พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
เผยแผ่ประวัติปฏิปทา หลักธรรมคำสอน พระธุดงคกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และประชาสัมพันธ์งานบุญต่างๆ

พระลูกศิษย์องค์หนึ่งมากราบเรียนขอวัตถุมงคล (เหรียญ) ของหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงสอนว่า "เครื่องรางของขลังนี่อย่าไปสอนให้ผู้คนเขาเชื่อจนงมงายมากนัก การแจกเหรียญก็เหมือนกับการถ่ายรูปแจก กันไปเป็นของที่ระลึก ที่พูดนี่ไม่ใช่ผมไม่เชื่อนะ ผมนี่แหละทดลองเอาเนื้อหนังไปทดสอบมาแล้ว สุดท้ายมันก็ ไม่มีความเป็นอมตะ ทหารออกรบแบกเครื่องรางกันเป็นกิโล ๆ แต่ก็คุ้มครองไม่ได้ เวลาแบกศพทหารนี่น้ำหนักตัวพอ ๆ กับน้ำหนักเครื่องราง เครื่องรางที่ดีที่สุดคือ ศีลธรรม เครื่องรางของผมน่ะ คืออะไรรู้ไหม คือ ความกตัญญู ใครทำบุญกับผมเท่าขี้เล็บ ผมจะตอบแทนเขาเป็นสิบเท่าร้อยเท่า"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองผุด ญาณวโร ๏
วันนี้วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นวันครบรอบ ๒ ปี การละสังขาร หลวงปู่ทองผุด ญาณวโร วัดป่าภูเขาดิน อ.เชียงคาน จ.เลย ท่านเป็นเพชรน้ำงามแห่งขุนเขา มีครูอาจารย์หลายรูปเคารพในข้อวัตรและปฏิปทาของท่าน เข้าไปกราบอย่างสม่ำเสมอ น้อยนักคนที่จะเคยได้ยินชื่อเสียงของท่าน ท่านเป็นศิษย์ในองค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ , หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี , หลวงปู่แหวน สุจิณโณ , หลวงปู่ฝั้น อาจาโร , ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม , หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ฯลฯ
ท่านเป็นชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยกำเนิด บวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุยังน้อย จนถึงสมัยบวชพระ ได้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่คำดี วัดถ้ำผาปู่ เพราะชอบปฏิปทาของท่าน และเกิดจากนิมิต (ฝัน) ว่าได้มีหมูป่าตัวใหญ่วิ่งมาหา เพื่อมารับท่าน จึงได้ปีนขึ้นนั่งบนหลังของมัน พร้อมกับพระบวชใหม่อีกรูป (ไม่ทราบชื่อ)โดยที่หลวงปู่ทองผุด นั่งด้านหน้า พระบวชใหม่นั่งด้านหลัง หมูป่าวิ่งผ่านตามสถานที่ต่างๆ จนวิ่งมาถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่ล้มขวางทางอยู่ด้านหน้า หมูป่าวิ่งตรงลอดใต้ไม้ต้นใหญ่ต้นนั้น ในขณะที่หลวงปู่มองเห็นจึงก้มตัวราบให้เสมอตัวกับหมูป่า แต่พระบวชใหม่ที่นั่งมาด้านหลัง ไม่ทันระวัง ลำตัวจึงได้ฟาดกับต้นไม้พลัดตกหล่นลงพื้นดิน แต่หมูป่าเองก็ไม่ยอมหยุด วิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนไปหยุดนิ่งที่วัดถ้ำผาปู่
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากฉันจังหันเช้าแล้ว จึงนั่งทบทวนความฝัน หลวงปู่จึงตัดสินใจเก็บอัฐบริขารแล้วเดินทางไปวัดถ้ำผาปู่ทันที เมือถึงวัดถ้ำผาปู่ เข้ากราบหลวงปู่คำดี จึงได้เล่านิมิตถวายหลวงปู่คำดี หลวงปู่คำดี ท่านตอบว่า “เอ้อดีๆ”ในสมัยนั้นมีพระจำพรรษาอยู่ประมาณ ๖ - ๗ รูป เท่าที่ได้ข้อมูลคล่าวๆ ดังนี้
๑. หลวงปู่สีธน สีลธโน
๒. หลวงปู่เปรื่อง ฐานังกโร
๓. หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
๔. หลวงปู่ทองผุด ญาณวโร
๕. หลวงปู่เผย วิริโย
และยังมีอดีตสามเณรสมพงศ์ ผู้ที่คอยอุปัฏฐากดูแลพระในวัด หิ้วน้ำ หาบน้ำ ล้างบาตรฯจนถึงบวชเป็นพระ (ปัจจุบันท่านลาสิกขาออกมาดูแลครอบครัว)
พ่อแม่ครูอาจารย์ของหลวงปู่ทองผุด เท่าที่ทราบได้
๑. หลวงปู่คำดี วัดถ้ำผาปู่
๒. หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ท่านจะเดินทางหลังจากออกพรรษา ไปอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตกับหลวงปู่เทสก์ ประมาณ ๕ เดือน หลังจากนั้นก็เดินธุดงค์ เลาะแนวตะเข็บชายแดน ขึ้นสู่ภาคเหนือบ้าง ภาคใต้ข้ามไปถึงประเทศมาเลเซีย
๓. หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เคยไปพักอยู่ที่วัดของท่าน ประมาณ ๒ ครั้งหลวงปู่แหวน ท่านสอนหลวงปู่ทองผุด ให้คอยพิจารณาขันธ์อยู่เสมอ และหลวงปู่แหวน ได้ทำนายทายทักหลวงปู่ทองผุดไว้ว่า “จะอยู่รอดในเพศบรรพชิต”
๔. หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่ทองผุดท่านอยู่กับหลวงปู่ชอบ เมือสมัยหลวงปู่ชอบ ที่วัดโคกมน และหลวงปู่ทองผุด มักจะถูกนิมนต์ให้เป็นองค์นำสวดปาติโมกข์อยู่เสมอ
๕. หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่เคยไป กราบขอข้อวัตรกรรมฐานจากท่านบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ได้อยู่ที่วัดของท่าน เพราะในสมัยนั้นมีพระบวชอยู่หลายรูป ที่พักมีไม่เพียงพอ หลวงปู่ทองผุด จึงต้องพักอาศัยอยู่ที่วัดใกล้เคียง ช่วงเย็นก็จะไปร่วมทำวัตรสวดมนต์ รับฟังโอวาทธรรมจากท่าน แล้วกลับมาปฏิบัติบำเพ็ญเพียรภาวนาฯ
สหธรรมมิกกับองค์หลวงปู่ทองผุด มี
องค์หลวงปู่แบน ธนากโร (วัดดอยธรรมเจดีย์)
องค์หลวงปู่คำพอง ติสโส (วัดถ้ำกกดู่)
องค์หลวงปู่โง่น โสรโย (วัดพระพุทธบาทชนแดน) องค์หลวงปู่อร่าม ชินวังโส (วัดป่าถ้ำแกลบ)
ท่านอยู่แบบสมถะเรียบง่าย กิจวัตรไม่เคยขาด ไม่รับกิจนิมนต์ ไม่เคยสนใจในลาภยศและสมณศักดิ์ต่างๆ (ในขณะที่หลานของหลวงปู่เป็นชั้นเจ้าคุณ) ในกุฏิ เตียงนอนของท่าน เป็นเพียงเตียงไม้ธรรมดา มีผ้าปูรองนอน หมอนหนึ่งใบกับผ้าห่มหนึ่งผืนเท่านั้น เครื่องอำนวยความสะดวกไม่มี หรือแม้แต่ในห้องน้ำของท่าน ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นหรือเครื่องอำนวยความสะดวกสบายใดๆ ทั้งสิ้น ท่านไม่จับเงินทอง
ไม่ว่าปัจจัยใดๆ ที่ได้มาจากงานกฐินเป็นล้านๆ ท่านบริจาคเป็นสาธารณะประโยชน์ อาทิ สร้างถนนคอนกรีตในหมู่บ้าน บริจาคเข้าโรงพยาบาล สร้างวัด สร้างโรงเรียน ฯลฯ
เป็นวัดเดียวในประเทศไทย ที่เห็นมาคือ มีพระพุทธรูปเพียงองค์เดียวในศาลาเท่านั้น ไม่เน้นสร้างวัตถุ ที่วัดของท่านสะอาดมาก หลวงปู่ไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ออกจากวัด ยกเว้นไปหาหมอที่โรงพยาบาลเท่านั้น ท่านบอก "ข้างนอกมีแต่เรื่องวุ่นวาย"
หลวงปู่ทองผุด ญาณวโร ละสังขารด้วยอาการสงบภายในกุฏิ วัดภูเขาดิน บ้านผาพอด ต.ธาตุ อ.เชียงคาน จ.เลย ตรงกับวันจันทร์ ที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เมื่อเวลา ๑๙.๕๐ น. สิริอายุ ๘๙ ปี ๙ เดือน ๒๘ วัน พรรษา ๗๐

ทีฆายุโก โหตุ สังฆราชา เนื่องในวโรกาสมงคลสมัยคล้ายวันประสูติ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ทรงเจริญพระชนมายุ ๙๘ พรรษา เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อัมพโร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ ๒๐
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

“…คนไม่มีความรู้ แต่เขาไม่ทำความชั่ว ดีกว่าคนที่มีความรู้มาก แต่นำความรู้นั้น ๆ ไปใช้ในทางที่ชั่ว คนรู้น้อยแต่เขาพยายามสร้างแต่ความดีย่อมนำความเจริญมาให้แก่หมู่คณะตลอดถึงประเทศชาติได้…”
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อวิชัย เขมิโย ๏
วันนี้วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๘ เป็นวันครบรอบ ๘๐ ปี ชาตกาล หลวงพ่อวิชัย เขมิโย วัดถ้ำผาจม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ท่านพระครูเกษมวรกิจ หรือ “หลวงพ่อวิชัย เขมิโย” เจ้าอาวาสวัดถ้ำผาจม อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในพระมหาเถระที่เป็นพระสุปฎิปันโน หรือ เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฎิบัติชอบ โดยเดินตามแนวทางปฏิปทาขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่มีกองทัพธรรมเป็นพระสุปฏิปันโนไม่ต่ำกว่า 1,000 รูป เผยแพร่พระพุทธศาสนาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
ชื่อเดิม “วิชัย คล่องแคล่ว” เกิดวันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีระกา ตรงกับวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๘ (สองพันสี่ร้อยแปดสิบแปด) ณ ที่บ้านหินลาด ตำบลกุดชมภู อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายบัว นางกอง คล่องแคล่ว (สำหรับคุณแม่บวชเป็นแม่ชีอยู่ด้วยขณะนี้) พ่อนั้นตายเสียตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุได้ ๑ ขวบกว่า ๆ อาชีพเดิมของบิดามารดา คือการทำนาตามบรรพบุรุษหลายชั่วคน เมื่อตอนเล็ก ๆ ข้าพเจ้าชอบอยู่กับยาย คือแม่เอาข้าพเจ้าไปฝากยายไว้ซึ่งอยู่คนละบ้าน เพราะแม่ของข้าพเจ้าท่านได้ไปแต่งงานใหม่ ทำให้ข้าพเจ้ากับน้องได้ไปอยู่กับยาย
นี่คือปฐมบทของชีวิตของเด็กน้อย ที่ได้เริ่มรู้จักกับความว้าเหว่อ้างว้างของลูกที่กำพร้าพ่อและพลัดพรากจากแม่เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๗ ขวบ ยายก็ให้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านแก่งเจริญ ข้าพเจ้าทำงานหนักที่พอจะทำได้มาตั้งแต่เด็ก ๆ จะเรียกว่าเป็นชีวิตทั้งกำพร้าพ่อแม่ก็ว่าได้เพราะไม่ค่อยจะได้อยู่กับแม่
ข้าพเจ้าได้ช่วยยายและพวกน้าผู้หญิงผู้ชายทำงาน กล่าวคือเมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องไปตักน้ำใส่ตุ่มน้ำกินน้ำใช้ เพราะหมู่บ้านที่อยู่นั้นบ่อน้ำอยู่ห่างไกลออกไปประมาณ ๑ กม. และเมื่อตักน้ำกินมาไว้เต็มตุ่มแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องลงไปตักน้ำในแม่น้ำมูลมาใช้และรดห้างพลูกินหมากให้ยาย นี่เป็นงานประจำตอนเด็ก
นอกจากนั้น ยังต้องช่วยน้าผู้หญิงตำข้าวด้วย เพราะสมัยนั้นหมู่บ้านแถบนี้ยังไม่มีโรงสีข้าว
ชีวิตข้าพเจ้าจึงตกระกำลำบาก เด็กเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันเขาสบายกันมาก ส่วนข้าพเจ้าเวลากินก็แสนจะลำบาก แม้แต่เวลานอนก็ลำบาก ถึงฤดูทำนาต้องไปนอนที่กระท่อมนากับน้าผู้ชาย ตื่นเช้ามาต้องนึ่งข้าวเหนียวหุงข้าวให้น้า เพราะน้าตื่นขึ้นมาก็รับไปไถนา เมื่อหุงข้าวเสร็จ ก็ต้องหามฟืนกลับบ้านซึ่งห่างจากทุ่งนาประมาณ ๔ กม. พอถึงบ้านก็ต้องรีบกินข้าวไปโรงเรียน ระยะทางจากหมู่บ้านไปถึงโรงเรียน ๓ ก.ม.
สมัยนั้นยังไม่พัฒนา ทางการให้ ๓ - ๔ หมู่บ้านไปเรียนหนังสือรวมกันที่โรงเรียนแห่งเดียว ทำให้เด็กนักเรียนแต่ละหมู่บ้านต้องเดินไปเรียนกันทางไกลหน่อย พอเลิกเรียนในตอนบ่าย ก็เดินกลับบ้านรีบกินข้าว ซึ่งส่วนมากเป็นข้าวเหนียวในก่องข้าวหรือกระติบเย็นชืดกับปลาร้าและพริกแทบทุกวัน อร่อยมากเพราะหิว คนเราเมื่อหิวกินอะไรก็อร่อยทั้งนั้น จากนั้นก็เอากระบุงใส่ปุ๋ยคอกหาบไปทุ่งนาวันละหาบเฉพาะตอนเย็นการไปนาและกลับมาบ้านนั้น บ่าของข้าพเจ้าจะไม่ว่างจากไม้คานเลย
เพื่อนฝูงที่เขามีนาอยู่ใกล้กัน ๔ - ๕ คน เขาเดินไปตัวเปล่าเดินมาตัวเปล่าหยอกล้อกันบ้าง วิ่งไล่จับกันสนุกสนาน ส่วนข้าพเจ้าทำไม่ได้เพราะบ่าต้องหาบคอนใส่ของหนังอึ้ง หมดสนุกสนานมีแต่ความเศร้าสร้อย
น้าผู้ชายท่านรักข้าพเจ้ามาก รักเสมือนลูกของท่านจริง ๆ ส่วนน้าผู้หญิงนั้นแกไม่รักข้าพเจ้าเลย ชอบข่มเหงรังแกตลอดเวลา บางครั้งทำอะไรไม่ทันใจแกก็จะจิกหัวหรือเฆี่ยนเอา แต่ถ้าน้าผู้ชายเห็นแล้วจะทำไม่ได้ ชีวิตของข้าพเจ้าหากไม่มีน้าผู้ชายช่วยปกป้องแล้วลำบากแสนเข็ญมาก
แม้แต่เวลาเข้าเรียนหนังสือเพื่อนเขาได้กระดานใหม่ ๆ คือ กระดานชนวน ได้กางเกงใหม่ เสื้อใหม่ ดินสอใหม่ ส่วนข้าพเจ้าไม่เคยได้เขียนกระดานใหม่ ไม่เคยได้ดินสอใหม่แท่งยาว ๆ เหมือนเขาเลย
ยายเป็นคนตระหนี่ประหยัด จึงให้ใช้กระดานแตก ๆ แต่พอเขียนได้ ดินสอก็สั้น ๆ กุด ๆ แม้แต่กางเกงของข้าพเจ้าก็ขาดกะรุ่งกะริ่ง เพื่อนชอบล้อเล่นอยู่เรื่อยว่า “ลุงก็มาโรงเรียนเหรอ?”
หนังสือเรียนก็เก็บเอาของเก่าเขามาให้อ่าน ขาดไปก็มี แต่ก็ยังเป็นบุญบารมีของข้าพเจ้าที่เรียนหนังสือได้เก่งพอสมควร ได้เป็นหัวหน้าชั้นบ่อยที่สุด
พูดถึงของใช้แล้ว น้อยนักน้อยหนาที่จะได้ใช้ของใหม่ ๆ ดี ๆ ถ้าเป็นผ้านุ่งผ่าห่มก็รับเอาของเก่าพี่ชายบ้าง ยายเอาของคนอื่นมาให้บ้าง
พอถึงหน้าหนาว ผ้าห่มก็แสนจะขาดปะแล้วปะอีก กางเกงและเสื้อก็ปะแล้วปะอีก ชีวิตของลูกกำพร้าที่อยู่อาศัยยายและน้านั้นแสนจะลำบากเหลือเกิน ชีวิตเอ๋ยช่างอาภัพโชคกระไรหนออย่างนี้ มองดูชีวิตเพื่อนรุ่นเดียวกันเขาช่างมีความสุขมาก ครั้นพออายุได้ ๘ ขวบ เรียนอยู่ประถม ๒ พี่ชายลูกคนละพ่อเขาไปบวชเป็นสามเณร จิตใจของข้าพเจ้าอยากจะตามไปบวชด้วยเหลือเกิน ได้เห็นพี่ชายห่มผ้าจีวรเหลืองอร่ามเหมือนทองดอกบวบงามจับใจ ทำให้ใจไม่อยากจะอยู่บ้านเลย เพราะอยู่บ้านกับยายกับน้าผู้หญิง มีแต่ความทุกข์กายทุกข์ใจเสมอจะยากลำบากกับการงานหนักเกินวัยเด็ก
เวลาเช้าฤดูแล้ง ยายให้ไปส่งข้าวเณรพี่ชายที่วัดทุกเช้า ข้าพเจ้าบอกเณรพี่ชายให้หาหนังสือพระเณรที่เกี่ยวกับการบอกวิธีบวชเรียนและสวดมนต์มาให้ พี่เณรก็เอาหนังสือเจ็ดตำนานมาให้อ่านและได้บอกคำขอบวชให้ด้วย
ข้าพเจ้าเอามาอ่านมาท่องทุกวัน ท่องคล่องปากเพราะเคยได้ยินพระสงฆ์ท่านสวดมนต์อยู่เสมอ วันไหนว่างก็แอบไปวัด เพราะวัดคือสถานที่เล่นเย็นใจหรือสนุกสนานของเด็ก ๆ บ้านนอก เมื่อไปวัดก็ท่องคำขอบบวชเณรให้ขึ้นและได้ขอร้องให้พี่เณรมาช่วยพูดกับยาย ขอร้องให้ยายอนุญาตให้ข้าพเจ้าบวชเณรบ้าง
พี่เณรก็บอกว่าเรียนหนังสือยังไม่ทันจบ ป.๔ บวชเณรไม่ได้หรอก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ฟัง ได้รบเร้าอยู่เรื่อย ๆ จนพี่เณรทนไม่ไหวต้องมาบอกยาย เลยโดยยายตวาดเอา
แต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ไม่ลดละความพยายามจะบวชให้ได้ ปีต่อมาข้าพเจ้าพยายามหาวิธีบวชให้ได้ วันไหนว่างแอบไปฟังท่านอาจารย์ที่วัดเทศน์และสนทนากับท่านบ้าง ท่านก็ชวนบวช ทำให้ศรัทธาของข้าพเจ้ายิ่งมีมากขึ้น บางวันไถนาปลูกข้าวอยู่แต่ร่างกาย ส่วนจิตใจมาอยู่วัดตลอดเวลา
วันหนึ่งปลูกข้าวอยู่กับแม่ เป็นวัน ๗ ค่ำ ซึ่งทางภาคอีสาน พอถึงวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ พระเณรที่วัดต้องตีกลองให้สัญญาณบอกวันโกนวันพระ เขาเรียกว่าตีกลองแลง ( แลง แปลว่า ตอนเย็น) แม้แต่ตี ๔ ตอนกลางคืนก็ตีกลองอีก ตีสลับกับฆ้องเรียกว่าตีกลองดึก เสียงวังเวง ฝูงหมาจะเห่าหอนกันเกรียวทีเดียว
วันนั้นพอได้ยินพระท่านตีกลองแลง จิตใจของข้าพเจ้าหวิว ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก บอกแม่ว่าเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วผมต้องบวชให้ได้ แม่ก็บอกว่า แม่จะบวชให้ลูกทุก ๆ คนนั่นแหละ ข้าพเจ้าดีใจแสนจะดีใจบอกไม่ถูก ถึงวันพะข้าพเจ้าชอบทำบุญตักบาตร แม้แต่ไปเที่ยววัดไหนยามมีงานวัด ก็ต้องทำบุญก่อนเที่ยว เรื่องทำบุญนี้ทำเองด้วยใจรัก ไม่มีใครบอก เป็นฉันทะความพอใจความเลื่อมใสจากส่วนลึกของหัวใจ
แม่เอาเงินให้ไปเที่ยวดูโน่นดูนี่ แต่ข้าพเจ้ากลับเอาเงินไปทำบุญหมดก็มี จิตใจมีแต่เมตตาความรักความเอ็นดูสงสารต่อคนอื่นเสมอ แม้แต่สัตว์ เป็นต้นว่าไก่ก็ไม่เคยฆ่า สุนัข แมว วัว ควาย ไม่เคยฆ่า มีเมตตาสงสารสัตว์เหล่านี้เสมอ เห็นใครเขาเชือดคอเป็ดคอไก่แล้วต้องรีบเดินหนีด้วยความสงสาร เห็นคนขับเกวียนบรรทุกฟืนเพียบแปล้ เอาดุ้นฟืนขนาดเท่าแขนตีวัวเทียมเกวียน บังคับขู่เข็ญให้วัวลากเกวียนไป แต่วัวหมดแรงลากไม่ไหวถูกตีจนล้มฟุบ ขี้แตกออกมา ข้าพเจ้าเห็นแล้วถึงกับร้องไห้ด้วยความสงสาร โอหนอ ทำไมคนเราใจคอโหดร้าย ใช้สัตว์ทำงานทารุณถึงปานนั้น ช่างไม่คิดเวทนาสงสารวัวลากเกวียนเอาเสียเลย หรือว่าชาติปางก่อน วัวตัวนั้นเคยเป็นคนทำบาปชั่วมามาก ชาตินี้เลยมาเกิดเป็นวัวให้คนเขาทุบตีใช้งานหนักเช่นนี้เป็นการใช้กรรมเวร? เพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันชอบล้อว่า พ่อใจบุญ ๆ ๆ ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจเสมอ
เริ่มบวชเป็นสามเณร อายุ ๑๗ ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ณ วัดเวฬุวัน บ้านหนองไผ่ ตำบลดอนจิก อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลธานี โดยมีท่านพระครูสุนทรธรรมวิบูลย์ เป็นพระอุปัชณาย์ บวชในช่วง ๑๐.๐๐ น. ตกกลางมาก็เริ่มปฏิบัติสมาธิเป็นแล้ว เพราะเคยฝึกมาก่อนบวช การนำจิตเข้าสู่สมาธิจึงทำได้พอสมควร ปฏิบัติมาตลอดทุก ๆ วันในพรรษาแรก จิตก็เข้าสมาธิได้สม่ำเสมอแล้ว
พรรษาที่สอง สอบนักธรรมตรีได้ และการปฏิบัติเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ในกลางพรรษาที่สอง พระพุทธองค์ทรงเสด็จมาประทับอยู่ที่หิ้งพระ แย้มพระโอษฐ์อยู่นานพอสมควรจึงเสด็จไป
พ.ศ.๒๕๐๘ ย้ายมาอยู่วัดสว่างอารมณ์ บ้านเสียม ตำบลหัวดอน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี เรียนนักธรรมชั้นโท แต่ก็สอบไม่ผ่าน ออกพรรษา หมดเขียนกฐิน ก็ได้บวชเป็นพระภิกษุ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๘ เวลา๖.๐๐ น. บวชไม่กี่วันก็ได้เดินธุดงค์ไปประเทศลาวกับหลวงปู่ไพ ไปพบหลวงพ่อมหาผ่อง เมืองโพนทอง ไปภูมะโรง พบอาจารย์บุญมาก ข้ามยนต์ไปที่จังหวัดปากเซ แล้วก็เดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านยิก เลยไปถึงอัตบามือ ใกล้เมืองสาลวัน ติดต่อเขตแดนลาว เวียดนาม ย้อนกลับมาทางจังหวัดจำปาสัก
เดินธุดงค์อยู่ทางประเทศลาวนานพอสมควร จึงได้กลับขึ้นมาประเทศไทย ปี ๒๕๐๙ จำพรรษาอยู่วัดบ้านหัวดูน ตำบลชีทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ปฏิบัติไปด้วยศึกษาธรรมไปด้วย ก็สอบนักธรรมชั้นโทได้ กลับมาอยู่วัดสว่างอารมณ์บ้านเสียมอีกครั้งหนึ่ง ศึกษานักธรรมชั้นเอกต่อ
ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้ออกจากวัดสว่างอารมณ์ มุ่งหน้าต่อไปทางอุดธานี เดินธุดงค์อยู่ตามภูเก้า อำเภอหนองบัวลำภู ขณะนี้เป็นจังหวัดไปแล้ว และเดินอยู่หลายอำเภอ เพราะแถบนั้นมีป่าเขามาก ในปีนั้นก็ได้เดินกลับมาจำพรรษาอยู่วัดบ้านกุดจิก ตำบลห้อยเกิ้ง อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานีออกพรรษาเดินทางไปเวียงจันทร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศลาว นานพอสมควรก็ได้ข้ามมาประเทศไทย
ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ จำพรรษาอยู่บ้านกุดจิกต่อ ออกพรรษาก็ได้เดินทางกลับไปเวียงจันทน์อีก
ปี ๒๕๑๔ เดินทางไปอบรมพระพัฒนาการทางจิต ที่จิตภาวันวิทยาลัย อำเภอบางละมุง ได้ปฏิบัติอย่างเต็มที่ เสร็จจากการอบรมเป็นเวลาสามเดือนก็เดินทางกลับอุดรอีกครั้งหนึ่ง ได้ลาญาติโยมเดินธุดงค์ลงภาคใต้ ได้ไปจำพรรษาอยู่วัดท้าวโครต ขณะนี้เปลี่ยนเป็นวัดชายนา ตำบลนา อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ปฏิบัติที่นี่เป็นเวลา ๒ ปี
ในช่วงอยู่วัดชายนานี้ได้มีโอกาสทำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ มอบกายถวายชีวิต ค้นคว้าหาสัจธรรมโดยไม่คำนึงถึงตายตามอยู่ หมายถึงเอากายเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย อยู่เดือนปี ไม่มีใจดวงจิต มุ่งหน้าตั้งตาเอาชนะจิตของตัวเอง และเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
ในช่วงฤดูแล้ง บางโอกาสก็ออกแสวงหาวิเวก โดยการเดินธุดงค์ไปตามสถานที่สงัด ๆ บางครั้งก็ไปสามเดือนสี่เดือน ก็ย้อนกลับมารับโอวาทจากหลวงพ่อใหญ่ ธมฺมธโร ออกพรรษาก็เดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ไปแทบทุกจังหวัด และทุกภาคด้วย
มีอยู่ช่วงหนึ่งร่างกายสังขารซูบผอมมาก เดินก้าวขาแทบจะไม่ออก ซึ่งได้แวะเข้าไปพักปฏิบัติอยู่สวนโมกข์นานพอสมควร จวนจะเข้าพรรษา ปี ๒๕๑๕ จึงได้กราบลาหลวงพ่อพุทธทาสไปเดินทางไปเกาะสมุย แล้วเข้าจังหวัดนครศรีธรรมราช จำพรรษาที่วัดชายนาอีกครั้งหนึ่ง ออกพรรษาก็ได้เดินธุดงค์กลับทางภาคอีสาน และก็ย้อนกลับลงไปภาคใต้อีก เพื่อจะไปกราบลาหลวงพ่อธมฺมธโร เดินทางไปประเทศพม่าตามความตั้งใจไว้ จึงได้ออกมาองค์เดียว
เดินขึ้นมาเรื่อย ๆ ขึ้นมาถึงกรุงเทพแล้ว ก็แวะไปภาคตะวันออกแถวจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ขึ้นมาทางปราจีนบุรี นครนายก สระบุรี มาป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถจะเดินทางต่อได้ และเข้าไปพักอยู่วัดเขาเทพพนมยงค์ ในช่วงนั้นหลวงปู่ไวยังไม่ได้ไปอยู่ ขณะป่วยอยู่นั้น ยาข้าวก็ไม่ได้กิน หลวงพ่อแก่ ๆ ท่านจัดให้อยู่กุฏิหลวงเก่า ๆ โทรมแล้ว โดยไม่มีใครมาถามข่าวคราวอะไรทั้งสิ้น นั่ง นอน กำหนดจิตต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา นึกว่าเป็นไข้อย่างอื่นเข้ามาแทรกเสียแล้ว เพราะมีความร้อนผิดปกติมาก ก็ได้เอาแต่น้ำเย็นลูบตัวของตัวเอง แก้ไขทางกายเราถือว่าไม่ยาก แต่การแก้ไขทางจิตใจนั้นยุ่งยากกว่า ก็เลยไม่ได้ห่วงมากเท่าไหร่นัก แต่เรื่องจิตใจนั้น จะต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ จิตใจป่วยร้ายกว่ากายป่วย กายป่วยไม่นานก็หาย แต่จิตใจป่วยนั้นหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่นชาติ ที่คอยรักษาจิตใจอยู่ตลอดเวลานั้น ก็เพื่อจะให้เป็นผู้หายป่วยใจเสียที จะได้เป็นอิสระไม่ตกเป็นทาสของโรคชั่วร้ายทั้งหลาย
พออาการป่วยทุเลาลงแล้ว ก็เดินทางต่อมุ่งสู่ภาคเหนือ มีจังหวัดเชียงใหม่เป็นจุดแรก ได้ยินกิตติศัพท์ของครูบาอินทจักร วัดน้ำบ่อหลวง จิตมีความตั้งใจจะไปศึกษาธรรมกับท่าน ก็ได้ไปถึงเชียงใหม่ตามความตั้งใจครั้งแรกไปพักอยู่ที่วัดอุโมงค์ ย้ายไปพักอยู่ ๔ วัดเมืองบาง จากนั้นจึงได้เดินไปวัดน้ำบ่อหลวง อำเภอสันป่าตอง บำเพ็ญเพียรปฏิบัติอยู่ที่นี่นานพอสมควร และได้มาตั้งใจท่องปาฏิโมกข์จบอยู่ที่วัดนี้ ท่องอยู่ ๒๔ วันพอดี ความคิดที่จะเดินทางไปจำพรรษาที่ประเทศพม่ายังสะกิดใจอยู่ตอลด จึงได้กราบลาครูเจ้าอินทจักร์เดินทางต่อไป
จากเชียงใหม่เข้าจังหวัดลำพูน มาพักศึกษาธรรมกับครูบาเจ้าพรหมจักร์ ก็เป็นเวลานานพอสมควร ก็เดินทางต่อขึ้นไปทางจังหวัดลำปาง เลยไปถึงเชียงราย ต่อถึงอำเภอแม่สาย ข้ามไปประเทศพม่าจะเดินทางต่อไปเชียงตุง กะว่าจะจำพรรษาที่จังหวัดเชียงตุง บังเอิญเจ้าหน้าที่พม่าไม่ยอมให้ไป จึงได้เดินวนไปมาในแถวเชียงรายหลายอำเภอที่สุดจวนจะเข้าพรรษา จึงได้มาพักจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำผาจม ซึ่งขณะนั้นยังเป็นป่าเขาอยู่มาก และเงียบสงบ เหมาะสมกับผู้แสวงหาความวิเวกดี ในพรรษานั้นจึงได้ตั้งใจปฏิบัติเต็มที่
ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ จำพรรษาอยู่ถ้ำผาจมออกพรรษาก็เดินธุดงค์อยู่ในบริเวณจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่
ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ จำพรรษาอยู่ถ้ำผาจลุย บ้านป่าแงะ ตำบลแงะ อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย พักปฏิบัติอยู่ที่นี่ ๑๔ เดือน
ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็ได้ย้อนกลับมาจำพรรษาอยู่วัดถ้ำผาจมอีกครั้งหนึ่ง จนถึงในปัจจุบันนี้ แต่ละปีนั้นจะออกแสวงหาวิเวกตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นประจำทุกปี
เมื่อได้มาอยู่ที่วัดถ้ำผาจมแล้ว การก่อสร้างต่างๆ ก็เริ่มขึ้นในปี ๒๕๑๘ เรื่อยมาจวบจนทุกวันนี้ โดยเริ่มตั้งแต่ศาลาปฏิบัติธรรมหลังเก่า (ที่รื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่) สร้างตึก ๔ ชั้น สำหรับญาติโยมที่มาพักมาทำบุญในเทศกาลต่างๆ ซึ่งสร้างต่อกันมาเรื่อย ๆ ใช้เวลาหลายปี คือได้เงินทำบุญมาก็นำมาสร้างเป็นชั้น ๆ ไปจนเสร็จสมบูรณ์
อันดับที่ ๓ ก็คืออุโบสถหรือโบสถ์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของวัด
อันดับที่ ๔ คือ พระนอนที่สวยงามใหญ่ที่สุดของภาคเหนือ ซึ่งอยู่ด้านหน้าของวัดเช่นกัน
อันดับที่ ๕ คือ ศาลาปฏิบัติธรรม ๔ ชั้น สูงสง่าใหญ่โตรโหฐาน โดยเริ่มสร้างตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ และได้เสร็จสมบูรณ์ในปี ๒๕๔๓ สิ้นค่าก่อสร้างประมาณ ๔๐ กว่าล้านบาท และ อันดับที่ ๖ กำลังจะสร้างพระอุโบสถ หรือโบสถ์หลังใหม่ โดยจะเริ่มสร้างเมื่อต้นปี ๒๕๔๔
ส่วนที่บ้านเกิดของหลวงพ่อวิชัย เขมิโย ในจังหวัด อุบลฯ นั้นท่านได้เมตตาสร้างให้ชาวจังหวัด อุบลฯ ดังนี้
๑. สถานีอนามัย บ้านหันลาด ต.กุดชมภู อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลฯ ๑ หลังในปี ๒๕๓๙
๒. สถานีอนามัยสิรินทร อ.สิรินทร จ.อุบลราชธานี ๑ หลัง ในปี ๒๕๔๐
๓. โรงเรียนบ้านหินลาด ต.กุดชมภู อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลฯ หลังในปี ๒๕๔๒
๔. ศาลาเอนกประสงค์ วัด บ้านหินลาด ในปี ๒๕๓๘
“พระครูเกษมวรกิจ” หรือ “หลวงพ่อวิชัย เขมิโย” เจ้าอาวาสวัดถ้ำผาจม ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ได้ละสังขารด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา 10.06 น. วันศุกร์ที่ 15 มี.ค.2567 ที่โรงพยาบาลคลองหลวง จ.ปทุมธานี สิริอายุ 78 ปี พรรษา 58

๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่แสวง อมโร ๏
วันนี้วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๘ เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่แสวง อมโร เจริญอายุวัฒนมงคลครบ ๙๗ ปี หลวงปู่แสวง อมโร วัดป่าชัยวารินทร์ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ตามเดิม ท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๑ ที่แขวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บิดาชื่อนายทองใส กงหม้อ มารดาชื่อ นางประทุม กางนอก ท่านเป็นบุตรคนที่ ๕ มีพี่น้องร่วมสายโลหิต ทั้งหมด ๖ คน เป็นชาย ๕ คน หญิง ๑ คน มีน้องชายเป็นคนสุดท้อง หลังจากท่านเกิดได้ ๓ ปีเกิดสงคราม ครอบครัวจึงได้ย้ายมาอยู่ฝั่งไทย ซึ่งมีญาติย้ายมาอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ที่บ้านหัวเมือง อําเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันคือ จังหวัดยโสธร) และหลังจากนั้นพอท่านอายุ ๗ ปี จึงย้ายมาที่ อําเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น แล้วจึงได้แจ้งเกิดเพื่อให้ถูกต้อง ดังนั้นปี พ.ศ. เกิดตามบัตรประชาชน จึงเป็น พ.ศ.๒๔๗๖ ดังนั้น ตามเดิมแท้ท่าน เกิดปี พ.ศ.๒๔๗๑
• #คําพ่อสั่ง
เมื่ออายุ ๑๒ ปี ก่อนโยมบิดาจะเสียชีวิต ในฐานะที่เป็นคนชอบเข้าวัด ถือศีล ฟังเทศน์ ได้สั่งลูกชาย คือ พระ อาจารย์แสวง ที่มีแววว่าชอบในทางพระ เคยติดตามโยมบิดาไปวัดด้วยเป็นประจําว่า “สูต้องบวชให้ข่อยเน้อ บ่บวชหลาย เอาจั๊กพรรษาหนึ่งก็ยังดีหลายอยู่” คําของโยมบิดาไม่มีวันลืม พระอาจารย์แสวง ตอนนั้นยามว่างจากช่วยโยมมารดาประกอบอาชีพ ก็มักไปเที่ยวเล่นที่วัด สนิทสนมกับพระเณรที่วัดใกล้บ้านเป็นอันดี เพราะมีนิสัยชอบในทางพระมาตั้งแต่โยมบิดายังมีชีวิตอยู่
• #ได้โอกาสจึงลาโยมแม่
ปี พ.ศ.๒๔๘๙ อายุ ๑๘ ปี ก็ลาโยมมารดาไปเยี่ยมญาติ ข้างโยมบิดาที่เวียงจันทน์ สมัยนั้นการไปมาสะดวกเพราะถือกันมาว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้อง โขงสองฝั่งเหมือนดั่งฝั่งเดียวทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทย ทํางานอยู่ ๒ ปี พอมีเงินกีบเก็บไว้ได้หลายอยู่ โยมมารดากับน้องชายคนเล็กก็ตามไปหา เลยฝากน้องชายให้ได้ทํางานด้วยกัน เมื่อเห็นโอกาสเหมาะว่าโยมมารดาจะอยู่กับน้องชายที่ทํางานได้แล้ว ไม่เดือดร้อน ซึ่งพูดกับโยมมารดาว่า “จะขอบวช” เพราะโยมบิดาได้สั่งไว้ โยมมารดาก็ว่า “เจ้าซิบวชตามพ่อสั่งก็ดีอยู่ แต่ผู้ใดจะอยู่เลี้ยงดูแม่ น้องชายเจ้าเพิ่งเข้าเฮ็ดงาน เงินเดือนก็ยังไม่พอเลี้ยงกัน เจ้าควรหาเงินคําไว้ให้แม่สักก้อนหนึ่ง จึงจะไม่ต้องห่วง”
เมื่อได้รับอนุญาตจากแม่แล้วก็ดีใจหลาย รวบรวมเงินได้ ๕๐,๐๐๐ กีบ มอบให้แม่ไว้ ในช่วงนั้นก็ได้พากันข้ามฝั่งไทย กลับมาอยู่ที่บ้านไผ่ มารดาก็เตรียมเครื่องไทยทานที่จะใช้ในการบวช โดยตั้งใจว่า จะให้บวชที่วัดข้างบ้าน ซึ่งเป็นฝ่ายมหานิกาย การบวชแบบมหานิกายนี้นอกจากอัฐบริขารแล้ว ยังต้องเตรียมที่หลับที่นอน หมอนเสื่ออีกหลายชุด พร้อมทั้งเครื่องไทยทาน ครบตามประเพณี เรียกว่าเป็นงานใหญ่ บอกญาติพี่น้องทั้งใกล้ไกลอย่างทั่วถึง
• #ไม่อยากบวชให้ตกนรก
หนุ่มแสวง ก็ไปมาหาสู่เณรที่วัดข้างบ้าน ที่ตนจะเข้าไปบวชเพราะพระเณรที่วัดนั้นเคยรู้จักชอบพอกันมา แต่ครั้งยังไม่ไปทํางานที่ราชอาณาจักรลาว ไปแต่ละครั้งก็มักมีน้ำอัดลม ลูกอม ติดไปถวายพระเณรด้วย แต่พระเณรมักเอาเงินให้ไปซื้อไก่ย่าง ข้าวนึ่ง หรือไม่ก็ขนมปัง นมกระป๋อง มาล้อมวงฉันกันในตอนเย็นหรือตอนค่ำ เสร็จแล้วก็เล่นกําถั่วกันสนุก หนุ่มแสวงเคยไปอยู่ประเทศลาว ได้เห็นปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐานที่เคร่งครัดเป็นพระสุปฏิปันโนมาแล้ว ไปเห็นความประพฤติของพระเณรวัดข้างบ้านเป็นอย่างนั้นก็ไม่สบายใจ พระศีลไม่ครบ ๒๒๗ ข้อ เณรศีลไม่ครบ ๑๐ ข้อ เห็นจะไม่ชอบด้วยธรรมวินัย เมื่อกลับบ้านจึงไปพูดกับโยมมารดาว่าตนจะไม่บวชที่วัดข้างบ้าน และเล่าพฤติการณ์ของพระเณรให้โยมมารดาฟัง บอกว่า “ข่อยจะบวชให้แม่ ก็หวังจะได้บุญ ได้ไปสวรรค์วิมาน โยมบิดาที่สั่งให้บวชก็หวังเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ก็เห็นว่าการบวชที่วัดนี้ ก็จะต้องปฏิบัติตามอย่างเขา ข่อยก็จะต้องตกนรก แม่ก็ต้องตกนรก พ่อก็จะพลอยตกนรกด้วย” มารดาฟังแล้วก็เห็นจริงแต่งานก็เตรียมเอาไว้แล้ว พี่น้องก็บอกกันไปแล้ว พระอุปัชฌาย์ก็บอกฝากฝังท่านไว้เรียบร้อยแล้วจะเฮ็ดจั่งได่
หนุ่มแสวงก็บอกว่า เรื่องนี้ไม่สําคัญบอกเลิกเขาไปก็ได้ ที่สําคัญก็คือจะต้องไปตกนรกข่อยไม่ยอมบวชแน่ๆ จะขอ เอาแต่ผ้าไตรจีวรกับบริขารไปบวชที่เวียงจันทน์ประเทศลาว ไม่ต้องมีพิธีหรือของไทยทานอะไรมาก เมื่อแจ้งความประสงค์เช่นนี้ โยมมารดาก็ต้องยอม
• #ฝึกตนก่อนบวช
ปี พ.ศ.๒๔๙๐ ท่านอายุได้ ๑๙ ปี พาโยมมารดาไปอยู่กับน้องชาย ตัวท่านก็หอบผ้าไตรบริขารไปนมัสการท่านพระอาจารย์อ่อนสี นาหิโย ที่วัดจอมไต แขวงเมืองเวียงจันทน์ กราบลงแสดงความประสงค์จะขอบวช พระอาจารย์อ่อนสี ท่านเป็นพระปฏิบัติในสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านพิจารณาดูแล้ว ก็ยินดีรับ แต่บอกว่าจะอุปสมบทเป็นภิกษุเลยนั้นไม่ได้ ต้องบวชเป็นผ้าขาวเสียก่อนอย่างน้อย ๑ ปี เมื่อบวชเป็นตาปะขาวถือศีล ๘ เป็นวัตรแล้ว ก็จะต้องศึกษาเล่าเรียนวัตรต่างๆ ที่พระภิกษุควรปฏิบัติ ตลอดธุดงควัตรให้เข้าใจเสียก่อน เมื่อบวชแล้วจะได้ประพฤติเป็นพระได้สมบูรณ์ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นสมณะแท้ เป็นเนื้อนาบุญของชาวบ้าน ไม่ให้ชาวบ้านเขาตําหนิได้ว่า เป็นพระแต่ผ้าเหลือง เพราะต้องอาศัยชาวบ้านเขากิน ถ้าไม่ปฏิบัติในธรรมวินัยมันจะเป็นบาปแก่ตนเอง หนุ่มแสวง ได้ฟังพระผู้เฒ่าอาจารย์อ่อนสี ว่าดังนั้น ก็ยินดีบวชเป็นตาปะขาวก่อน และบวชในวันนั้นเพราะตั้งใจมาเด็ดเดียวแล้ว
• #บอกวัตรฝึกปฏิบัติ
ครั้นบวชแล้ว ก็ต้องปฏิบัติรับใช้ใกล้ชิดพระอาจารย์มาตลอด ท่านก็เมตตาพร่ำสอนในข้อวัตรต่างๆ ให้ท่องบทสวดมนต์เจ็ดตํานาน พระวินัยสําหรับจะเข้าครองผ้ากาสาวพัสตร์และสอนธุดงควัตร ๑๓ ว่าจะปฏิบัติอย่างไร นอกจากนั้นยังได้ให้เริ่มภาวนา “พุทโธ” สอน ให้รู้จักการเดินจงกรม นั่งเหนื่อยเมื่อยล้าก็ให้ลุกขึ้นเดินจงกรม การยืน เดิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบถต้องบริกรรมพุทโธ
• #นอนอย่างพระ
สําหรับการนอนนั้น ไม่ใช่นอนตามใจชอบ ต้องนอนอย่างมีสติ การใช้ท่านอน แบบสีหไสยาสน์เป็นประจํา และก่อนจะเอนตัวลงนอนให้ตั้งใจอธิษฐานว่า “เราจะไม่นอนเพื่อบํารุงกิเลส” การนอนถือเป็นการพักผ่อนช่วงระยะหนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดเวทนาเก่า ถ้าไม่เปลี่ยนอิริยาบถเสียบ้าง เวทนาก็จะเกิดขึ้นจักทนไม่ไหว แต่เมื่อเรารู้สึกตื่นขึ้นเมื่อไหร่ เราก็จะประกอบความเพียรต่อ ขณะที่รู้สึกตื่นขึ้นนั้นการลุกขึ้นก็อย่าพรวดพลาดลุก ให้สังเกตด้วยว่าอิริยาบถนอน ท่าสีหาไสยาสน์เปลี่ยนไปจากเดิมหรือเปล่า หรือเคลื่อนไปสู่ท่าอื่น ถ้ามันเปลี่ยนไปก็แสดงว่า การนอนนั้นยังขาดสติอยู่ จากนั้นก็ให้สํานึกว่าเราเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งเป็นนอน เพราะระงับเวทนาได้บ้างแล้ว จะขอเปลี่ยนอิริยาบถใหม่ เช่น ลุกขึ้นนั่งกราบพระ ๓ ครั้ง ตั้งอธิษฐานจิตว่า ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยอํานาจบารมีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ จงดลบันดาล ให้จิตของข้าพเจ้ารวมลง เป็นหนึ่ง และขอให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงตามสภาพความเป็นจริง ที่พระองค์ได้ตรัสรู้แจ้งซึ่งอริยสัจ ๔ เมื่อจิตของเราไม่สงบ เราจะไม่หยุดบริกรรมภาวนา
• #ฝึกจิตนอกวัด
นอกจากท่านอาจารย์อ่อนสี จะปูพื้นฐานทางจิตให้แก่ ศิษย์ของท่านอย่างแน่นหนาแล้วเมื่อมีโอกาสก็จะพาไปฟัง ธรรมจากครูบาอาจารย์ต่าง ๆ เพื่อให้ได้อุบายธรรมให้มากยิ่งขึ้น บางทีก็พาไปฝึกสมาธิในป่าช้าที่มีคนตายใหม่ ๆ หรือเพลาอยู่บนเชิงตะกอนยังไหม้ไม่หมดโดยจะให้ไปปักกลดบําเพ็ญพิจารณาซากศพนั้นทางห่างกัน แต่บางครั้งท่านก็ให้ไปองค์เดียว นับเป็นการฝึกจิตที่สําคัญมาก ให้ผจญกับความกลัวแทบขาดใจตายก็มี ตอนนั้นยังบวชเป็นผ้าขาวอยู่
• #กราบหลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต
ขณะนั้นเองที่ตาผ้าขาวแสวง ได้อยู่ปฏิบัติหลวงปู่อ่อนสี นาหิโย ที่วัดจอมไตร บ้านดงนาซก แขวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว หลวงปู่อ่อนสี ได้ฝากผ้าขาวแสวงไว้กับท่านพระธรรมเจดีย์(จูม พนฺธุโล) เข้ากราบนมัสการหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ในเวลาที่เข้าไปกราบหลวงปู่มั่น เมื่อเจอครูบาอาจารย์ ด้วยความเคารพรักในตัวพ่อแม่ครูบาอาจารย์ จึงได้ขอโอกาสให้ผ้าขาวจับเส้นให้หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่แสวง ได้เล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า ได้มีโอกาสจับเส้นให้หลวงปู่มั่น ท่านกล่าวกับท่านพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ว่า “เออ ผ้าขาวนี้จับเส้นดีนะ เราขอจะว่ายังไง” หลวงปู่จูม พนฺธุโล ตอบว่า “แล้วแต่ผ้าขาว” จากนั้นผ้าขาวแสวงจึงได้อยู่ปฏิบัติอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นนับแต่นั้น ในช่วงที่ยังเป็นผ้าขาวอายุ ๑๙ ปี ได้อยู่ที่วัดหนองผือนาในเป็นเวลา ๑ พรรษา ช่วงที่อยู่วัดหนองผือนาใน ผ้าขาวแสวงยังได้พบเห็นพ่อแม่ครูอาจารย์พระเถระที่เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่นหลายๆ รูป และท่านเองเคยได้จัดเตรียมและประเคนบาตรให้ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ก่อนออกไปบิณฑบาตด้วย
เมื่อผ้าขาวแสวง อายุใกล้ครบ ๒๐ ปี ถึงกําหนดอายุในการอุปสมบทแล้ว ผ้าขาวแสวงจึงลาท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) กลับไปหาหลวงปู่อ่อนสี นาหิโย ที่วัดจอมไตร ประเทศลาว เพื่อแจ้งข่าวต่อหลวงปู่อ่อนสี นาหิโย แต่เมื่อกลับไปถึงวัดจอมไตร ไม่นานก็ทราบข่าวการละสังขารของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ในปี พ.ศ.๒๔๙๒ และได้กลับมาช่วยงานถวายเพลิงหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ปี พ.ศ.๒๔๙๓ หลังจากเสร็จงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนครแล้ว ก็ได้กลับไปวัดบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดอรุณรังษี จังหวัดหนองคาย และจําพรรษา ๑ พรรษา
ปี พ.ศ.๒๔๙๔ ลาพระอุปัชฌาย์ กลับวัดจอมไตรเพื่อไปกราบพระอาจารย์อ่อนสี นาหิโย และแจ้งข่าวแม่กับน้องเรื่องการบวชที่ฝั่งลาว
ปี พ.ศ.๒๔๙๔-๒๔๙๕ กลับมาที่วัดจอมไตร แต่ต้องรอไปอีก ๕ ปี ถึงจะอุปสมบทได้ เนื่องจากปีเกิดตามทะเบียนบ้าน เป็นปี พ.ศ.๒๔๗๖ ซึ่งช้ากว่าปีเกิดจริงถึง ๕ ปี
• #จากผ้าขาวเป็นพระภิกษุ
จนล่วงถึง ปี พ.ศ.๒๔๙๘ หลวงปู่อ่อนสี จึงได้พาสามเณรแสวง เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดอรุณรังษี โดยมี พระธรรมไตรโลกาจารย์(รักษ์ เรวโต) ซึ่งตอนนั้นยังเป็นท่านเจ้าคุณวิชัยมุนี เจ้าคณะภาคฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทให้ตอนนั้น อายุตามบัตรประชาชนท่านประมาณ ๒๒ ปี ครั้นบวชแล้วก็กลับมาอยู่ที่วัดจอมไตรกับท่านพระอาจารย์อ่อนสี นาหิโย ตามเดิม
• #จิตจดจ่อก็เพราะกลัว
ท่านพระอาจารย์แสวง ท่านบอกว่า ตามธรรมดาจิตมันชอบท่องเที่ยวไปหาทุกหาเรื่องมาใส่ตน เมื่อไปฝึกอยู่ป่าช้า หรือที่มีสัตว์ร้ายชุกชุม จิตมันก็ไม่แส่ส่ายไปตามอารมณ์ภายนอกหรือตามอดีต อารมณ์หรือที่มีสัญญาจําได้หมายรู้มาในอดีต มันมีแต่ความกลัว กลัวผี กลัวสัตว์ จิตมันก็หยุดนิ่งได้ง่าย รวมตัวเป็นหนึ่งได้ง่าย ปัญญาก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย ด้วยเหตุนี้
“พระนักปฏิบัติจึงชอบออกธุดงค์ นับเป็นอุบายธรรมที่สาวกของพระพุทธองค์ยึดถือปฏิบัติกันมาแต่สมัยพุทธกาล ท่านเล่าถึง ครั้งหนึ่งหลวงปู่อ่อนสี ท่านสั่งให้เข้าไปนั่งในป่าช้าใกล้ๆ กับที่เขาเอาศพมาเผาใหม่ ๆ ไฟยังไม่มอด การเผาศพสมัยนั้นเขาเอาฟืนมากองทับกันจนสูง ศพก็ไม่มีโลงใส่ ใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกถักเป็นเปลือกหุ้มมาเท่านั้น มาถึงก็เอามาวางบนกองฟืนเอา ไม้ฟืนทับเข้าไปอีก แล้วก็จุดไฟเผา ท่านไปนั่งโดยไม่มีกลด เอาเสื่ออาสนะไปผืนเดียวปูเข้า นั่งห่างจากศพที่กําลังมีไฟลุกอยู่ไม่เกินสี่วา ขณะนั่งสํารวมจิตหลับตาภาวนาอยู่แล้ว ได้ยินเสียงเหมือนสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่งเดินย่ำอยู่บนใบไม้ ดังกรอบแกรบ ๆ ก็คิดว่า ผีมันมาเล่นงานเข้าแล้ว เกิดความกลัวจนขนลุกซ่านไปทั้งตัว จะหนีก็ไม่กล้าหนี กลัวอาจารย์จะถามว่าหนีทําไม ไปตอบว่าหนีเพราะกลัวผี เป็นนักปฏิบัติก็สอบตก แต่รู้สึกกลัวอาจารย์มากกว่ากลัวผี เลยตั้งใจเด็ดขาดว่าตายเป็นตายไม่ยอมหนี ก็มีความสงสัยว่าอะไรกันแน่ เมื่อสงสัยก็ต้องดูให้รู้จึงลืมตาขึ้นดู ที่แท้ก็เป็นอีเก้งกําลังหาอาหารกินอยู่ ไม่มีผีสางที่ไหน ก็เลยหายกลัว นั่งหลับตาบริกรรมภาวนาต่อไป พร้อมกับคิดว่า เราเข้าใจผิดไปเอง ที่ป่าช้านี้ติดกับป่าใหญ่ สัตว์ป่ายังชุกชุมอยู่ ไก่ป่าก็มีเป็นร้อย
• #อสุภะธรรม
เลยพิจารณาเรื่องผีคําว่าผีมาจากไหน ได้ความคําที่เรียกว่า “ผี” นั้น เป็นคําสมมติขึ้นมาเฉย ๆ คนตายนั้นไม่ได้เป็นผีหรือเป็นอะไรเลย เพียงแต่เปลี่ยนสภาพไปเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้ง ๔ ตามเดิมเท่านั้น ครั้นกลับย้อนมาดูตัวเอง เราก็เหมือนกับเขา ที่พึ่งตายไปใหม่ ๆ ก็ต้องเป็นอย่างเขา จะพ้นความเป็นอย่างนี้ไปไม่ได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อเกิดความรู้เช่นนี้ขึ้น ก็ได้รับธรรมสังเวช สลดจิต ขึ้นชื่อว่าเกิดต้องมีความดับในบั้นปลายไม่มีข้อสงสัยเลย จิตก็เลยสงบแน่วดิ่งลงปรากฏเป็นภาพนิมิตขึ้นมา เห็นเป็นภาพศพคล้าย ๆ กับที่เขากําลังเผา ครั้นพิจารณาดู ก็เป็นซากศพสังขารของเราเองอยู่พักหนึ่งก็หายไป นับเป็นการเห็นอสุภกรรมฐานครั้งแรก
• #ประตูสู่อริยมรรค
เมื่อเลิกจากนั่งสมาธิประมาณยาม ๒ ก็เดินกลับไปที่พัก ไปเล่าให้ท่านอาจารย์ฟังตอนเช้า ท่านก็บอกว่า เดินทางถูกแล้ว จงเอานิมิตนั้นแหละ มาพิจารณาไปทุกวันทุกคืน จะได้รับความสลดสังเวชเห็นโทษของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เบื่อหน่าย ในอัตภาพร่างกายที่เรามายึดมั่นถือมั่นว่า เป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นของเรา ความเห็นผิดนี้ จะหายไปจากจิตใจของเรา ไม่ต้องมาเที่ยวเกิดเที่ยวตาย แบกซากแบกศพอันเป็นของปฏิกูล โสโครก น่าเกลียดน่าขยะแขยง
เมื่อมาพิจารณาตามคําแนะนําของท่านอาจารย์ ดูที่สติตัวรู้ มันก็จะเห็นภาพชัดเจน เป็นซากศพหลับตาก็เห็นลืมตา ก็เห็น ยังเห็นคนที่ตายแล้วมากองทับถมกันอยู่ คนๆ เดียวกันนั่นแหละมาตายซับตายซ้อนมากมายนัก ไม่รู้ว่าตายมากี่ร้อยกี่พันครั้งได้แล้ว ที่เรายึดมั่นถือมั่นว่ามันสวยมันงาม มันเปลี่ยนไปไม่สวยงามอะไรเลย บ้างก็ยังมีเนื้อหนัง ขึ้นอืดน้ำเหลืองไหลน่าสะอิดสะเอียนขยะแขยง บ้างก็มีแต่โครงกระดูก บ้างก็แยกย้ายกันอยู่ เป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่
มันเห็นตรงข้ามกับชาวโลกเขา สวนทางความคิดกับชาวโลกเขา เป็นการเห็นแท้เห็นจริงไม่อิงตํารา เห็นแล้วจิตก็คลายการยึดถือ ไม่ยึดไม่ติด เห็นก็สักแต่ว่าเห็น จิตมันก็หลุด เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มี มันเป็นอย่างนี้ เป็นปัจจัตตัง เห็นเฉพาะตัวจริงๆ แต่การเห็นชัดอย่างนี้ ก็อย่าไปเข้าใจว่ากิเลสมันหมดแล้ว มันยังไม่หมดง่ายๆ หรอก กิเลสละเอียดฝังลึกอยู่ เพียงแต่เดินถูกทางเท่านั้น การละวางกิเลสให้ถึงความหลุดพ้น ยังจะต้องทําต่อไปอีก
• #หลวงปู่อ่อนสี_นาหิโย_ละสังขาร
ในระหว่างนั้นหลวงปู่อ่อนสี ได้อาพาธเป็นวัณโรคชนิดร้ายแรงอยู่ในระหว่างอันตราย พระแสวงจึงได้มีโอกาสช่วยรักษาพยาบาล บางครั้งก็ต้องข้ามกลับมาซื้อยาที่ฝั่งไทยนําไปรักษา แต่อาการก็ไม่ทุเลาลงเพราะอยู่ในขั้นหนักมากแล้ว ท่านพระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย (วัดเขาสุกิม จ.จันทบุรี) ท่านมีความเคารพเลื่อมใสกันอยู่ ก็ได้ไปเยี่ยมให้การดูแลรักษาพยาบาลเป็นอย่างดีจนถึงที่สุด
ปี พ.ศ.๒๔๙๙ หลวงปู่อ่อนสี นาหิโย ก็ได้ละสังขารด้วยโรควัณโรค โดยมีท่านพระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย เป็นประธานในการจัดงาน
บรรดาพระภิกษุสามเณรและญาติโยมชาวบ้าน ตลอดทั้งบุคคลชั้นนําของประเทศลาวก็ได้มีมติให้ท่านพระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย เป็นประธานสงฆ์ดําเนินงานจัดการเรื่องศพของหลวงปู่อ่อนสี นาหิโย เมื่อได้จัดบําเพ็ญกุศลตามประเพณีพอสมควรแก่เวลาแล้ว จึงได้จัดงานถวายเพลิงศพอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่และสมเกียรติที่สุด
เมื่อได้จัดการถวายเพลิงศพหลวงปู่อ่อนสี เสร็จเรียบร้อยลงแล้ว ท่านพระอาจารย์สมชายก็ตั้งใจว่าจะนําพาหมู่คณะไปหาสถานที่บําเพ็ญตามสถานที่วิเวกในเมืองลาวนั้นไปเรื่อยๆ แต่พระภิกษุสามเณรและประชาชนชาวบ้านได้พร้อมใจกันมาขออาราธนานิมนต์ให้ท่านได้เป็นประธานบริหารวัดจอมไตรในประเทศลาวแทน ท่านพระอาจารย์สมชาย พร้อมด้วยคณะของท่านจึงได้อยู่ที่วัดจอมไตรเพื่อฉลองศรัทธาพระภิกษุสามเณรและประชาชนต่อมาอีกระยะหนึ่ง
ผ่านไป ๑ ปี พ.ศ.๒๕๐๐ ได้มีการจัดงานครบรอบวันละสังขารของหลวงปู่อ่อนสี นาหิโย และได้มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายรูปได้ให้ความเมตตามาร่วมงานโดยไม่ได้กราบอาราธนานิมนต์ เป็นครั้งแรกหลังจากออกจากวัดหนองผือที่ได้เจอหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ตั่งแต่สมัยเป็นผ้าขาวที่ได้เจอท่าน นอกจากนี้ยังมีหลวงปู่ขาว อนาลโย ,หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ,ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ เป็นต้น
หลังจากงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระแสวง อมโร รู้สึกถูกจริตนิสัยกับท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ และได้ออกขอโอกาสธุดงค์กับท่านพระอาจารย์จวนไปยังภูผา ถ้ำ ป่าต่างๆ อันเหมาะแก่การบําเพ็ญเพียรสมณะธรรมภาวนา
• #บุกป่าฝ่าดงไปภูเขาควาย
ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ชวนเดินธุดงค์ไปภูเขาควาย เพราะเคยอยู่ในประเทศลาวมาก่อน ไปด้วยกัน ๔ องค์ มีผ้าขาวไปด้วยอีกคนหนึ่ง เณรองค์หนึ่งมีศรัทธาเอารถไปส่งแค่เชิงเขา ออกจากนั้นก็เดินกันไป ผ่านหมู่บ้านที่ฝรั่งเคยมาทําไร่ เช้าขึ้นก็อาศัยบิณฑบาตกับคนงานที่กําลังทําถนน เดินอยู่ ๓ วันกว่าจะขึ้นไปถึงหลังเขาได้ ที่หลังเขานี้ มีพวกแม้วอาศัยอยู่เป็นหมู่ ทําการปลูกฝิ่น ปลูกข้าวไร่ ไปพักอยู่ที่บ้านเนินเสาเอ้ เวลาไปบิณฑบาต พวกแม้วเขาก็ใส่บาตรให้มีแต่ข้าวเปล่า ความจริงอาหารเนื้อสัตว์เขาอุดมสมบูรณ์มาก เก้งกวางตากแห้งก็มี แต่เขาไม่ให้ใส่ให้ เป็นข้าวไร่หอมน่ากิน เราเป็นพระ จะขอเขาก็ไม่ได้เขาให้อย่างไรก็ยินดีอย่างนั้น บังเอิญผ้าขาวมีน้ำปลาใส่ย่ามไปด้วยก็ได้ฉันข้าวคลุกน้ำปลา พักอยู่ ๒ วัน จึงถามชาวแม้วว่า ขึ้นเขาไปอีก ยังมีหมู่บ้านหรือไม่ เขาบอกว่ามี แต่อยู่สูง ขาดแคลนน้ำ จึงพากันเดินทางต่อไปอีก ๑ วัน เป็นเวลาประมาณ ๔-๕ ทุ่มจนถึงหมู่บ้านแม้ว
ไปพบแม้วหนุ่ม ๒ คน พอพูดกันรู้เรื่องเพราะเคยไปทํางานอยู่ที่เวียงจันทน์ ถามเขาว่าแถวนี้มีถ้ำไหม ขอให้เขาพา ไป ต้องเดินต่อไปกลางดึก เป็นระยะทาง ๓ กิโลเมตรจึงถึง และต้องพักผ่อนในถ้ำที่เดียวกันเพราะมันมืดดึกดื่นแล้ว สวดมนต์ ทําสมาธิเสร็จแล้ว ต่างก็จําวัด เพราะเดินทางกันมาไกลมีความเหน็ดเหนื่อยอยากจะพักผ่อน นอนไม่เท่าไรได้ยินเสียงหนุ่มแม้วมาเรียกถามว่ามาทําไมอีก ยังดึกอยู่เขาบอกว่าเอาข้าวมาให้ฉันตุ๊เจ้าจะหิวข้าว ตอนนั้นตี ๓ เท่านั้น จะฉันได้ยังไงจึงให้เขาวางไว้ก่อน รุ่งเช้าก็พากันไปบิณฑบาตที่หมู่บ้าน เขาก็ใส่ข้าวเปล่ามาให้อีกตามเคย น้ำปลาของตาปะขาวก็หมดแล้ว ต้องฉันข้าวแล้วดื่มน้ำตาม
• #จําต้องกลับ
จุดประสงค์ของท่านพระอาจารย์จวน ที่ขึ้นภูเขาควายมาครั้งนี้ ก็เพื่อจะเดินทางไปให้ถึงประเทศอินเดีย เพื่อไปนมัสการสังเวชนียสถานของพระบรมศาสดา ครั้นถามทางดูทราบว่า หมู่บ้านของชาวแม้วที่นี่เป็นหมู่บ้านสุดท้าย ต่อไปไม่มีหมู่บ้าน ที่จะอาศัยได้อีกแล้วทางลําบากต้องขึ้นภูเขาสูงชันขึ้นไปเรื่อย ๆ น้ำท่าก็อัตคัด เพราะอยู่ในที่สูง ขึ้นไปก็เห็นจะไม่รอด เพราะฉันข้าวเปล่ากันมาหลายวัน ทางข้างหน้าข้าวเปล่าก็จะไม่มีฉัน จึงตกลงใจเดินทางกลับทางเก่า แต่ก็พักอยู่ที่ถ้ำนั้นอีกหลายวัน เพราะสถานที่ถ้ำอยู่หลายถ้ำเหมาะแก่การทําความเพียร
พระอาจารย์จวนท่านให้แยกย้ายกันไปอยู่ เพื่อจะได้รับความสงัดวิเวก ไม่มีการคุยกัน ท่านเตือนว่า มาอยู่ในสถานที่นี้ ช้างก็มาก เสือก็ชุม อย่าได้มีความประมาท ให้เร่งความเพียร บริกรรมภาวนาให้มาก ถ้าไม่ปฏิบัติกัน เสือมันจะกินเอา เดินทางกลับเลาะลัดไปตามไหล่เขาบ้าง พื้นที่ราบที่มีหมู่บ้านบ้าง พอได้อาศัยบิณฑบาต อยู่ในเขตประเทศลาวเป็นเวลา ๒๐ วัน จึงมาถึงอําเภอบึงกาฬ (จังหวัดบึงกาฬ ปัจจุบัน) ข้ามโขงเข้าประเทศไทย รวมระยะทางกว่า ๓๐๐ กิโลเมตร
ปัจจุบัน หลวงปู่แสวง อมโร พักรักษาอาพาธภายในห้องปลอดเชื้อ วัดป่าชัยวารินทร์ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น และวันนี้ ศิษยานุศิษย์ได้จัดงานถวายมุทิตาสักการะหลวงปู่แสวง อมโร เจริญอายุวัฒนมงคลครบ ๙๔ ปี ๖๗ พรรษา ที่วัดป่าภาวนาภิวัตร ต.ผานกเค้า อ.ภูกระดึง จ.เลย
ลูกหลาน ศิษยานุศิษย์ ขอกราบอาราธนาอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ขอให้องค์หลวงปู่แสวง อมโร มีธาตุขันธ์แข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิธรรมสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา สืบนานเท่านานเทอญ
#บรรณานุกรมอ้างอิง : คัดลอกมาจากหนังสือ "อัตโนประวัติโดยสังเขปและแสงส่องธรรม หลวงปู่แสวง อมโร ที่ระลึกในงานมุทิตาสักการะพระครูพิพัฒนสารคุณ(หลวงปู่แสวง อมโร) วัดป่าชัยวารินทร์ ต.ในเมือง อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ; พิมพ์เมื่อ มิถุนายน ๒๕๖๒
🙏 🙏 🙏
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?
ประเภท
เว็บไซต์
ที่อยู่
Bangkok