สถานีธรรมะแห่งประเทศออสเตรเลีย
ทีวีสาธารณะพระพุทธศาสนา
แห่งประเทศออสเตรเลีย สื่อกลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาโลก

https://www.youtube.com/live/iCEb91CciQc?si=_LhB4qQ3vHogWDyA
🔴 ถ่านไฟเก่า ตอนที่ ๑๔ ลีลาวดี ภาค ๑ ถ่านไฟเก่า ตอนที่ ๑๔ ลีลาวดี ภาค ๑03/07/2025

Introduction: When You Become Aware...
In a world that spins ever faster and is filled with countless distractions, we often live swept along by the current, rarely pausing to ask ourselves, “What am I really doing?” or “Who am I, truly?” We are shaped by expectations, society, and external stimuli to the point that we sometimes forget what the essence of life really is.
This book invites you on an important journey of discovery—not a journey to any external place, but a journey inward, into your own mind, to understand what it means to be aware and to uncover the profound meaning of non-self.
You might wonder: “Non-self? That sounds scary! Does it mean denying my own existence?” In fact, it is the opposite. Non-self here does not mean disappearing, but rather freeing yourself from the heavy burden of clinging to the self or ego that we so stubbornly construct—a self that often brings anxiety, dissatisfaction, and suffering.
For those interested in Buddhist practice, this is an exploration of the very heart of the Dharma: the truth of life that we so often overlook. We will learn how vital it is to cultivate true mindfulness of the present moment. As mindfulness blossoms, wisdom follows, guiding us to see that all things are impermanent, unsatisfactory, and not truly self.
As you begin this journey of genuine awareness, you will gradually see the rigid self you once clung to start to fade away, leaving only lightness, calm, and a freedom you may never have known before. This is the path of release from the bonds of ego, toward living with true understanding, compassion, and wisdom.
Are you ready to embark on this life-changing discovery?
Part 1: Laying the Foundation – Understanding “Awareness”
We live each day almost like programmed machines, from the moment we wake until we sleep again. Whether walking, eating, working, or talking, we often act automatically, our minds drifting in restless thoughts of the past that is already gone or worries about a future that has yet to come. In those moments, what are we really experiencing of the present?
The Importance of Mindfulness in the Present Moment
Awareness or mindfulness is the practice of bringing the mind back to the present moment, truly seeing and experiencing what is happening here and now—whether it is an action, speech, thought, or feeling—without judgment, elaboration, or interference.
Imagine simply drinking a glass of water. You lift the glass, sip the water, notice its taste, the coolness on your tongue, the sensation of it flowing down your throat, and the refreshment it brings—all without other thoughts intruding. That is awareness.
In contrast, if you drink while worrying about unfinished work or planning a holiday, the taste fades and the refreshment is diminished. This is how most of our activities happen: without awareness.
Mindfulness is not limited to formal meditation on a cushion. It is the training of the mind to be ready to see and receive whatever is happening in every moment of life. Whether walking, sitting, standing, lying down, working, or resting—you can bring mindfulness to it all. This awareness of the present moment is the first door to deeper understanding.
The Notion of “Self” We Hold Onto
When we speak of self or ego, we often think of the tangible person we present to the world—our social persona shaped by experiences, memories, others’ opinions, successes, failures, and beliefs about ourselves.
We cling tightly to this self. We want to be good, successful, praised, accepted. When something threatens or challenges this self-image, we feel displeasure, suffering, even anger. This attachment to self is the root of many kinds of suffering, as we try desperately to control everything to protect this constructed identity.
Awareness is the first step toward seeing this self clearly. It lets us observe the thoughts that say “I am like this” or “I must be like that.” We notice the emotions that arise when this self is challenged. As we start to see it clearly, we begin to understand that this self we hold onto is neither truly real nor as enduring as we think.
Porrawee Tapsai
04/07/2025

หนังสือ เมื่อรู้ตัว ก็ไร้ตน
ปรวี ทัพซ้าย ผู้เขียน
บทนำ: เมื่อรู้ตัว...
ในโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยสิ่งรบกวนมากมาย
เรามักใช้ชีวิตไปตามกระแส โดยแทบไม่เคยหยุดนิ่งเพื่อตั้งคำถามว่า "เรากำลังทำอะไรอยู่?" หรือ "อะไรคือตัวตนที่แท้จริงของเรา?"
เราถูกหล่อหลอมจากความคาดหวัง สังคม และสิ่งเร้าภายนอก จนบางครั้งหลงลืมไปว่าแก่นแท้ของชีวิตคืออะไร
หนังสือเล่มนี้จะพาคุณออกเดินทางสู่การค้นพบครั้งสำคัญ
การเดินทางที่ไม่ได้มุ่งไปยังสถานที่ใดภายนอก
แต่เป็นการเดินทางเข้าสู่ภายในจิตใจของคุณเอง
เพื่อทำความเข้าใจถึงคำว่า "การรู้ตัว" และค้นพบความหมายอันลึกซึ้งของการ "ไร้ตน"
คุณอาจกำลังคิดว่า "ไร้ตน" ฟังดูเป็นเรื่องยาก
หรือหมายถึงการปฏิเสธการมีอยู่ของตัวเองหรือไม่?
แท้จริงแล้วตรงกันข้าม การไร้ตนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการหายไป
แต่หมายถึงการปลดเปลื้องภาระ การละวางซึ่งความยึดมั่นใน "อัตตา"
หรือ "ตัวตน" ที่เราสร้างขึ้นมาอย่างเหนียวแน่น
ตัวตนที่มักนำมาซึ่งความทุกข์ ความกังวล และความไม่พึงพอใจ
สำหรับผู้สนใจปฏิบัติธรรม นี่คือการพิสูจน์แก่นแท้ของพุทธธรรม
ที่ว่าด้วยความจริงของชีวิตที่เรามักมองข้าม
เราจะเรียนรู้ว่าการมีสติรับรู้ในปัจจุบันขณะอย่างแท้จริงนั้นสำคัญเพียงใด และเมื่อสติผลิบาน ปัญญาจะตามมา และนำพาเราไปสู่ความเข้าใจที่ว่า
ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
เมื่อคุณเริ่มต้นการเดินทางของการ "รู้ตัว" อย่างแท้จริง
คุณจะค่อย ๆ พบว่า "ตัวตน" ที่คุณเคยยึดมั่น เริ่มเลือนหายไป
ทิ้งไว้เพียงความเบา สงบ และอิสรภาพที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
นี่คือการเดินทางสู่การหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งอัตตา
สู่การใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยความเข้าใจ ความเมตตา และปัญญา
คุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะก้าวเข้าสู่การค้นพบที่เปลี่ยนแปลงชีวิตนี้?
การปูพื้นฐาน – รู้จัก "การรู้ตัว"
เราใช้ชีวิตในแต่ละวันราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมไว้ ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับไปอีกครั้ง ไม่ว่าจะเดิน กิน ทำงาน หรือพูดคุย เรามักจะทำมันไปโดยอัตโนมัติ โดยที่จิตใจล่องลอยไปกับความคิดฟุ้งซ่านถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว หรือกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แล้วในขณะนั้น อะไรคือสิ่งที่เรากำลังสัมผัส "ปัจจุบัน" อย่างแท้จริง?
ความสำคัญของการตระหนักรู้ในปัจจุบันขณะ
การ "รู้ตัว" หรือการมี สติ คือการที่เรานำจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง เป็นการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ คำพูด ความคิด หรือความรู้สึก โดยปราศจากการตัดสิน การปรุงแต่ง หรือการแทรกแซงใด ๆ
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังดื่มน้ำสักแก้ว คุณเพียงแค่ยกแก้วขึ้น จิบน้ำ รับรู้รสชาติ ความเย็นที่สัมผัสลิ้น สัมผัสของน้ำที่ไหลผ่านลำคอ และความสดชื่นที่เกิดขึ้น โดยไม่มีความคิดอื่นแทรกแซงเลย นั่นคือการรู้ตัว
ในทางตรงกันข้าม หากคุณดื่มน้ำไปพร้อมกับคิดถึงเรื่องงานที่ค้างคา
หรือวางแผนการเดินทางในวันหยุด รสชาติของน้ำก็เลือนหายไป ความสดชื่นก็ลดลง นั่นคือการดื่มน้ำโดยไม่รู้ตัว และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับกิจกรรมส่วนใหญ่ในชีวิตของเรา
การรู้ตัวไม่ได้จำกัดอยู่แค่การปฏิบัติธรรมบนอาสนะเท่านั้น
แต่คือการฝึกฝนจิตให้มีความพร้อมที่จะรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกช่วงขณะของชีวิต ไม่ว่าคุณจะเดิน จะนั่ง จะยืน หรือจะนอน จะทำงาน หรือพักผ่อน คุณสามารถนำสติมาใช้ได้เสมอ การตระหนักรู้ในปัจจุบันขณะนี้แหละคือประตูบานแรกที่จะเปิดไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
แนวคิดเรื่อง "ตน" ที่เรายึดถือ
เมื่อพูดถึง "ตน" หรือ "อัตตา" เรามักจะนึกถึงตัวตนของเราที่จับต้องได้ หรือตัวตนที่เราแสดงออกให้ผู้อื่นเห็นในสังคม ตัวตนนี้ถูกหล่อหลอมจากประสบการณ์ ความทรงจำ ความคิดเห็นของผู้อื่น ความสำเร็จ ความล้มเหลว ตลอดจนความเชื่อที่เรามีเกี่ยวกับตัวเอง
เรายึดติดกับ "ตัวตน" นี้อย่างเหนียวแน่น เราอยากเป็นคนดี อยากประสบความสำเร็จ อยากได้รับคำชื่นชม อยากเป็นที่ยอมรับ และเมื่อมีสิ่งใดมาสั่นคลอน "ตัวตน" นี้ เราก็รู้สึกไม่พอใจ เป็นทุกข์ หรือแม้กระทั่งโกรธเคือง ความยึดมั่นใน "ตัวตน" นี่เองที่เป็นบ่อเกิดของความทุกข์ต่าง ๆ นานา เพราะเราพยายามจะควบคุมทุกสิ่งให้เป็นไปตามที่เราอยากให้เป็น เพื่อรักษา "ตัวตน" นี้ไว้
การรู้ตัว คือก้าวแรกที่เราจะเริ่มสังเกตเห็น "ตัวตน" ที่เรายึดถือนี้อย่างชัดเจน สังเกตเห็นความคิดที่บอกว่า "ฉันเป็นอย่างนั้น" หรือ "ฉันต้องเป็นอย่างนี้" สังเกตเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ "ตัวตน" นี้ถูกกระทบ และเมื่อเราเริ่มเห็นมันอย่างชัดเจน เราก็จะเริ่มเข้าใจว่า แท้จริงแล้ว "ตัวตน" ที่เรายึดติดอยู่นั้น ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง หรือไม่คงทนถาวรอย่างที่เราคิด
ขอความรู้ตัว จงบังเกิดมีแด่ทุกท่าน
พบกันใหม่ในตอนหน้าครับ
ปรวี ทัพซ้าย
04/07/2025


https://www.youtube.com/live/Ybbof32rYW0?si=rQxN50M5LVuoYPV7
🔴 น้ำตาของบิดาตอนที่ ๑๒ ลีลาวดี ภาค ๑ ชายชราในกระท่อม ตอนที่ ๑๑ ลีลาวดี ภาค ๑น้ำตาของบิดาตอนที่ ๑๒ ลีลาวดี ภาค ๑03/07/2025

Anatta

https://youtu.be/-guG4uyNk2I?si=PXQgg-k16X4RpzOI
ลำดับแห่งการหลุดพ้น วิปัสสนาญาณ 16 วิปัสสนาญาณ 16เวลาพูดถึงวิปัสสนา หลายคนคิดว่าแค่เห็นว่า “ชีวิตไม่เที่ยง” หรือ “ไม่มีเรา” ก็พอแล้ว แต่ความจ...

16 ญาณ สู่อริยบุคคล: หนทางปัญญาสู่การหลุดพ้น
วันนี้เราจะพูดถึงหัวข้อที่ลึกซึ้งและสำคัญมากในการปฏิบัติธรรม
นั่นคือ “16 ญาณ สู่อริยบุคคล”
ซึ่งเป็นขั้นตอนของการเจริญวิปัสสนาญาณที่นำใจให้ก้าวข้ามความทุกข์ และเข้าสู่ภาวะของอริยบุคคล หรือผู้ที่ได้สัมผัสกับการหลุดพ้นจริง ๆ
“ญาณ” หมายถึง ความรู้แจ้งหรือความหยั่งรู้ขั้นสูงที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนา (การรู้แจ้งตามความเป็นจริงของสภาพธรรม) โดยญาณจะพัฒนาขึ้นตามลำดับจนถึงจุดที่สามารถตัด “สังโยชน์” หรือพันธนาการใจต่าง ๆ ได้ ทำให้เกิดการหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
16 ญาณนี้เป็นการบ่งบอกถึงขั้นตอนของจิตที่พัฒนาจากการเห็นธรรมขั้นพื้นฐาน จนถึงการตัดขาดจากความยึดมั่นถือมั่นอย่างสิ้นเชิง โดยมีลำดับความเข้าใจและการรู้แจ้งดังนี้นะครับ
1. นามรูปปริจเฉทญาณ
แยกชัดว่า กายกับใจเป็นของคนละอย่างกัน ไม่ใช่ตัวตน
2. นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ
เข้าใจว่านามรูปทั้งหลายเกิดจากเหตุปัจจัย
3. สัมมสนญาณ
เริ่มเห็นลักษณะไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) อย่างเบา ๆ
4. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ
เห็นความเกิด–ดับของสิ่งต่าง ๆ ต่อเนื่องกัน
5. ภังคานุปัสสนาญาณ
เห็นความดับของสังขารอย่างชัดเจน
6. ภยตูปัฏฐานญาณ
เห็นว่าสิ่งเหล่านี้น่ากลัวและไม่เที่ยงแท้
7. อาทีนวานุปัสสนาญาณ
เห็นโทษของสังขารที่ผูกพันอยู่
8. นิพพิทานุปัสสนาญาณ
เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัดในสิ่งเหล่านั้น
9. มุญจิตุกัมยตาญาณ
ใจเริ่มปรารถนาหลุดพ้นจากทุกข์
10. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ
พิจารณาหาทางหลุดพ้นอย่างจริงจัง
11. สังขารุเปกขาญาณ
ใจเป็นกลาง ไม่ยึดติดสังขาร เห็นด้วยความวางเฉย (อุเบกขา)
12. สัจจานุโลมิกญาณ
เห็นอริยสัจอย่างตรงตามความจริง
13. โคตรภูญาณ
ก้าวข้ามภาวะของคนธรรมดา (ปุถุชน) สู่ระดับอริยบุคคล
14. มัคคญาณ
เกิดมรรคจิต ตัดกิเลสตามลำดับ
15. ผลญาณ
เป็นผลของจิตที่หลุดพ้น ดับสังโยชน์
16. ปัจจเวกขณญาณ
พิจารณาทบทวนสิ่งที่ได้หลุดพ้นแล้ว
ปรวี ทัพซ้าย
03/07/2025

วิปัสสนาญาณ 16
เวลาพูดถึงวิปัสสนา หลายคนคิดว่าแค่เห็นว่า “ชีวิตไม่เที่ยง” หรือ “ไม่มีเรา” ก็พอแล้ว แต่ความจริง จิตของเราไม่ได้ยอมปล่อยการยึดถือในทีเดียว เพราะการยึดมั่นถือมั่นว่า “นี่คือตัวฉัน” มันฝังลึกมาก พระพุทธเจ้าจึงสอนทางเดินที่เป็นขั้นตอน เพื่อให้จิตค่อยๆ เห็นความจริงทีละชั้น จนปล่อยได้จริง ทางเดินนี้คือสิ่งที่เรียกว่า วิปัสสนาญาณ 16
เริ่มต้นที่ขั้นแรก คือการรู้จักแยกนามรูป เราเริ่มเห็นว่ากายเป็นอย่างหนึ่ง จิตเป็นอย่างหนึ่ง ความรู้สึก ความจำ ความคิด การรับรู้ ล้วนเป็นองค์ประกอบที่แยกกันได้ สิ่งที่เคยรู้สึกว่าเป็นตัวเราอันหนึ่งเดียว เริ่มถูกแยกออกเป็นส่วนๆ ทำให้เห็นว่าความเป็น “ฉัน” ที่เคยรู้สึกแน่นหนา จริงๆ เป็นของที่ปรุงแต่งมาประกอบกัน
เมื่อเห็นแยกนามรูปแล้ว ก็เห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น จิตไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ มันมีเหตุให้คิด ให้โกรธ ให้สุข ให้ทุกข์ เห็นว่าทุกอย่างเป็นผลของเหตุ จึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวตนถาวร ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะใครสั่ง แต่เพราะเงื่อนไขและเหตุปัจจัย
ต่อจากนั้น จิตเริ่มพิจารณาลงลึกว่า นามรูปที่ประกอบกันด้วยเหตุปัจจัยนี้ มีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับไม่ได้ จิตเริ่มฝึกมองเห็นสังขารทั้งหลายตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามความอยากหรือความกลัว
เมื่อการพิจารณาลึกขึ้น จะถึงขั้นเห็นชัดว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เห็นการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา นี่คือการเห็นการเกิดดับของสังขารอย่างชัดเจน จิตเริ่มหยุดหลงคิดว่าสิ่งใดจะคงอยู่ถาวร เพราะเห็นว่าทุกอย่างผ่านไปหมด
ต่อจากนั้น การเห็นการดับเริ่มเด่นชัดยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่เห็นว่ามีเกิดมีดับ แต่ใจเริ่มจับที่ความแตกดับ ความสลายเป็นหลัก เห็นความแตกดับชัดๆ จนความเชื่อว่ามีอะไรคงอยู่เริ่มสั่นคลอนอย่างแรง
เมื่อความแตกดับปรากฏชัด จิตเกิดความหวาดกลัว เพราะสิ่งที่เคยยึดถือว่าพึ่งพาได้ พังทลายหมด ความเป็นตัวตน ความมั่นคง ความแน่นอนหายไปหมด เกิดความกลัวต่อความสังขารทั้งหลาย เห็นว่าไม่มีสิ่งใดปลอดภัย
จากความกลัว จิตพิจารณาโทษของสิ่งที่เคยยึดถือ เห็นชัดว่าสังขารทั้งปวงล้วนเป็นของที่น่ารังเกียจ เพราะไม่อาจให้ความสุขที่แท้จริงได้ ทั้งหมดหลอกให้เรายึดแล้วก็ทรยศด้วยความแตกดับ ทำให้ใจเห็นโทษของมัน
เมื่อเห็นโทษซ้ำๆ ก็เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาอย่างจริงจัง ไม่ใช่เบื่อแบบรังเกียจผลักไส แต่คือการคลายเสน่หา ไม่อยากยึดถืออะไรอีก เพราะเห็นแล้วว่าไม่มีสิ่งใดให้เกาะได้จริง
จากความเบื่อหน่ายนี้ จิตปรารถนาที่จะหลุดพ้นจริงๆ อยากปล่อย อยากวาง ไม่อยากวนเวียนอยู่กับสิ่งที่เกิดดับอีกต่อไป เป็นความมุ่งมั่นจะหลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง
แต่ความอยากหลุดพ้นก็ยังเป็นการปรุงแต่ง จิตจึงต้องพิจารณาเหตุปัจจัยอีกครั้งอย่างรอบคอบ เห็นว่าแม้ความอยากหลุดพ้นก็เป็นสังขารที่เกิดจากเหตุ ต้องปล่อยได้เช่นกัน จิตฝึกพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จนเกิดความตั้งมั่น
เมื่อพิจารณาจนมั่นคง จิตเข้าสู่สภาวะอุเบกขา คือเห็นทุกสิ่งอย่างเป็นกลาง ไม่หวั่นไหว ไม่กำหนัด ไม่ผลักไส จิตยอมรับการเกิดดับโดยไม่หวาดหวั่นหรือเพลิดเพลิน เป็นอุเบกขาที่ตั้งมั่นบนปัญญา
จากนั้นจิตจะเริ่มสอดคล้องกับหนทางแห่งมรรค ผลาญความลังเล ความสับสน เห็นชัดเจนว่าทางออกจากทุกข์มีอยู่ เห็นหนทางนั้นอย่างตรงๆ เป็นการเตรียมพร้อมเต็มที่ที่จะข้ามจากโลกียะสู่โลกุตตระ
เมื่อจิตพร้อม จึงข้ามสู่มรรคจิต เป็นจิตที่ตัดกิเลสได้ตามลำดับ เหมือนดาบตัดเชือก ความยึดมั่นถือมั่นถูกตัดขาดลงในทันทีตามขั้นของมรรค ผลจิตตามมา คือจิตที่ตั้งอยู่ในความสงบจากกิเลสที่ละได้ จิตนี้สัมผัสความเป็นอิสระจากสิ่งที่เคยผูกมัด
สุดท้าย จิตย้อนพิจารณาผลที่เกิดขึ้น เห็นชัดว่า “กิเลสได้สิ้นไปแล้ว” รู้แจ้งการเปลี่ยนแปลงในจิตตนเองอย่างละเอียด เป็นความรู้ที่มั่นคง ไม่กลับไปยึดมั่นในสิ่งที่ละได้แล้ว
นี่คือเส้นทางของวิปัสสนาญาณ 16 ที่อธิบายไว้ในคัมภีร์อรรถกถา เป็นแผนที่ของการภาวนาที่ค่อยๆ แกะการยึดถือทีละชั้น จนละอวิชชาได้อย่างหมดจด นี่คือหนทางที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกใช้คลายความหลงยึดว่า “นี่คือตัวฉัน” จนพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง เป็นหนทางที่ต้องเดินด้วยการเห็นจริง ไม่ใช่แค่เชื่อหรือท่องจำ แต่ต้องเป็นประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นในจิตอย่างแท้จริง.
ปรวี ทัพซ้าย
03/07/2025
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?
🙏🙏🙏
^^
ประเภท
ติดต่อ ธุรกิจของเรา
เว็บไซต์
ที่อยู่
Bangkok