พุทธทาสภิกขุ
คำสอนพุทธทาสภิกขุ โดย หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ)

คนสมัยนี้มีความเห็นตรงกันข้ามกับคนสมัยก่อน คนสมัยก่อนถ้าคิดถึงความตายเค้ารีบทำความดีให้มากก่อนตาย
ทีนี้คนสมัยนี้เมื่อคิดถึงความตายว่าต้องตายแน่เนี่ย มันรีบกินรีบเล่นรีบเอาเปรียบคนอื่น นั่นคือความดี
อย่างภาษิตของพวกที่ว่ากินดื่มร่าเริงเต็มที่วันนี้เพราะว่าเราอาจจะตายพรุ่งนี้ก็ได้ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น Eat drink and be merry, tomorrow we may die พวกฝรั่งเค้าชอบพูด แต่คนโบราณเค้าถ้านึกถึงความตายรีบทำความดี
อย่างนี้เรียกในบาลีครั้งพุทธกาลว่า อาคาฬหปฏิปทา หรือ กามสุขัลลิกานุโยค ประกอบตนพัวพันอยู่ในกาม นี่เรียกว่า ตามใจตัวเอง คือตามใจกิเลส
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อนึกถึงความตายแล้วก็ โลกาวิสัง ปาฌเห สันติเบกโข ให้รีบละ "เหยื่อในโลก" นี้เสียแล้วหวังนิพพาน
เหยื่อในโลกมีความหมาย คือ เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง แม้ในชั้นสวรรค์วิมานก็เรียกว่าเหยื่อในโลก ให้หวังนิพพานคือจิตใจที่อยู่สูงเหนือสิ่งเหล่านี้
#พุทธทาส #ธรรมะ #สวนโมกข์กรุงเทพ

ข้าศึกของมนุษย์นั้นก็คือความเห็นแก่ตัว เห็นอะไรเป็นตัวตน เป็นของตน อย่างยึดมั่น เป็นตัวกูเป็นของกู
ขอท่านทั้งหลายจงสังเกตดูให้ดี ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์กลายเป็นศัตรูของมนุษย์
ความเห็นแก่ตัวนี้มันมีความหมายประหลาดอยู่ ที่จริงเห็นแก่ตัวมันน่าจะเป็นประโยชน์แก่ตัว มันกลับกลายเป็นศัตรูอันร้ายกาจของมนุษย์
พูดได้อย่างน่าขันที่สุดก็คือว่า
ตัวกูนั้นแหละเป็นข้าศึกของกู
เมื่อใดความคิดนึกมันเกิดขึ้นมาเป็นตัวกูเป็นของกู ความคิดนึกอันนั้นมันก็จะขบกัดตัวผู้คิดผู้นึกนั่นเอง
ความเห็นแก่ "ตัว" ของมนุษย์นั้นแหละ เป็นข้าศึกแก่ตัวของมนุษย์
พุทธทาสภิกขุ
ปาฐกถาธรรมทางโทรทัศน์พิเศษวันอาสาฬหบูชา

น้อมรำลึกท่านอาจารย์พุทธทาส
วันละสังขาร ท่านอาจารย์พุทธทาสกลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างสงบ ณ สวนโมกขพลาราม เวลา ๑๑.๒๐ น. เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๖
สิริรวมอายุ ๘๗ ปี นับได้ ๖๗ พรรษา
คงเหลือไว้แต่ผลงานที่ทรงคุณค่าแทนตัวท่านให้อนุชนรุ่นหลังได้สืบสานปณิธานของท่าน รับมรดกความเป็น “พุทธทาส” เพื่อพุทธทาสจะได้ไม่ตาย
▪️ พุทธทาส จักอยู่ไป ไม่มีตาย
แม้ร่างกาย จะดับไป ไม่ฟังเสียง
ร่างกายเป็น ร่างกายไป ไม่ลำเอียง
นั่นเป็นเพียง สิ่งเปลี่ยนไป ในเวลา.
▪️ พุทธทาส คงอยู่ไป ไม่มีตาย
ถึงดีร้าย ก็จะอยู่ คู่ศาสนา
สมกับมอบ กายใจ รับใช้มา
ตามบัญชา องค์พระพุทธ ไม่หยุดเลย.
▪️ พุทธทาส ยังอยู่ไป ไม่มีตาย
อยู่รับใช้ เพื่อมนุษย์ ไม่หยุดเฉย
ด้วยธรรมโฆษณ์ ตามที่วาง ไว้อย่างเคย
โอ้เพื่อนเอ๋ย มองเห็นไหม อะไรตาย ฯ

ถ้าคนมีความรู้เรื่องมัชฌิมาปฏิปทา มันก็จะไม่โง่ ไม่หลงไปอยู่ใต้ความหมายของสิ่งที่เป็นคู่
เดี๋ยวนี้มันโง่ มันหลง ไปอยู่ใต้อิทธิพล ใต้ความหมายของสิ่งที่เป็นคู่ เช่นชั่วดี บุญบาป สุขทุกข์ นี่มันไปหลงยึดติดในความหมายใดความหมายหนึ่งจนเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา
ที่ว่าโดยทั่วๆ ไปนี่ มันไปหลงติดในความหมายของคำว่ามั่งมี ยากจน แพ้ชนะ ได้เปรียบเสียเปรียบ กำไรขาดทุน ความหมายเหล่านี้มันครอบงำจิตใจของคนธรรมดาสามัญไม่ให้อยู่ในมัชฌิมาปฏิปทาหรือตรงกลาง
ศึกษาเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา รู้จักอยู่ตรงกลาง มันเป็นเช่นนั้นเองแหละ ดีหรือชั่ว มันก็เรื่องบ้าเท่ากัน
นี่ขออภัยนะพูดอย่างนี้ ไม่ใช่ทำลายกำลังใจของผู้ที่จะตั้งใจทำดี ถูกแล้ว มันยังทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ ก็จงทำดีไปเถิด ละชั่วแล้วก็ทำดี ทำดีแล้วอย่าบ้าดี อย่าเมาดี อย่าติดดี นั่นจึงจะเป็นพุทธศาสนา
ฉะนั้นผู้รู้พุทธศาสนาจึงพูดว่าทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ ฟังดูแล้วมันน่าสะดุ้ง ยิ่งเข้าใจคำว่าอัปรีย์ไม่ถูกต้องแล้วก็ยิ่งสะดุ้งเป็นการใหญ่ เพราะเรากำลังรักดี หลงดี บูชาดีกันอยู่
ท่านต้องการให้มองเห็นว่าชั่วมันก็ยุ่งไปตามแบบชั่ว ดีมันก็ยุ่งไปตามแบบดี ไม่ดีไม่ชั่วอยู่ตรงกลางนั่นแหละ สบายที่สุดหรือเป็นพระนิพพาน
ความชั่วนั้นไม่ใช่ความสงบ ถูกแล้ว เห็นได้ง่าย แต่ความดีก็มิใช่ความสงบ เพราะมันเป็นสังขาร (ปรุง)
ความดีก็เป็นสังขารเท่ากับความชั่ว เมื่อเป็นสังขารก็มีการปรุงแต่ง มีสิ่งที่ปรุงแต่ง มีสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง มันก็วุ่นไปตามแบบหนึ่ง แม้ว่าจะตรงกันข้ามกับความชั่ว มันก็มิใช่ความสงบ มันต้องเหนือดีขึ้นไปอีกทีหนึ่งมันจึงจะถึงความว่าง แล้วก็เป็นความสงบ
ฉะนั้นจากชั่วถึงดี จากดีถึงความว่าง ทีนี้ความว่างนั้นน่ารัก ความชั่วความดีนั้นอัปรีย์คือไม่น่ารัก
อัปรีย์นั้นตัวหนังสือแปลว่าไม่น่ารัก อัป แปลว่าไม่ ปรียะ แปลว่าน่ารัก อัปรียะ แปลว่าไม่น่ารัก ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่ไม่น่ารัก ไปยึดมั่นถือมั่นแล้วมันกัดเอาทั้งนั้นแหละ ทั้งชั่วและทั้งดีอย่าไปยึดมั่นเข้า อยู่ตรงกลางระหว่างชั่วระหว่างดีนั่นแหละ ไม่ถูกกัดคือไม่เป็นทุกข์
#พุทธทาส

มีพระบาลีพุทธภาษิตว่า บาปใดๆ ที่คนพูดเท็จโกหกได้แล้วจะพึงกระทำไม่ได้นั้นไม่มี โปรดทราบไว้ เป็นรากฐานทั่วไปว่า เมื่อมันโกหกพูดเท็จได้แล้วบาปอื่นๆ ที่มันจะทำไม่ได้นั้นไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้ ขอให้เกลียด กลัว รังเกียจ เกลียดชังไอ้การพูดเท็จนี่ ให้ถึงที่สุดเถิด มันทำลายรากฐานแห่งการมีธรรมะโดยประการทั้งปวง
แม้ว่าจะใช้คำว่าพูดเท็จ ก็ต้องเล็งถึงกิริยาอาการที่เป็นเท็จมันก็มี ก็ว่าพูดด้วยปากก็ได้ พูดด้วยกิริยาอาการก็ได้ เป็นการพูดด้วยกันทั้งนั้น จะต้องรักษาการพูดจานี้อย่าให้เป็นเท็จ ถ้าพูดเท็จได้อย่างเดียวแล้วบาปอื่นๆ ก็จะทำได้ง่ายๆ ง่ายๆ ต่อไปเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นจนถึงบาปใหญ่หลวงแหละ อย่าทำเล่นกับการพูดเท็จ
#พุทธทาสภิกขุ #สวนโมกข์กรุงเทพ #สร้างสรรค์สังคมรมณีย์

ดีหรือชั่ว บุญหรือบาป สุขหรือทุกข์
มันก็ยังเป็นสิ่งที่ต้อง“แบก”อยู่นั่นเอง
“...ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ไม่น่าเอาน่าเป็น เช่น เป็นคนดีก็มีความทุกข์ไปตามแบบของคนดี เป็นคนชั่วก็มีความทุกข์ไปตามแบบของคนชั่ว ดังนั้น การไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเสียเลย คือไม่เป็นอะไรทั้งคนดีและคนชั่ว นี่แหละ จึงจะไม่มีทุกข์
ถ้าเป็นคนมีบุญ ก็ต้องเป็นทุกข์ไปตามประสาของคนมีบุญ ซึ่งแตกต่างกันมากไปจากความทุกข์ของคนมีบาป แต่เป็นทุกข์เหมือนๆกันก็ตรงที่ว่า มันเป็นการแบกของหนักเอาไว้ทั้งนั้น
ผิดกันแต่ว่าของหนักของอีกคนหนึ่งนั้นกำลังลุกเป็นไฟ แต่ของหนักของอีกคนหนึ่งนั้นหอมหวนเยือกเย็น แต่มันก็หนักอย่างเดียวกัน
อีกทีหนึ่ง ซึ่งสูงขึ้นไปก็ว่า เกิดมาเป็นผู้มีความสุข ก็ยังต้องทุกข์ไปตามแบบตามประสาของคนมีความสุข ไม่แพ้บุคคลที่เกิดมามีความทุกข์ ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ความสุขนั้นมันก็ยังเป็นสิ่งที่ต้อง“แบก”อยู่นั่นเอง
เพราะว่าความสุขนั้นตั้งรากฐานอยู่บนความเกิด แก่ เจ็บ ตาย บนความเปลี่ยนแปลง และบนอารมณ์ทั้งหลายที่เป็นมายาที่สุด จึงเป็นของหนักหรือภาระหนัก จึงกล่าวว่ามีความทุกข์ไปตามประสาคนมีสุข สู้ไม่เป็นอะไรเลยไม่ได้ นี่แหละ จึงว่าไม่มีอะไรที่น่าเป็น”
#พุทธทาสภิกขุ #สวนโมกข์กรุงเทพ

การปล่อยวางหมายถึงว่าเราไม่เข้าไปยึดใน "ผล" ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าบวกหรือลบ
แม้ภายนอกอาจจะไม่ได้ปฏิเสธ แต่ภายในใจนั้นไม่รับอยู่แล้ว ท่านอาจารย์พุทธทาสทั้งพูดทั้งเขียนมาตลอดว่าสมณศักดิ์เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีความหมายสำหรับท่าน ท่านขอเป็นทาสของพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว แต่ว่าเมื่อท่านทำงานให้พระศาสนา จนเจริญในสมณศักดิ์เป็นลำดับ จากพระครู เลื่อนเป็นพระราชาคณะสามัญ แล้วก็เป็นชั้นราช ชั้นเทพ ชั้นธรรม สุดที่พระธรรมโกศาจารย์
เคยมีลูกศิษย์มาแนะอาจารย์พุทธทาสว่า สมณศักดิ์เหล่านี้ท่านน่าจะคืนเขาไป ท่านอาจารย์พุทธทาสก็บอกว่า จะคืนได้อย่างไร ก็เรายังไม่ได้รับมาตั้งแต่แรกจะคืนได้อย่างไร คือแม้ทางราชการจะให้สมณศักดิ์และพัดยศมาแต่ใจท่านไม่ได้รับเลย จะเป็นชั้นไหนก็ไม่เคยรับมาตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปคืนเขา
ถ้าเราวางใจได้อย่างนี้ เวลาทำงาน ได้รับคำสรรเสริญเราก็ไม่รับมาเป็นของเรา หรืออาจจะถือไว้แต่ไม่ได้เอามาสวมใส่ ทำได้แบบนี้จะรู้สึกสบาย โปร่งเบา เมื่อถึงเวลาที่เขาตำหนิติฉินเราก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเพราะว่าเราไม่ได้รับตั้งแต่แรก เมื่อมีคนชมก็ไม่เพลินหรือหลงตัว เมื่อถูกตำหนิก็ไม่เสียใจ สองอย่างนี้ไปด้วยกัน ถ้าเราทำใจด้วยใจที่ปล่อยวางแล้ว เราจะทำงานด้วยใจที่สบาย อิสระ โปร่งเบา และทำด้วยความขยันหมั่นเพียร
พระไพศาล วิสาโล

เคยมีคนเอาเงินผ้าป่าไปกองเป็นแสนๆ ท่านก็พูดกับคนทำบุญว่า
"อย่าบ้าบุญกันนักเลย เอาความรู้ไปดับทุกข์บ้างได้ไหม"
ท่านอาจารย์นำธรรมจากพระพุทธเจ้ามาให้มวลชน แต่มวลชนอาจไม่ชอบ เพราะไม่ถูกใจ ท่านไม่ได้พูดให้ถูกใจคน ท่านพูดตามธรรมชาติ วิวัฒนาการจากใจคนเข้าไปสู่ในธรรมชาติเท่านั้นเอง"
คำบอกเล่าของ พระสิงห์ทอง เขมิโย
พระอุปัฏฐาก ท่านพุทธทาส
#พุทธทาสภิกขุ #ธรรมะ

ท่านทั้งหลายมาสู่สถานที่นี้ ซึ่งเขาเรียกกันว่า สวนโมกข์
คนที่ไม่รู้ว่าสวนโมกข์นั้นคืออะไร มันก็ไม่ถึงสวนโมกข์โดยแท้จริง แม้จะมานั่งอยู่ที่นี่แล้ว มันก็ยังไม่ถึงสวนโมกข์โดยแท้จริง เพราะว่าจิตใจของคนนั้นมันไม่โมกข์
คำว่า โมกข์ นี้แปลว่า เกลี้ยง ถ้าจิตใจมันยังไม่เกลี้ยง มันก็ยังไม่โมกข์ ไอ้คนนั้นก็เลยไม่รู้ว่า โมกข์นั้นเป็นอย่างไร
ถ้าใจของใครมันเกลี้ยง แม้เกลี้ยงชั่วขณะ เกลี้ยงจากความโลภ เกลี้ยงจากความโกรธ เกลี้ยงจากความหลงไปชั่วขณะนั้นก็ยังเรียกว่า โมกข์ ได้ชั่วขณะ
ทั้งอาจจะรู้ได้ว่ารสชาติของ ความเกลี้ยงนั้นเป็นอย่างไร
เหมือนเราเคยอาบน้ำชำระกายให้เกลี้ยงจากเหงื่อไคล แล้วเราก็รู้สึกสบายอย่างไร เราก็รู้อยู่ เพราะตัวเองอาบน้ำให้ผิว เนื้อตัวมันเกลี้ยง แล้วสบายอย่างไรก็รู้อยู่ ทางจิตใจก็ลองทำให้เป็นอย่างนั้นบ้าง
บางเวลาก็ไม่มีอะไรรบกวนจิตใจ จิตใจก็เกลี้ยง เลยรู้รสของความเกลี้ยงทางจิตใจนั้นว่าเป็นอย่างไร
เรารวมคำพูดเอาไว้สอง สามคำสำหรับช่วยความจำง่าย ๆ ว่า
ความสะอาด
ความสว่าง
ความสงบ
ถ้าจิตใจมันเกลี้ยงก็มีลักษณะ สะอาด บริสุทธิ์ ถ้ามีสว่างไสว ไม่มีไม่มืดมัว แล้วก็สงบ เย็น อย่างนี้เรียกว่าเป็นผลของการที่จิตใจมันเกลี้ยง
ถ้าใครเคยมีจิตใจอย่างนี้ ย่อมรู้ได้ด้วยตนเองว่ามันมีรสชาติอย่างไร ถ้าใครไม่มีเคยมีจิตใจที่เกลี้ยงอย่างนี้เสียเลยมันก็รู้ไม่ได้
คำว่า ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ นี้ก็เหมือนกัน ถ้าสามารถทำให้จิตใจมันสะอาด สว่าง สงบ ลงไปได้แม้ชั่วขณะ มันก็ยังได้ชิม แม้ว่าไม่ได้รับประทานเต็มที่ มันก็ยังได้ชิม ชิมมันก็ยังรู้รส เหมือนอย่างว่าชิมแกงสักจิบหนึ่งเท่านั้นมันก็ยังรู้ว่าแกงนั้นเป็นอย่างไร
คนเราถ้าเป็นพุทธบริษัทจริง ไม่เป็นกันแต่ปาก แต่ธรรมเนียมแล้ว ก็ควรจะได้ชิมรสของพระนิพพานกันบ้าง เหมือนอย่างว่าชิมแกงชิมอะไรสักจิบหนึ่ง ชั่วปลายช้อน ก็ยังดีกว่าที่ไม่รู้จักเอาเสียเลย
ขอให้พยายามให้มีจิตใจเกลี้ยง บางขณะ บางเวลา เขาก็จะรู้ว่ามันมีรสชาติอย่างไร นั่งอยู่ที่ตรงนี้มันเกลี้ยงยาก เพราะมันมีอะไรที่ผิดธรรมชาติมาก ถ้าไปนั่งกันแถวโคนไม้ ทางหินโค้ง ทางโน้น ตามธรรมชาติแล้วใจมันเกลี้ยงง่ายกว่า มันมีต้นไม้ ก้อนดิน ก้อนหินที่ช่วยให้จิตใจมันเกลี้ยงได้ง่ายกว่า
#พุทธทาสภิกขุ
#ธรรมะ

เกิดมาทำไม
เราเกิดมาเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ นี่คุณไปคิดดู อะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้
คนโง่ คนเขลา คนพาล นั้นจะนึกได้แต่เรื่องปาก เรื่องท้อง เรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องสนุกสนาน เอร็ดอร่อย อันนั้นน่ะดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ และก็ไปหลงในสิ่งเหล่านั้น และก็แย่งกันสิทีนี้ แย่งกันเหมือนสัตว์แย่งอาหารนั่นก็เลยได้เบียดเบียนกัน นี่ก็เรียกว่าไม่รู้จักว่าอะไรดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้
มันต้องความดี ความจริง ความถูกต้อง ความยุติธรรม ความเจริญ ความมีจิตใจสะอาด สว่าง สงบ
เราเกิดมาทีนึงหัวใจเต็มไปด้วยความรู้ ด้วยแสงสว่าง ด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยความสุขสงบเย็น นั่นแหละดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ไม่ใช่เกิดมากินเหล้าเมายา สำมะเลเทเมา เค้าเรียกว่าเอร็ดอร่อยทางเนื้อ ทางหนัง ทางปาก ทางท้อง นั่นมันเป็นเรื่องโง่ที่สุด ต่ำที่สุด สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น สัตว์นรกก็ทำเป็น พวกเปรต พวกยักษ์ พวกอสูรกายอะไรก็ทำเป็น มันก็เลยไม่ดี ไม่ดีอะไร
แต่ถ้าหัวใจสะอาด สว่าง สงบเนี่ย น้อยคน น้อยคนจะทำเป็น พวกยักษ์ พวกมาร พวกสัตว์เดรัจฉานอะไรทำไม่เป็นนะ พวกนี้มนุษย์ก็ยังน้อยคนจะทำเป็น
#พุทธทาสภิกขุ
#สวนโมกข์กรุงเทพ
#สร้างสรรค์สังคมรมณีย์

ขณะที่ทำการงาน
ต้องฝึกเห็นธรรมด้วย
ต่อสู้กิเลสด้วย
ธรรมชาติของกิเลส
มักแต่จะให้เขายกย่องตน
นี่ตกนรกตลอดเวลา
เรื่องสำคัญที่จะพูดอีกเรื่องก็คือว่า ไม่ใช่ว่าเราจะเห็นธรรมะหรือพิจารณาธรรมะเฉพาะแต่เมื่อเวลาไปนั่งกรรมฐาน หรือไปไหว้พระสวดมนต์ เวลาอย่างนั้นไม่ค่อยมีเรื่อง
เวลาที่จะพิจารณาธรรมะเห็นธรรมะนี่ เป็นเวลาที่เราทำการงาน เพราะเวลาทำการงานนี้เป็นช่องให้เกิดกิเลส เมื่อเป็นช่องให้เกิดกิเลส เราจะได้รู้จักกิเลส จะได้ต่อสู้กิเลส จะได้กำจัดความยืดมั่นถือมั่น
พิจารณาดูกันเถอะว่า มันมีฮื่อมีแฮ่กันหรือเปล่า เมื่อทำการงานนี้ เมื่อประชุม ส่งเสียงบ๊งเบ๊ง ล๊งเล้ง ด้วยโทสะจริตหรือเปล่า? มีสายตาค้อนควักผู้อื่นหรือเปล่า? มีการประชดประชันคนอื่นหรือเปล่า? มีการอยากจะให้คนอื่นคิดว่า ต้องยกเราเป็นหัวหน้า ต้องเชื่อฟังเรา อย่างนี้หรือเปล่า?
นี่คือกิเลสที่เลวที่สุด ของพวกยึดมั่นถือมั่น คือว่า เป็นผู้อยากจะให้คนอื่นยอมแพ้ ว่าทุกคนต้องเชื่อฟังเรา นี่เป็นอันดับต่ำสุดของพวกยึดมั่นถือมั่น
คนชนิดนั้น ตกนรกทั้งเป็น อยู่ทุกชั่วโมงทุกนาที แม้จะอยู่ในวัดนี้ แท้ที่จริงไม่มีเวลาที่หัวใจโปร่ง เป็นความสะอาด สว่าง สงบ และรู้จักพระพุทธเจ้า แต่ก็ยังยกหู-ชูหาง จะให้คนอื่นคิดว่าตัวเป็นผู้ที่มีธรรมะอยู่นั่นแหละ ให้ตัวเป็นผู้มีคุณธรรมสูงกว่าผู้อื่นอยู่ เป็นอย่างนี้เรื่อยไป เป็นธรรมชาติอย่างนี้เอง...
ถ้าใครเป็นบ้าถึงขนาดที่กล่าวมานั้น อย่าได้โกรธเขาเลย ช่วยกัน สงสารเขาให้มาก อย่าไปออกรับ อย่าไปต่อล้อต่อเถียง อย่าไปเป็นคู่ปรปักษ์หรือศัตรู จงสงสารเขาให้มาก
พุทธทาสภิกขุ
#สวนโมกข์กรุงเทพ #สร้างสรรค์สังคมรมณีย์

แม้การตายมันก็เป็นหน้าที่ อย่าโง่ไปนัก
มันก็เป็นหน้าที่ของสังขาร
สังขารมีหน้าที่ทุกอย่างทุกประการ
จนกระทั่งว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ต้องไม่มีความทุกข์
ถ้าไม่มีความรู้มันก็มีความทุกข์
อยู่ในความเกิดแก่เจ็บตาย
ถ้ารู้ว่ามันเป็นหน้าที่ที่สังขาร
มันจะต้องเป็นอย่างนั้น
คือตัวเรานั่นแหละ
จะเรียกว่าเป็นการเกิดมันก็ถูกต้อง
เป็นการแก่มันก็แก่อย่างถูกต้อง
ความเจ็บก็เจ็บอย่างถูกต้อง
เพราะมันเป็นหน้าที่ที่จะต้องเจ็บ
ก็เจ็บให้ดีที่สุด
หัวเราะเยาะความเจ็บ
มันจะได้หายเร็ว
ตายก็ตายดี
นี่แก้ลำ
ทำให้ความเกิดแก่เจ็บตายนี้
เป็นบทเรียนไปเสีย
แล้วก็ไม่ต้องมีความทุกข์ด้วย
นี่เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน
ท่านยืนยันว่า
ได้พระองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว
จะพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย
คือจะพ้นจากปัญหา
ที่มาจากความเกิดแก่เจ็บตาย
ถ้าได้อาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว
คือมารู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ
เพิกถอนตัวตนเสียได้ในที่สุด
มันก็เลยพ้นจากปัญหาเกิดแก่เจ็บตาย
เรียกว่าไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย
ไม่มีตัวไม่มีตนสำหรับจะเกิดแก่เจ็บตาย
นี่เรียกว่าพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย
พุทธทาสภิกขุ
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?