพระมหากรุณาธิคุณในการให้อภัย เช่นเมื่อครั้ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ทรงเผชิญเหตุการณ์ "กบฏ ร.ศ.๑๓๐" (พ.ศ.๒๔๕๕) ซึ่งมีนายทหารกลุ่มหนึ่งพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้จะเป็นความผิดร้ายแรง แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์มิได้ทรงลงโทษประหารชีวิตผู้ก่อการทั้งหมด หลายคนได้รับการพระราชทานอภัยโทษหรือลดหย่อนผ่อนโทษในเวลาต่อมา โดยทรงให้เหตุผลว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นมิได้มีผู้ใดเสียชีวิต การให้อภัยครั้งนี้ช่วยสมานรอยร้าวในหมู่ทหารและข้าราชการ ป้องกันมิให้เกิดความเคียดแค้นฝังลึก อันอาจกลายเป็นชนวนความรุนแรงระลอกใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษยังคงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบมาจวบจนปัจจุบัน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดได้กลับตัว และสร้างความปรองดองในชาติ ในวโรกาสมหามงคลต่าง ๆ เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระมหากษัตริย์จะทรงมีพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยลดโทษแก่นักโทษ ซึ่งเป็นการมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่ผู้ที่สำนึกผิดได้กลับคืนสู่สังคมในฐานะพลเมืองดี ดังเช่น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๑๐) ก็ได้ทรงสืบสานพระราชกรณียกิจนี้ โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ พระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษเนื่องในโอกาสสำคัญต่างๆ ทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนถึงพระเมตตาคุณและธรรมะแห่งการให้อภัยอันเป็นมรดกธรรมที่สืบทอดในสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย
ร่มโพธิ์ทองแห่งสันติ : การธำรงความสงบและการไม่เบียดเบียน
สันติสุขของบ้านเมือง คือ เป้าหมายสูงสุดในการปกครองแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ไทย การธำรงไว้ซึ่งความสงบร่มเย็นจำเป็นต้องอาศัยผู้นำที่ยึดมั่นในหลัก "อหิงสา" คือ การไม่เบียดเบียนชีวิตและสิทธิของผู้อื่น และหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ในยามที่บ้านเมืองเผชิญวิกฤตความขัดแย้งหรือภัยคุกคาม พระมหากษัตริย์ไทยมักทรงใช้พระปรีชาญาณและพระขันติธรรมในการแสวงหาทางออกที่สันติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดการสูญเสียและป้องกันมิให้เกิดการจองเวรไม่สิ้นสุด ดังที่กล่าวแล้วว่าทศพิธราชธรรมข้อ "อหิงสา" กำหนดให้พระราชาทรงยึดมั่นในการไม่ใช้ความรุนแรง และปกป้องความสงบสุข ตัวอย่างสำคัญคือการดำเนินพระราโชบายของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ในช่วงเผชิญหน้ากับลัทธิล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะใน วิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖) กับฝรั่งเศส พระองค์ทรงตัดสินพระทัยดำเนินวิเทโศบายที่สุขุมประนีประนอม ยอมเสียดินแดนบางส่วนเพื่อรักษาเอกราชของชาติส่วนใหญ่และชีวิตของพสกนิกรไว้ แทนที่จะทรงเลือกหนทางสงครามซึ่งจะนำมาซึ่งความพินาศและทุกข์เข็ญอย่างใหญ่หลวง การเสียสละครั้งนั้น แม้จะเจ็บปวด แต่ก็เป็นการตัดสินพระทัยที่ตั้งอยู่บนหลักการไม่เบียดเบียนและเห็นแก่ประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นสำคัญ
ไม่เพียงแต่ในด้านการต่างประเทศ ในยามเกิดความขัดแย้งภายในประเทศ พระมหากษัตริย์ก็ทรงเป็นศูนย์รวมใจ ดังเช่น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) ที่ทรงช่วยคลี่คลายวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงหลายครั้งมิให้ลุกลามบานปลายจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง เหตุการณ์ที่ประจักษ์ชัดที่สุดคือ "พฤษภาทมิฬ" (พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕) เมื่อเกิดการปะทะนองเลือดระหว่างฝ่ายรัฐบาลทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดและอันตรายอย่างยิ่ง ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงใช้พระบารมีและพระปรีชาญาณ เชิญผู้นำคู่ขัดแย้ง (พลเอก สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และพลตรี จำลอง ศรีเมือง แกนนำผู้ชุมนุม) เข้าเฝ้า ฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และพระราชทานพระราชดำรัสเตือนสติให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ยุติความรุนแรงเพื่อเห็นแก่ประเทศชาติ พระราชดำรัสครั้งนั้นเปรียบดังน้ำทิพย์ชโลมใจ ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว ต่อมาเพียงไม่กี่วัน พระองค์ทรงใช้พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญตรา พระราชกำหนดนิรโทษกรรม แก่ผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมในเหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือประชาชนที่อาจกระทำผิดกฎหมายในช่วงเวลาแห่งความรุนแรงนั้น จะไม่ถูกดำเนินคดีหรือเอาผิดในภายหลัง พระราชวินิจฉัยอันเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณนี้ มีเป้าหมายเพื่อ "ลบล้างความผิด เริ่มต้นกันใหม่" ไม่ให้เกิดการผูกใจเจ็บและการจองเวรแก้แค้นตามมา เป็นการตัดวงจรแห่งความขัดแย้ง และเปิดทางให้สังคมไทยได้เยียวยาบาดแผลร่วมกันบนพื้นฐานของการให้อภัย บทบาทของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ได้ช่วยนำพารัฐนาวาไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญไปได้อย่างสันติ และกลับคืนสู่หนทางประชาธิปไตยในที่สุด กรณีนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า หลักการไม่จองเวรและไม่เบียดเบียน มิใช่เพียงหลักธรรมในตำรา แต่สามารถน้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดผลจริงได้ผ่านพระราชอำนาจและพระบารมีของพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงใช้ธรรมะนำหน้าการปกครอง ไม่ทรงถือโทษโกรธเคืองแม้ต่อผู้ล่วงละเมิด แต่กลับทรงหาทางช่วยเหลือให้ทุกฝ่ายหลุดพ้นจากวังวนแห่งความรุนแรง สันติสุขที่ชาติไทยดำรงรักษาไว้ได้ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ส่วนสำคัญเกิดจากพระบารมีแห่งเมตตาธรรมและอภัยทานที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงบำเพ็ญให้เป็นที่ประจักษ์
มรดกธรรมแห่งราชวงศ์จักรี สู่ความร่มเย็นของแผ่นดิน
หลักธรรมในพระพุทธศาสนาว่าด้วย การไม่จองเวรและการไม่เบียดเบียน คือสัจธรรมอันล้ำค่าที่นำมาซึ่งความสงบสุขทั้งแก่ตนเองและสังคม "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร" คือพุทธวิธีในการตัดวงจรแห่งความทุกข์และความขัดแย้ง พระมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงศ์จักรี ในฐานะพุทธมามกะและองค์ธรรมราชา ได้ทรงน้อมนำหลักธรรมอันประเสริฐนี้มาเป็นแนวทางในการดำเนินพระราชจริยวัตรส่วนพระองค์ที่เปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณาธรรม และสะท้อนออกมาในพระราชกรณียกิจนานัปการที่มุ่งบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร ทั้งการสร้างสรรค์คุณประโยชน์ (ทาน) การพระราชทานอภัยทาน (อภัยทาน, อักโกธะ) และการเป็นศูนย์รวมใจเพื่อยุติความขัดแย้งโดยสันติ (อวิหิงสา, ขันติ) พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงดำรงพระองค์ประดุจ “พระโพธิสัตว์” ผู้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อความผาสุกของมหาชน ตามรอยพระยุคลบาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในวาระวันจักรี ปวงชนชาวไทยจึงน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของบูรพมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ ที่ทรงปกครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม ยึดมั่นในหลักอภัยทานและอหิงสาอันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา การที่ประเทศไทยสามารถธำรงความเป็นปึกแผ่น มีเอกราช และดำรงความสงบร่มเย็นมาได้ตราบจนทุกวันนี้ ส่วนสำคัญยิ่งมาจากพระบารมีแห่งธรรมของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็น "ธรรมราชา" ปกป้องคุ้มครองแผ่นดิน คุณธรรมเรื่องการไม่จองเวรและการไม่เบียดเบียนที่สถิตมั่นในพระราชหฤทัยของทุกพระองค์ เปรียบเสมือนประทีปธรรมส่องนำทางให้สังคมไทย หากประชาชนน้อมนำไปปฏิบัติ ย่อมก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี ไม่คิดพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกัน บ้านเมืองก็จะบังเกิดความสงบสุขอย่างแท้จริง สมดังพุทธภาษิตที่ว่า "นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ - ความสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี" และความสงบสุขนี้เอง คือพระราชปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่พระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงบำเพ็ญเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรตลอดมา
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น
“พาไปวัด” ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมเทิดทูนพระเกียรติคุณแห่งพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ผู้ทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ประทานความร่มเย็นเป็นสุขและสันติธรรมแก่ประเทศชาติสืบไป
#พาไปวัด : พาไปน้อมรำลึกในพระเกียรติคุณแห่งบูรพมหากษัตริย์ไทย - เทวตานุสสติ.
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?
ประเภท
ติดต่อ ธุรกิจของเรา
เว็บไซต์
ที่อยู่
111 ซอยพุ่มอุไร สามเสนนอก ห้วยขวาง
Bangkok
10310