สิทธิณัฐ หมื่นต่างใจ

นอกจากบุคลิกที่โดดเด่นไม่เหมือนใครแล้ว Elon Musk ยังได้ชื่อว่าเป็นคนหนึ่งที่มี 'เทคนิคการพรีเซนต์และการเล่าเรื่อง' ที่สนใจอย่างยิ่ง
วันนี้แปดบรรทัดครึ่งจึงอยากชวนทุกคนมาถอดรหัส 5 เทคนิคการ Pitch งานแบบ Elon Musk ให้ทุกคนได้ลองเอาไปปรับใช้ ให้การนำเสนองานให้โดนใจมากกว่าเดิม
📊 5 เทคนิคนำเสนอแบบ Elon Musk
📌 เปิดตัวด้วยอุปสรรค
แทนที่จะเปิดเรื่องด้วยสินค้าหรือบริการในทันที Elon Musk กลับเปิดการนำเสนอด้วยการพูดถึงสิ่งที่บั่นทอนความสุขของลูกค้าในปัจจุบัน เช่น ภาวะโลกร้อนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง หรือสงคราม เป็นต้น
📌 สร้าง Sense of urgency
ขั้นตอนต่อมาคือการสร้าง ‘sense of urgency’ ผ่านการนำเสนอข้อมูลเพื่อทำให้ผู้ฟังหรือนักลงทุนเห็นความสำคัญและความเร่งด่วนของปัญหา เช่น หากเราไม่แก้ปัญหาตอนนี้ ผลกระทบจะทวีความรุนแรงมากขึ้นแค่ไหน
📌 นำเสนอทางแก้ปัญหา
หลังจากนั้นให้ชี้ให้เห็นว่า สินค้าและบริการของเราจะช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้อย่างไรบ้าง บอกประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ แทนที่จะบอกว่าสินค้าหรือบริการนั้นมีคุณสมบัติอะไร เพื่อทำให้ผู้ฟังรับรู้ได้ว่าสินค้าและบริการจะมีประโยชน์กับพวกเขามากแค่ไหน
📌 ทำให้เห็นภาพ
แทนที่จะบอกลอย ๆ ถึงความสามารถของสิ่งที่นำเสนอ ให้สาธิตการให้บริการหรือแสดงคลิปวิดิโอสั้น ๆ ของสินค้าและบริการนั้น เพื่อทำให้ผู้ฟังคล้อยตามและเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
📌 โชว์เป้าหมาย
ตบท้ายตอนจบด้วยการทำให้เห็นว่าสินค้าและบริการของเราจะขยายตลาดหรือ Scale ได้อย่างไร โยงสิ่งที่บริษัทนำเสนอเข้ากับวิสัยทัศน์ของบริษัท เพื่อทำให้ผู้ฟังเห็นว่าคุณไม่ได้ Pitch งานเพราะเงิน แต่เพราะคุณตื่นเต้นกับสิ่งที่คุณกำลังจะได้ทำต่อจากนี้ต่างหาก

ผมรู้ว่าหน้าที่ ของผมเอง คือ ช่วยเหลือ ทีมขาย ให้มีความคิดสร้างสรรค์และเปิดโอกาศ ให้ ทีม นำแนวคิด ไปใช้อย่างอิสระ ผมไม่สนใจหลอกว่าจะมีใครรู้รึเปล่า ว่านี่เป็นความคิดของผม เพราะไม่สำคัญเลยว่ามันเป็นของใคร ถ้ามันออกมาดี ความสำเร็จ ย่อมตกเป็นของทุกคน

ทัศนคติ : ไม่ห่วงเรื่องความดีความชอบ

บทหนึ่ง ใน Gave and Take

สามเหลี่ยม แห่งความสุข ของ
"ปรัชญาโซอิค"
!!เราสามารถควบคุม การกระทำของเราได้ แต่ไม่อาจควบคุม ผลลัพธ์ ของมัน!!

โลกใบนี้เต็มไปด้วย สิ่งที่เราไม่อาจจะควบคุมได้ เช่น ความคิดคนอื่น คำนินทา แสงแดด ฝนตก

แต่โลกใบนี้ ก็มีสิ่งที่เราควบคุมได้
แบ่งเป็น 2 อย่าง
-วิจารณญาณ
-การกระทำ

เราควรตั้ง ผลลัพธ์ และ เต็มที่ กับกระบวนการ ไปสู่ ผลลัพธ์
มากกว่า การคาดหวัง ผลลัพธ์

สามเหลี่ยม ยูไดโมเนีย ประกอบด้วย
3 แกนหลัก
1.ความรับผิดชอบ
2.โฟกัส สิ่งที่ควบคุมได้
วิจารณญาน + การกระทำ
3.Aret'e

ทิ้ง ข้อ 3 ไว้ให้ สงสัย จะได้ ไปค้นหา กันเอง

ทั้งหมดนี้ เพื่อการ นำไปสู่ การไม่ตกเป็น ทาส ของ อารมย์

แถมอีกนิด

อารมย์ เกิด จาก
ตัวกระตุ้น + ทำให้เกิด อารมย์

ถ้าเมื่อไร มีตัวกระตุ้น เช่น มีคน มาด่าเรา คำด่า นี้ คือตัวกระตุ้น ทำให้ เกิด อารมย์ โมโห

ให้เรา หยุด เพื่อ ให้เกิด ช่องว่าง ก่อรจะเกิดอารมย์ ช่องว่างนี้ จะช่วยให้เรา ได้ หยุด คิด พิจารณา

ใช้ วิจารณญาณ ก่อนว่า คนด่า เป็นใคร
คำด่า จริง หรือ เปล่า และ เพื่ออะไร

จะนำมาซึ่ง การกระทำ ถ้าเรา ตอบโต้โดย สัญชาติญาน เราก็ จะ ตอบโต้ ด้วยการ เอา ตีน ยัดปาก คนนั้น

ปากแตก โดนแจ้งความ เสียเงิน

หรือ ว่า จะ หายใจ ลึกๆ ถอน หายใจ
เค้าด่ามา ก็จริงนะ แต่ไม่ทั้งหมด
แล้วเค้าก็แค่ โมโห หรือไม่รู้จริง

เราหยุดดีกว่า หันหลัง เดินออกมา
อารมย์ดี แล้วค่อย คุยกัน

ตรงนี้ คือ วิจารณญาณ ซึ่ง นำไปสู่
การกระทำ อัน เป็น สิ่งที่เรา ควบคุมได้

ฝึกบ่อยๆ สติจะมี แล้ว ปัญญา จะเกิด
มีปัญญา เพื่อ ตอนที่เราเจอปัญหา ยากๆ
เราจะได้ วิจารณญาณ อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าไม่มี ปัญญา ก็จะเห็น ผิดเป็นชอบ

เลือกที่จะ เตะปากคนอื่น แทนที่ จะหยุด ปัญหา ที่ตัวเอง

#อริสโตเติล มหาบุรุษผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด

แต่จะให้ ลึกกว่านี้ อธิบาย ขั้นตอน การทำงาน แบบละเอียด ศึกษา
เรื่อง ขันธ์ 5 ของพระพุทธเจ้า
กระบวนการ ขั้นตอนการทำงาน ของ จิต
และการ ดับ ทุกข์ ด้วยกระบวนการ วิทยาศาสตร์ ขั้นลึก

เดิมที การแกะ นาฬิกา ออกมาทำความสะอาดนั้นรำบาก ต้องเปิด ฝาหลัง
ประกอบยาก

แล้วทำให้ ฝุ่นและความชื้น เข้าไปเกาะ ทำให้เกิดสนิม อายุการใช้งานสั้นลง

จึงได้มี ผู้ชาย คิด แกนขึ้นมาเพื่อใช้ ควบคุม และ ปรับแกนตัวเข็ม

จึงเกิด เป็น วิวัฒนาการของนาฬิกา นั่นคือ เม็ดมะยม บน นาฬิกา ตั้งแต่นั้นมา จนถึงปัจจุบัน

ผู้ชายคนนั้นชื่อ อังตวน นอร์เบิร์ต เดอ ปาเต็ก " ผู้ก่อตั้ง แบรนด์ ปาเต็ก "

1.ฤดูกาล
2.สินค้า
3.content
4.การบริหารจัดการ
1.ฤดูกาล.. หน้าฝน เครื่องซักผ้าขายดี
ครีมกันแดด ขายไม่ดี
สินค้าเกษตร ขายดี
เสื้อกันฝน ขายดี
เลือกสินค้า ให้เหมาะ กับ ความต้องการถ้าวิเคราะห์ ลึกๆจะเห็น สินค้า ที่มีโอกาศ ขายดีมาก ในแต่ล่ะ ฤดูกาล
ราคา สินค้า - ไม่ควรเลือกสินค้า เพดานกำไร ต่ำ / กำไร ต่อออเดอร์ ควรอยู่ที่การ ปิดการขาย สร้างมูลค่า ต่อออเดอร์ได้ หลักพัน หลักหมื่น โครงสร้าง เดิมๆ 390-690-990 แต่กำไรไม่เหลือ ก็รอดยาก.. ข้าม ข้อ 2-3 ไป เลยนะรู้กันหมด.ข้อ 4. การจัดการ ควรเลือก
งานที่สำคัญ 3 อย่าง ( ที่สร้างรายได้ )
ออกมาเป็น ตัวชี้วัดก่อน ตามหลัก OKRs...ควรประชุม ทีมงาน ให้รับทราบเป้าหมาย อย่างเปิดรับ ทุกคน ไม่ใช่ สั่งจากบนลงล่าง.. แต่ล่ะตำแหน่งควรมี อิสระในการ ครีเอท และ ตระหนักถึง การสร้างประโยชน์ให้องค์กร เป็นอันดับแรก.. เจ้าของแบรนด์ ควรมีการชี้แจก ค่าใช้จ่าย ของแต่ล่ะคนที่ องค์กรแบกรับ เพื่อให้พนักงาน เข้าใจเป้าหมาย..เป้าหมาย 3 ข้อ ควร เป็นการวางร่วมกันระหว่าง ระดับผู้ปฎิบัติงาน และหัวหน้างาน ไม่ใช่ สั่งจาก บนลงล่าง โดยไม่ คำนึงถึง สภาพการทำงานจริงของพนักงาน.... ยังมีอีก ในเนื้อหา คอร์ส ...
การบริหาร ด้วย
OKRs Basic : Objective and Key Result
ออกจาก มือยิง มาวาง ระบบ ใช้คนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ .แล้วไปใช้ชีวิต เถอะครับ 1590 บาท แถม หนังสือ
OKRs Experience 10X
จากประสพการณ์จัดอบรมให้กับองค์กรหลายประเทศ .การันตรีโดย Certified OKRs Professional คนแรกในไทย

ปี 2021 = Cost Leadership is king
- ต้นทุนที่ตำกว่า สร้างการได้เปรียบทางการค้า
2020 ผ่านไปแล้วอย่างสาหัส พระเอกคือ สินค้า ใครหาสินค้าที่ดี มีคุณภาพ สร้างกำไรจาก การยิง Ads ลูกค้าพึงพอใจ ซื้อซ้ำ คู่แข่ง copy ไม่ได้ ก็โกยเงินโกยทองปังๆไปแล้ว
ปีนี้ที่ผ่านมี มีปัญหาจากระบบ FB เอง ระบบเศรษบษกิจ เรียกได้ว่า สุดยอดของปัญหา ล่ะ และปัญหาก็ทำให้ หลายคนพัฒนา จนฝีไม้รายมือ เท่าเทียมกัน
เรื่อง content เก่งกันทุกคนคิด content สบายมาก
เรื่องเทคนนิค ไม่มีใครหนีกันได้แล้ว เฟสโดนปิด จนทำได้ทุกอย่าง
เรื่องระบบ มีปัญหา เหมือนกันหมด
เรื่องสายป่านการเงิน อยู่ที่ แต่ล่ะคน ล่ะงานนี้
2021 ทุกคน สามารถที่จะออก สตาร์ทพร้อมกันได้ อยู่ที่ ประสพการณ์ ของแต่ล่ะคนจะแก้ปัญหา ในปีหน้าได้มากน้อยเพียงไร
2021 จุดที่ จะทำให้ ท่านได้เปรียบคู่แข่งหรือไม่นั้น คือ ต้นทุนผลิตสินค้า
และการสร้าง มูลค่าสินค้านั้นได้มากน้อยเพียงใด
เอาเรื่องต้นทุนก่อน -- สำคัญมาก เพราะมันคือส่วนต่าง ของกำไร หักค่า ads ค่าส่ง ค่าดำเนินการแล้ว เงินเหลือเข้ากระเป๋าจริงเท่าไร ใครสามารถ เข้าถึงแหล่ง ผลิต - แหล่งส่ง ได้ดีกว่า จะรอด
เจ้าของแบรนด์ -- ได้ราคา ถูกสุด
ตัวแทน สายยิง -- รับช่วงกำไรต่อจากเจ้าของแบรนด์
ตัวแทนโพสขาย -- กำไร น้อยนิด
ปี 2020 ได้สร้าง
คนกลุ่มที่ 1 --เจ้าของแบรนด์ -- ขยับไปเป้น ผู้ผลิต หรือ ออกสินค้าใหม่
คนกลุ่มที่ 2 จำนวนมาก และเก่งขึ้นเทียบชั้นเทพ โกยเงินจาก การรับ สินค้าจากแบรนด์มาสร้างรายได้ และมีเงินมากพอ ที่จะขั้นเป้นเจ้าของแยรนด์ คนต่อไป
กลุ่มใหญ่ๆ ผมมอง ที่ กลุ่ม 2 ถ้าพวกคุณจะโตขึ้น คุณต้อง หาสินค้า เป้นของตัวเอง สร้างแบรนด์เอง นำเข้าเอง
ดังนั้น ทุกคน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง มุ่งเข้าหา OEM โดยตรง ไม่ผ่านคนกลาง ( เจ้าของแบรนด์ ) เพื่อ ให้ได้ ต้นทุนสินค้า ที่ถูกที่สุด ผลิตสินค้า ที่ดี และไปสร้าง มูลค่า ผ่าน content ที่คุณ มีฝีมือมากพอๆ กับทุกคนบน ออนไลน์ ในตอนนี้
ขอเรียง อันดับ ความสำคัญจาก 1 ไป 2 ไป 3
1.Cost Leadership ( is king )
2.content
3.product
ปี 2020 เป็นปีของ CEO
ปี 2021 เป็นปีของ OEM
** ปล. เป้นมุมมอง ของผมคนเดียว นะครับ ไม่ได้ไป ขัดแย้งความคิดในนะฮะ ถ้า ทุกคนเก่งเท่ากัน - ระบบห่วยเหมือนกัน - ลูกค้า มีกำลังซื้อ เหมือนกัน ทุกอย่างเท่ากันหมด ออก สตาร์จ ใหม่พร้อมกัน ใครจะ ไปได้ไกลกว่า ในปี 2021 ..

6 ข้อที่เวป เซลเพจ จะทำให้คุณไปต่อ กับการยิงADS
ข้อที่ 1 . การยืนยัน ธุรกิจ สำหรับคนที่ใช้ บัญชี Business
คุณจะต้อง มี 4 อย่างที่ ตรงกันเพื่อยืนยัน ธุรกิจ
1. ทะเบียนการค้า
2. ชื่อ Domen ของเวป =ชื่อตามทะเบียนการค้า
3. ชื่อเมล ลงท้ายด้วย @ชื่อตามทะเบียนการค้า
4. ชื่อบิลใน โทรศัพ์ - ต้องเป้นชื่อธุรกิจ ไม่ใช่ชื่อบุคคล
ยกตัวอย่าง ชื่อทะเบียนการค้า คือ Maruy
**ชื่อโอเมน เวป ต้องเป็น www.Maruy.com
** ชื่อเมล ต้องเป้น [email protected]
** บิลค่าโทรศัพท์ ต้องเป้น ชื่อ Maruy - ไม่ใช่ชื่อคุณ

ข้อที่ 2 ปี 2021 คนจะพึ่งพา แต่การยิง ads Facebook อย่างเดียวไม่ได้ ซึ่งหมายความว่า คุณต้องมีพื้นฐานการทำการตลาดทุกแพตฟอร์ม ซึ่ง แต่ล่ะ
แพตฟอร์ม จำเป้นต้องมี เวปเซลเพจ เพื่อปิดการขายลูกค้า ได้แก่
1. Facebook ( FB มีพื้นที่ตัวเอง + ส่งคนเข้าเวป )
2.Google ( จำเป้นต้องมี เวป )
2.Line ( Lineมีพื้นที่ตัวเอง + ส่งคนเข้าเวป )
3.Tiktok ( ไม่มีพื้นที่ตัวเอง+ ส่งคนเข้าเวป )
4.Youtube ( มีพื้นที่ตัวเอง + ส่งคนเข้าเวป )
5.IG ( มีพื้นที่ตัวเอง + ส่งคนเข้าเวป )
**ดังนั้น จะเห็นได้ว่า เวปเซลเพจ แค่หนึ่งร้าน สามารถ ใช้ทำการตลาด ได้ทุกแพตฟอร์ม

ข้อที่ 3 Pixel และ Tracking
อธิบายการทำงาน ให้เห็นภาพ ง่ายๆ
- Pixel ทำหน้าที่ จำชื่อคนที่เข้าเวป แล้วแปลง ไปเป้น ID ของผู้ใช้ในแต่ล่ะ แพตฟอร์ม เช่น มีคนเข้าเวป pixel จับ ว่าคนนี้คือใคร แล้ว แปลงเป้น ID ผู้ใช้งาน Fcabebook เพื่อทำให้ Facebooา รู้จัดว่า คนนี้คือใคร และ หน้าเวป จะต้องทำ CODE Pixel ของแต่ล่ะ แพตฟอร์ม ไปติด เพื่อทำให้ แต่ล่ะแพตฟอร์ม รู้ว่า User คนที่เข้ามา
เป้น ID ไหน ในแต่ล่ะ แพตฟอร์ม ซึ่ง Pixel ที่ จำเป้นได้แก่
1.Facebook Pixel
2.Google tag manager + Google Analytic
3.Line Pixel
4.Tiktox Poxel
5.Youtube .ใช้ Google tag manager + Google Analytic

- Tracking ทำหน้าที่ จับพฤติกรรม Event ที่ User เข้าเวปแล้ว ไป ไหนบ้าง กดอะไร คลิกอะไร เพื่อใช้ วัดพฤติกรรม หาความเข้มข้อ ความสนใจ ของ User ที่เข้าเวปมา เพื่อส่งค่า เป้นชุดข้อมูล ให้แต่ล่ะแพตฟอร์ม เข้าใจ
ผมจะยกตัวอย่าง ให้เข้าใจง่ายๆ มี
- คนเข้าเวป นาย ก. ใช้เวลาอ่านข้อมูลบนเวป 30 วินาที + เลื่อนดูเนื้อหาบนเวป ถึงล่างสุด + กด สั่งซื้อสินค้า สิ่งที่ pixel ส่งข้อมูลไป
จะเกิดเป้น Event ทำให้เฟส รู้จำนวน ว่ามี
1. นาย ก. คือ เจ้าของ ID Facebook ชื่อว่า Maruy
Maruy อยู๋บน หน้าเวป 30 วินาที
Maruy เลื่อนสกอร์เวป 100%
Maruy กดสั่งซื้อสินค้า ( Purchase )
ซึ่ง Tracking นี้อยู่ที่ โปรแกรมเมอร์ จะเขียน ให้จับอะไรบ้าง

ข้อที่ 4 การนำ ไปสร้าง ออเดี้ยน ในการยิงโฆษณา ในแต่ล่ะแพตฟอร์ม เมื่อเกตุ Event ขึ้นมา หน้าเวปนอกจะช่วยปิดการขายแล้ว
ยังเป็นที่เก็บ พฤติกรรมคนที่เข้ามา เพื่อนำไปสร้าง ออเดี้ยนในการยิง ไปหาลูกค้า ซึ่ง ออเดี้ยนที่ได้ แบ่งคราวๆ ได้แก่
- custom audience - สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ได้ 3 ลักษณะ
1. ถ้า สร้างแล้วยิงกลับไป ตรงๆ เรียกว่า การ retarget คือการยิงกลับไปหา ลูกค้า แบบตรงๆ เช่น ถ้า มีลูกค้า เข้าเวป 5000 คนต่อวัน แล้ว ไปกองกันอยู๋ ที่เนื้อหา 60% ของเวป เป้น สรรพคุณ สินค้า
แล้วออกไป ซึ่งยังไม่ได้ ลงไปต่อ ที่ 80% และ 100%
**ซึ่ง เนื้อหา ที่ 80% คือ รีวิว
ส่วน 100% คือ โปรโมชั่น
--- คุณก็ดึง คนที่ สกอร์เนื้อหา ที่ 60 % ออกมา แล้ว ยิง รีวิว และโปรโมชั้่น กลับไปตรงๆ หาลูกค้า เพราะเค้ายังไม่ได้เห้น แบบนี้จะช่วยให้คุณประหยัดเงิน และ สื่อสารกับลูกค้าได้ ตรงกลุ่ม

2.เอามาหักล้าง - ไม่รวม ( เอกคูส ) เช่น คุณต้องการจะยิง โปรโมชั่น ไปกระตุ้นลูกค้า ที่เลื่อนดูเนื้อหา ครบ 100 % แต่ยังไม่ทำการซื้อสินค้า คุณสามาถ ตั้ง custom audience ออกมา 2 ตัว
1. คนที่ซื้อแล้ว ได้แก่ purchase หรือ เอาเบอร์โทรลูกค้าที่ซื้อแล้ว มาสร้าง custom audience หรือ ID ลูกค้าที่ซื้อแล้ว
2. คนที่เลื่อน สกอร์ 100%
** แล้วตอนตั้งกลุ่มเป้นหมาย คุณก็ เลือก 2 ไม่รวม 1
หรือจะตั้งในหน้า ตัวจัดการเหตุการณ์เลยก็ง่าย

3. การนำมาสร้าง Look a Like เพื่อให้ระบบช่วยหาคนที่ มีพฤติกรรม ความสนใจ พฤติกรรมการซื้อ เหมือน ลูกค้าของคุณ
** ในระดับความเข้มข้น ขอข้ามไปนะครับ เนื้อหา ละเอียด อาจจะยาวจน คุณเบื่อกัน

ข้อทึ่ 5 Traffic คนเข้าเวป ** จากเงื่อนไขที่เวป สามารถ จดจำ และ ทำให้แต่ละแพตฟอร์ม ลูกจักลูกค้าแล้ว เวปยัง สามารถ บอกได้ว่า ลูกค้า ของสินค้าจริงๆของคุณ เข้ามาจาก แพตฟอร์มไหน วันล่ะเท่าไร เพื่อทำให้คุณ สามรถไป โฟกัส การทำการตลาด จากแพตหอร์มนั้นๆได้

ข้อที่ 6 การปิดการขาย
ผมจะเรียก เนื้อหาบนเวปว่า content และ สิ่งต่างๆ ที่อยู๋บนเวป เรียกว่า onpage ซึ่ง ประกอบไปด้วย
1. รูปภาพ สินค้า รายละเอียดต่างๆ โปรโมชั่น
2. คลิป VDO
3.ข้อความ - ประกอบด้วย Keyword และdescription
เนื้อหา จำเป้นต้องออกแบบ มา เป้นอย่างดี ทั้งสวยงาม และ สามารถปิดการขาย สถิติ ที่เกิดขึ้นบนเวป จะทำใหเคุณ เข้าใจเวปสินค้า คุณเองว่า ควรจะปรับแก้เนื้อหา สว่นไหน เมื่อปรับจนลงตัวแล้วสามรถขายสินค้าได้ คุณจะได้เวปที่ ปิดการขาย ประหยัดค่า
แอดมิน และ เป้นตัวเก็บ Data ลูกค้าให้คุณ
ยกตัวอย่าง มีคนเข้าเวป 5000 คนต่อวัน
ลูกค้า เลื่อน สกอร์ มาถึง 60% 3500 คน แล้วออก
มีลูกค้าอยู่ที่ 80 % 50 คน แปลว่า เนื้อหา ที่ 60% นั่นล่ะเป้นตัวไล่ลูกค้าออกไป คุณก็ไปแก้ ส่วนนั้น แล้วเทส ดูว่า แก้แล้ว ลูกค้า จะไปถึง 100% แล้วทำการสั่งซื้อได้เพิ่มมากขึ้นมั้ย

** จากขั้นต้นที่กล่าวมา พอจะเห็นภาพใช่มั้ยครับว่า ทำไม การทำการตลาด จำเป้นต้องมีเวป ผมไม่ได้ บอกว่า ต้องมีเวป เพื่อยิง conversion แล้วจะ ชนะคู้แข่ง แต่ ถ้าคุณสามรถ เข้าใจหลักการทำงาน คุณจะเข้าในลูกค้า และสามารถ ยิงโฆษณาได้แม่นยำ

** ขอบคุณที่ สละเวลาอ่านมาถึงนี่
ทางผม มีโปรโมชั่น สำหรับท่านที่มองหา ระบบสร้างและจัดการ เวปใช้งานเอง ซึ่งทีมงานได้ ปรับคุณภาพ จากการใช้งานจริงของลูกค้า มากกว่า 500 แบรนด์ มีการปรับให้เวป
- โหลดไว
- ปรับขนาดตามเครื่องมือสื่อสาร
- ปลอดภัย HTTPs (Hypertext Transfer Protocol Secure)
**รองรับ pixel ทุกแพตฟอร์ม ได้แก่
1.Facebook Pixel
2.Google tag manager + Google Analytic
3.Line Pixel
4.Tiktox Poxel
เพียงคุณนำ ID มาวาง ก็ติดตั้งได้ง่ายๆ สำหรับมือใหม่
** มี EVENT Tracking มากที่สุด ถึง 12 ตัว ทำให้คุณ สามารถ รู้พฤติกรรม ลูกค้า โดนที่ไม่ต้องเป้นโปรแกรมเมอร์
**รองรับ ไลน์บอท (LineToken) ส่งออกเดอร์อัตโนมัติเข้าไลน์
**คุณสามรถ ปรับแต่ง แก้ไขเวป เองได้ตลอด เพราะ จะเป้นเวปของคุณ ( ไม่มีรายเดือน / รายปี )

จำหน่าย 1 ระบบเวป ราคา 4,990 บาท
แถมฟรี โดเมน ที่คุณตั้งชื่อเอง ราคา 400 บาท
โฮส 990 บาท ( 8GB )
กลุ่มปิด สอนการใช้งานระบบ
กลุ่มปิด คอร์ส conversion มูลค่า 6,990 บาท

ขอบคุณที่อ่านมาถึงนี่ ทางผม หวังว่า content ที่เขียนนั้น พอมีประโยชน์ กับทุกคน ยังไม่อุดหนุน หาข้อมูลก่อนได้ ครับ
หรือต้องการปรึกษา ว่าสินค้า ธุรกิจของคุณเหมาะสมที่ต้องมี เวปเซลเพจ มากน้อยเพียงใด ทัก inbox สอบถามได้ครับ ผมยินดี ตอบทุกคำถามด้วยตัวเอง .. เอฟ

แชร์ แนวคิด การสร้าง content จักหน่อย -- ว่าง
ในมุมมอง ของการคิด เริ่มจาก experience pain points
** ประสพการณ์ ยอดแย่ ของลูกค้า VS ปัญหา
ถ้าคุณ นั่ง มโน หาว่า ลูกค้า มีปัญหาอะไร มันก็ไม่ได้ถูกหรือผิด หลอกครับ
แต่ในทางพฤติกรรมของผู้บริโภค นั้น มีความแตกต่าง ระหว่าง
1.รับรู้ปัญหา
2.เคยประสพภบเจอ ปัญหา นั้นๆ ด้วยตนเอง
-- ยกตัวอย่าง
1.โจร ขึ้นบ้าน -- มีคน บางกลุ่ม ที่เคยโดน โจรขึ้นบ้าน -- แต่ก็มีคนอีกจำนวนมาก ที่ อ่านข่าวและ รับรู้ว่าปัญหานี้ มี แต่ก็ไม่ได้ ใส่ใจ
** คนที่เคยโดน โจรขึ้นบ้าน จะมีความ หวาดผวาฝังใจ ในช่วง 3-7 วันแรก ไม่กล้าที่จะนอนบ้านตัวเอง - และผ่านมา นานกี่ปี ก็ยังจำได้ดี
2.ส้มตำร้านนี้ ติดหวาน -- สาวๆจะรู้กันทันที ถ้าได้ไปกินมาแล้ว รอบนึง ติดหวาน รอบหน้าอย่างหวังจะไป
**ดังนั้น คนคิด content เริ่มจาก ดึงเอา ประสพการณ์ยอดแย่ ของสินค้านั้นๆ ออกมา ยิ่งถ้าคุณเคย ประสพมาด้วยแล้วจะคิดได้เฉียบ
-- ตู้ซ่อนปืน สำหรับ พ่อบ้าน ( หยิบง่าย ดูแล ครอบครัวจาก คนเลว )
-- ส้มตำ ไม่ใส่น้ำตาล ( ไม่ได้พูดเรือ่งความอ้วน แต่จี้ไป สำหรับกลุ่มคนที่ ไม่ชอบส้มตำติดหวาน )
-- ดังนั้นการ ศึกษา ประสพการณ์ลูกค้า จะทำให้คุณคุย เป้นภาษาเดียวกันกับลูกค้า มากกว่า การไปค้น keyword ว่า อ่อ มีคนค้นด้วย แล้วนำมา ออกแบบ content
--- คนต่าง GEN จะมีข้อชุดข้อมูล ที่จดจำหรือผ่านเรื่องราวต่างกัน ในการสื่อสาร content จำเป้นต้อง ออกแบบให้เหมาะกับ เพศและวัย
** ถ้าผม นั่งอยู๋ข้างคุณ แล้ว ร้องเพลง ออกมาว่า ** เห็นเงาในตาฉันมั้ย แอนเดรีย หรือ ฉัน คงไม่อาจทำให้เธอเปลี่ยนใจ - เจมส์ เรืองศักดิ์ -- แน่นอน จะมี คนที่อ่านมาถึงตรงนี้ ลับรู้ทันที ว่าคืออะไร ถึงแม่ผมจะพิมพ์ หรือร้อง เสียงหลง คุณก็ยังคงเข้าใจ -- แต่ก็ยังมี อีกหลายคน ที่ เห้ย ลุง เพลงใครวะ --- หรือถ้าผมพูดเรื่อง เหตุการณ์ กราดยิงที่โคราช -- จะมีคนจำนวนมาก ที่ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็จำได้ดี -- และก็มี อีกหลายคน ที่ จะถามว่า อะไร เล่าให้ฟังหน่อย --
** ดังนั้น content ก็เหมือน การยืนทอร์คโชว์แล้วเล่นมุข ถ้าคุณเล่นได้โดยกับกลุ่มคนฟัง เค้าก็ จะหัวเราะปรบมือ -- แต่ถ้าเค้า ไม่เคยรับรู้ ประสพภบเจอเรืองนั้นมาก่อน จะเงียบกริบ มันก็คือ มุขแป๊ก
** อย่าลิม Digital story content มีแค่
1. ข้อความ
2.รูป
3.เสียง
4.ดนตรี
** ลูกค้า ไม่รับรู้หลอกว่า คุณใช้เทคนิคไหนยิง เท่ห์จัง ยิง conversion
เค้า มีเวลาให้คุณเพียงน้อยนิด ถ้าคุณ ทำได้ ก็หยุดลูกค้าได้
**การประเมิลผล content ไม่มีอะไรตายตัว ในส่วนตัวแล้ว ถ้า ไม่ใช้เงินแล้วดีจน สามารถขายได้ ก็จะ เอามาขยายผล ด้วยงบโฆษณา
หรือใช้งบ โฆษณา หว่่านก่อน แล้วค่อยไป ทำ ออแกนิก
-- ตั้งเป้าว่า คนเห็น content คุณ จะต้อง รู่สึกอย่างไร ยิ้ม หัวเราะ ตระหนัก เศร้า
-- ตั้งเป้าว่า คนเห็น content คุณ จะต้อง รู่สึกอย่างไร ไลด์ แชร์ แทกเพือ่น
เซฟรูป
** ทำไม เฟสบุค ถึงต้อง มี อิโมชั่น เลิฟๆ - ห่วงใย - ไลด์ - ว้าว - เศร้า
เพื่อ Tag และ วัดระดับความเข้มค้นของพฤติกรรม ของออเดี้ยน
ยก ตัวอย่าง องค์ปรกอบ ของรูปภาพ ที่เหมาะสม
จุดที่ 1 - ภาพโดยรวม ผมมักจะใช้ การสื่อสารแบบง่ายๆ คิดว่า ลูกค้า อยู๋กระจก อีกด้าน มีกระจกคั่นกลาง ในกระจก คือ คนที่เค้าอยากเป้น
จุดที่ 2 - Keyword เป้น แมสเสส ที่เรา จะบอกว่า รูปนี้คืออะไร
จุดที่ 3 - comment ใต้โพส -- มันคือ Testimonial จุดการสร้างความเชื่อใจ -- ( จะแวะซื้อ โลตี ที่อยุทธยา ร้านที่ 1 - 2 -3 - 4 ไม่มีคน ผ่านไปร้านที่ 5 คนต่อแถวยาวไปถึงร้านที่ 8 เราจอดเลย ต่อแถว นั่นล่ะครับ คนเค้าดูว่า คนอื่นว่าอย่างไร ทั้งๆที่ 4 ร้านแรก อาจจะเป้นร้านเดียวกันก็ได้ )
จุดที่ 4 .แคปชั่น + description -- เอาให้โดนตั้งแต่ บรรทัดแรก หัดเขียน บรรทัดเดียวปิดการขายให้ได้ -- ถ้ารายละเอียดสินค้าเยอะ อนุญาติให้ต่อ บรรทัด 2 และ 3
จุดที่ 5 ปุ่มกระตุ้น -- ด่านสำคัญ ที่คุณเอาไว้วัดระดับ ความเข้มข้นของลูกค้า อันนี้ ดีไซค์เอง แต่ตั้ง สมมุติฐานไว้ด้วย ถ้ากด จะต้องซื้อ กี่% แล้ววัดผล
ขอบคุณที่อ่านมาถึงนี่ หรือ ท่านที่ไม่อ่าน ก็ไม่ว่า
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร บอกกันมั่ง
-- ก่อนเขียน ผมวางไว้แบบนี้
-- ใครจะอ่าน = เพื่อนๆที่ มีปัญหา เรื่องการคิด content หรือ
-- อ่านแล้ว จะเป้นอย่างไร = เข้าใจ หรือได้แนวทางไปต่อยอด จากของเก่าที่ทำมาดีแล้ว มีประโยชน์สักนิด ผมก็ดีใจ
--สิ่งที่คาดหวัง = สักไลด์ เนาะ
อยากจะมา เล่าเรื่อง หัวใจ ของ conversion ในมุมของผ้มม บ้าง มีเวลา จะ เล่าให้ฟังนะครัซ
** รูปประกอบ เข้า 2 ปิด 2 ของวันนี้ ถือว่า content ผ่าน ถ้าเฟสให้โอกาศ ก็จะ เสกล ขยายไป

นานมากไม่ได้โม้ เรื่อง เทคนิค การยิง ( กระอักเลือด พูดไม่ได้)
(**เผื่อมีประโยชน์ นะครับ สำหรับ มือใหม่ - เข้าใจแล้วข้ามได้ครับ)
จะโม้ เรื่อง การยิง รีทาร์เก็ท ซึ่ง เป็นกระบวนการที่สร้าง ยอดขายได้ ดีต้นทุนต่ำ
ถ้าจะ รี ก็ต้อง กล่าวถึง ออเดี้ยนที่ใช้กันอยู่ หลายสำนัก ก็ว่า
รี ต่างๆนาๆ มากมายหลายสูตรre inbox 3 / 7 /14 / 30
re eng 3 / 7 /14 / 30 แล้วก็กด ตูมตาม ใส่เงิน ตัวเปิดเท่านั้น ตัวตามเท่านี้
ยิงรีไปหาลูกค้า นั้น มีข้อสังเกตุ
1.ถ้าคุณไม่รู้ ว่า ลูกค้าคนนั้นคือใคร
2.ถ้าคุณไม่รู้ ว่า จะรี เนื้อหา ( content ) อะไร ไปหา
เอา 2 ข้อนี้ก่อน ชัดๆ ถ้าไม่รู้ ไม่ต้องไป ทำ re inbox 3 / 7 /14 / 30 หรือ re eng 3 / 7 /14 / 30 หรือ อะไร ก็ ไม่มีประโยชน์ อะไร
เพราะ ฉะนั้น กล่าวคือ ข่อ
1 ใคร - ก็ ต้องพูดถึง custom aud จำเป้นอย่างมากที่ จะต้องมีระบบ แยก คนออก
- ไม่สนใจสินค้า -สนใจสินค้า-ซื้อสินค้า ( เอาแค่ 3 กลุ่มพอ เด่ว ตาลาย )
ถ้าจะใช้ภาษาคน ยกตัวอย่าง สินค้า เสื้อแฟชั่น
เสื้อ คอกลม มี สี - นำเงิน - ดำ - ขาว -แดง - ชมพู -ฟ้า แล้ว แต่ล่ะ สี ก็มี ไซค์ SS S M L XL
เสือ้สายเดี่ยว มี สี - นำเงิน - ดำ - ขาว -แดง - ชมพู -ฟ้า แล้ว แต่ล่ะ สี ก็มี ไซค์ SS S M L XL
เสื้อยืด มี สี - นำเงิน - ดำ - ขาว -แดง - ชมพู -ฟ้า แล้ว แต่ล่ะ สี ก็มี ไซค์ SS S M L XL
เอาแค่ 3 SkU หลัก มี สี + ไซค์ ย่อย 1 วัน ขายได้ 200 ตัว /
1 เดือน ขายได้่ 6000 ตัว เกิด data ขึ้น จำนวนมาก
มีประโยชน์ต่อการ เอาไป วางกลยุทธ์
แต่ ที่คุยมา พอถาม เก็บข้อมูลอะไร มาบ้างลูก ก็จะได้
โปรไฟล์ - ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร เท่านี้
ถ้าผมตั้งโจทย์ แบบนี้ ครับ
ถ้า เดือนหน้า ต้องสต็อกเสื้อเพิ่ม 100,000 บาท คุณจะ ซื้อ เสื้อ ไซค์ อะไร มากที่สุด คิดเป็นกี่ % ของ งบ
คุณจะซื้อเสื้อ สีอะไร มากที่สุด / แบบไหนมากที่สุด
มาถึงตรงนี้ จะ งง ๆ ตา ลอยๆ กันบ้าง เพราะไม่ได้ เก็บข้อมูล
ร้านเล็กๆ จดมือได้ แต่ถ้า ร้านที่ขาย 500 - 2000 ออ ต่อวันล่ะ จดตาแตก
คุณจึงจำเป้น ต้องมี ระบบ ที่เก็บ data ( พฤติกรรม การซื้อสินค้า)
ของคุณเอง เพื่อที่จะได้ เอามาวิเคราะห์
เช่น
30 วันที่ ผ่านมา ยอดขาย เสื้อ คอกลม สีดำ ไซค์ S = 689 ตัว
คอกลม สีดำ ไซค์ M = 283 ตัว
เสื้อยืด สีฟ้า ไซค์ S = 450 ตัว
เสื้อสายเดี่ยว สีดำ ไซค์ S = 756 ตัว
ดังนั้น จึงต้องมี ตามรางเก็บข้อมูลที่ พอใช้ได้ ไม่ต้อง ซัพซ้อน มากมาย
แต่ที่สำคัญ ตารางนั้น จะต้อง Tag ได้ เพื่อดูด เอามาทำ custom aus
( เขียนโค้ต+ติดแทก ไปหาเรียนกันเด้อ ยาว )
การใช้ประโยชน์-และนำไป รีทาร์เก็ทหาลูกค้า แบบ ภาษาคนเข้าใจง่ายๆ นะ
พอผมรุ็แล้วว่า ซื้อ ไซค์ ที่ เหมาะกับลูกค้า เพจผมที่สุด คือ S - สี ดำ ผมก็ เอางบ ไป จับเสื้อที่ตรง ไซค์ ของลูกค้าผม
แล้ว
EX1 . ผม ก็ ดูด Tag
- ลูกค้าที่ซื้อ เสื้อไซค์ S ภายใน30 วันทั้งหมด มา 1 กลุ่ม( เกิน 30 ไซค์อาจะเปลี่ยน )
- ลูกค้าที่ซื้อ เสื้อไซค์ S - สีดี ภายใน 30 วัน ทั้งหมด มา 1 กลุ่ม ( เกิน 30 ไซค์อาจะเปลี่ยน )
แล้ว เอามาตั้ง ยิง เสื้อใหม่ ที่จับมา ใส่เลย เป้นการ ป้อน ทางเลือกให้ลูกค้า
EX 2. สมมุติต่อ ถ้าผมรู้ว่า มี ลูกค้าประจำ อยู๋ 5 คน ที่ซื้อเสื้อที 3 - 5 ตัว
เป้นไซค์ S ผมจำชื่อเค้าได้ ผมอาจจะแค่ ส่ง รูปเข้า ไลน์ลูกค้า
-- สวัสดีค่ะพี่ เอฟ มีเสื้อ ไซค์ S ตรงกับพี่ แบบใหม่สดๆ 10 ตัว สีดำ
พี่เลือกได้เลย หนูลดให้ 15%
อันนี้ แบบ ลูกค้าน้อย ก็ทำได้ ว่ากันไป แต่ถ้า ออเดอร์เยอะ ก็หา เครื่องมือเข้ามาทำงานให้
*** ยกตัวอย่าง เพื่อให้ เข้าใจ กระบวนการ ของการ retarket เฉยๆ นะครับ กับสินค้าที่ยกตัวอย่างมา
ประเด็นคือ อยากจะไป ขายซ้ำเค้า หรืออยากจะไปตื้อให้เค้า เป้นลูกค้า มองภาพให้ออก ก่อนว่า
ลูกค้าคนนั้นคือใคร + จะรี เนื้อหา ( content ) อะไร ไปหา แล้วค่อยไป คิดว่า เราสามารถ ดึงข้อมูลจากตรงไหน เอามาทำ custom aud
*** ระบบ เก็บพฤติกรรม ลูกค้า ทำยาางงง + TAG ที่จะดูด มาทำ ออเดี้ยนไว้ยิง นอกเหนือจาก ออเดี้ยนพื้นฐานที่ FB ให้ พอจะทำได้มั้ย
แต่ล่ะสินค้า เก็บข้อมูลต่างกัน data ช่วยให้เรา วางกลยุทธ์ ในเดือนต่อๆไปได้ดีขึ้น ขอบคุณที่อ่านมาถึงนี่นะครัซ ปังๆรวยๆ สิ้นเดือนนี้ น่าจะดี

ช่องทาง การแชท กับ เจ้าหน้าที่ เฟสบุค
สำหรับ คนที่ มีปัญหา การปิดบัญชี ธุรกิจ
รออนุมัตินาน ต้องการ สอบถามโดยตรง

https://www.facebook.com/business/help?_rdc=1&_rdr

น้องๆ แม่ค้าขายเสื้อผ้า ถามมาเยอะ ทำไม ยิงขายไม่ดีเลย
** ระหว่าง ขายเสื้อผ้า VS ขายแฟชั่น ** ค่อนข้าง ต่างกันนะครับ
การออกแบบ content เพื่อให้ ลูกค้าซื้อได้ นั้น รูปภาพ จำเป้น
จะต้อง ลูกค้า จินตนาการ ภาพหลังจากใส่ เสื้อชุดนั้นออก
EX .. มี คนยืนอยู่หน้ากระจก -- เงาในกระจก คือ สิ่งที่เค้า ต้องการเป็น
งั้น ขอสั่งสมองคุณ ที่อ่าน ตอนนี้ เลย
-- ให้ วาดภาพในหัว ว่า -- มีบึง น้ำอยู่ และมี
ฮิปโป 2 ตัว : ตัวที่ 1 สีชมพู / ตัวที่ 2 สีฟ้า
** ตอนนี้ ในหัวของคุณ จะมี บึง และ มี ฮิปโป สีชมพู 1 ตัว + สีฟ้า 1 ตัว
บึงและ ฮิปโป ของเรา ไม่เหมือนกัน --
-- การสื่อสาร มันจำเป้นต้อง ให้ลูกค้า ย่อยง่าย + เห็นภาพ . ใครขาย เสื้อผ้า อยากให้เปลี่ยน มุมมองว่าคุณกำลัง เสนอ ชุดแฟชั่น สวยๆ ให้ ลูกค้า ซึ่ง กลุ่มของลูกค้าของ คุณ จะเหมือน กับ พรีเซนเตอร์
การนำเสนอ เป็นการ สร้างประสพณ์การ ใหม่ๆ ให้กับ ลูกค้า . ลงทุน เรือ่ง สถานที่ เพื่อให้ ลูกค้า จินตนาการ ว่าจะใส่ ชุดนี้ ไปที่ไหน
ไปเมื่อไหร่ ไปกับใคร - ถ้ามีชุดนี้ เค้า จะไปยืนใต้ต้นไม้ ใส่แว่นดำ และโพส ภาพสวยๆ ลง IG
-- อีกประเด็น คือ DATA -- มีโอกาศ ได้สอบถาม น้อง ที่ขาย วันล่ะ 1,000 ออเดอร์ มา 3 คน คำถามผมคือ ** ขายดีแล้ว ได้เก็บข้อมู,ลูกค้ามั้ย **
!!! เก็บค่ะ --
-- ถามต่อ เก็บข้อมูลอะไร บ้าง เอาไปทำอะไร
!!! ชื่อ + ที่อยู๋ เบอร์โทร -- เพื่อเอาไป ทำกลุ่มเป้าหมายยิง
--- แอบตกในนิดยึงครับ -- น้องน่าจะงานเยอะมาก เลยไม่มีคน ช่วย วิเคราะห์ ข้อมูลที่ มีเลย
---ผมถามต่อ -- เสื้อ ไซค์อะไร -- ขายดีที่สุด เมื่อ 1 - 2 - 3 เดือน
-- เสื้อ สีอะไร -- ขายดีที่สุด เมื่อ 1 - 2 - 3 เดือน
-- ลูกค้า เก่าที่ซื้อซ้ำ มากที่สุด 10 คน ชื่ออะไร
*** ประเด็น คือ ตอบได้ไม่ชัด -- แทบจะตอบไม่ได้
--- ผมชี้แจงต่อ ** เดือนหน้า ไซค์ไหน ควร สต็อค น้อยลง - เพื่อลดความเสียง ต่อการค้างสต็อค หรือ ระบายออกช้า
** ไซค์และสีไหน ควร เพิ่มงบ สต็อค สินค้า
** ไซค์ S ขายดีสุด ก็ควร จัด ให้เหมาะสม กับงบประมาณ
** ไซค์ ที่ขายไม่ค่อยดี ลดปริมาณ หรือ ทำ content ให้ตรง ไซค์ลูกค้า เจาะจง
** สี - และแบบ จัดหา มาให้ ทัน แฟชั่น ลูกค้า
*** ลูกค้า FC หลัก ของ ร้าน - ชื่ออะไร คัดมา 30 คน +เค้าใส่เสื้อ ไซค์ อะไร -- ส่งไปหาเค้าเลย -- พี่เอฟฟ เสื้อมาใหม่ ไซค์พี่เลย 5 แบบ พอเศษ แถม 1 จ้า ส่งเลยมั้ยค่ะ
** อันนี้ เผื่อมีประโยชน์ ต่อ คนขายเสื้อผ้า นะครับ ซึ่ง รายละเอียด จริงๆ อาจจะเยอะกว่านี้มาก ถ้าทำไม่ทัน หาเด็กมาทำแทน -- แต่การ เอาข้อมูลมาวิเคราะห์ ต้องเป็นคุณ
** อ่านมาถึงนี่ โดนป้ายยา ตามเคยนะครับ --

โบ๊ะบ๊ะๆ ขำๆ นะครับ แก้เคียด

ใครมองหา ลูกค้าไม่เจอ รองอันนี้ !!!
Situationship = เป็นความสัมพันธ์ ที่ผูกคนเข้าด้วย Activity หรือ Hobby ด้วยกัน เช่น
** คนรักมวย = คนหนึ่งคนที่ ชอบมวย ก็จะ มี คนที่ชื่นชอบมวย เหมือนกัน วิ่งเข้าหากัน เป้นการแรกเปลี่ยน exprerience แนะนำ บอกต่อ แชร์สิ่งที่ชอบ เข้าด้วยกัน ซึ่งจะมีอิทธิพล ต่อการตัดสินใจ เลือกซื้อหรือใช้บริการ
มากกว่า ฟังจาก แบรนด์ หรือ คนรีวิว

** กลุ่ม คนเป้นแม่ = สังเกตุว่า สินค้า ในหมวดหมู่แม่ จะมีการสอบถาม และจะขายดีมากๆ ถ้า คุณแม่คนหนึ่งบอกว่าดี และอีกคน จะบอกว่าดี ตามๆกัน

**กลุ่มคนรักสัตว์ = นอกจากจะมีความรัก ของสัตว์ตัวเอง ยังชอบที่จะติดตาม สัตว์เลี้ยง ของคนอื่นๆ อยู่เสมอ เลือกซื้อสินค้า จากที่เห็นเพื่อนใช้

Situationship จะมีการตั้งกลุ่มพูดคุยแรกเปลี่ยน หรือนัดเจอกัน ได้ง่าย จาก interest ที่ชอบเหมือนกัน

** ยิง ads ไปวันๆ อย่า หาทำ

อธิบายแบบเห็นภาพชัดๆ เรื่องการนำส่งของระบบ facebook จำรองให้เห็นภาพ
ด้วย อาหารแบบ สายพานนะครับ

1.impression คืออะไร
มันคือ อาหารที่รันบนสายพาน
ไม่ว่าคุณจะเห็น หรือก้มไปดูมือถือ แล้ว ข้ามอาหารบางจาน ระบบก็ถือว่า นำส่งไปแว้ว จะคิดเงิน เมื่อนำส่ง 1,000 ครั้ง

2.การเข้าถึง คืออะไร
มันคือ อาหารทุกจาน ที่วิ่งผ่านหน้าแล้ว คุณได้เห็น ต้องเห็นแล้วพิจารณา ขั้นตอนนี้ยังไม่ถึงการหยิบนะ
/ ปกติยิงข้อความ ผมคิดที่ 10 เท่าของ งบ ถ้าต่ำกว่า มันก็แพงไป

3.ผลลัพธ์ คืออะไร มันคือ คุณเอื้อมมือไปหยิบ อาหารจานนั้นมา
**ถ้าหยิบแล้ว เปลี่ยนใจ เอาไปคืน ผมเรียกว่า ไม่ได้ตั้งใจ
คือพวกมือลั่น...ผลลัพธ์นี้ไม่มีความหมาย ถ้าเกิด อาการมือลั่น ทักเงียบ
ผมรีบปิด ads ตัวนั้น แล้ว ลบทิ้งทันที
เพื่อไม่ให้ ระบบไปลาก มื่อลั่นมาอีก

4.ซื้อ คืออะไร อาหารผ่านหน้ามา แล้วตั้งใจหยิบ มากิน ROAS สัก 3
ขอให้ตัวเลขเป็นบวก ยิ่งเยอะยิ่งดี

5.ความถี่ คืออะไร มันคือ อาหารจานเดิม ที่เราเห็นแล้ว ไม่หยิบ แล้ววิ่งวนมาให้เราเห็นซ้ำ นั่นเอง

ง่ายเนาะ ใครถามผม เมื่อ 30 นาทีก่อน อ่านเองนะ
ทั้งหมดนี้ให้อ่านออกเสียงพากษ์
ทีวีแชมป์เปี้ยน จะได้ อารมย์

***ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เนื้อหานะครับ
Ads ที่ดี จะต้อง ทำให้ลูกค้า เห็นภาพชัดเจน อยู่ในหัว...เห็นว่าตัวเองใช้สินค้าแล้วจะ เป็นอย่างไร
content ที่ดี จะต้องทำให้
ลูกค้า จำได้ตั้งแต่ครั้งแรก เกิดการสอนทนา และแชร์

เอาสินค้า - ถ่ายรูป +ใส่แคปชั่น
แล้วยิงๆๆๆๆ ทำไม ไม่รวยเหมือนเดิม

ขาy ของมานาน หลาย ออเดอร์
ไม่เคยเก็บ data มาวิเคราะห์

สร้างความว้าว สินค้า ไม่ได้
มองไปทางไหน ก็เจอแต่คู่แข่ง

เครื่องมือที่ใช้ อาศัยแต่ เฟส
ทำอย่างอื่นก็ไม่เป็น

ไม่เคย รีเสริฟข้อมูล ผู้บริโภค
ก่อนใช้ - หลังใช้

เพิ่มมูลค่า - สร้าง story ไม่เป็น
ระบบต้นทุนบัญชี ก็ไม่มี

ภาษี ก็ยัง งงๆ

มีเงิน แต่ก็เอาไปหมุน สต้อกสินค้า
มาใหม่ กำไร หายไปกับสต็อก
เหมือนช่วย โรงงาน ขายของไป วันๆ

สินค้า อายุสั้น 3-6 เดือน ก็หาใหม่ ไปเลื่อยๆ ใครขาyดี ก็ไป copy มา
แต่ก็ทำไม่ได้แบบเค้า

ไม่เคยวางแผน brand loyaty

นี่ยังไม่ถึงครึ่ง..ของปัญหาของคนขายของออนไลน์

มองบน เลย ใครเป็นครบทุกข้อ

ทบทวนสิ่งที่ทำ ทีล่ะข้อๆ ก่อน
อย่ามัว กด ยิงไปแล้ว ขาดทุนไปวันๆ
ป้ายยา...งานมันเยอะเนาะ ใช้ เทคโนโลยีช่วยจัดการมั้ย

ทำไม บนเวป ขายสินค้า ถึงไม่อยากให้มี TEXT
อธิบายแบบนี้ นะครับ ผมแยกสินค้า ออกเป็น 2 กลุ่ม
1. สินค้า ขาวจั้ว - เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า แบบนี้ 1 หน้าเวป วางเนื้อหา
จะยิง ทั้ง facebook + google ได้ เอาเลย keyword + description ช่วยได้ดี
2. สินค้า เทา + ดำ ไม่ใช้หน้าเดียว ยิง FB กับ google รวมกัน แนะนำ ให้แยก หน้า landing page
** เอาแบบ ย่อยง่ายๆ เนาะ
google จะรู้ว่าเนื้อหา คืออะไร จำเป็นต้องมี keyword - ประโยค description เพื่อทำ SEO หรือยิง google ad ใครเรียบเรียง ได้ดี google มี คะแนน จิตพอศัย ให้ เมื่อมีคนค้นหา ระบบ ก็ สนับสนุนเวป ที่มี คะแนน ดี ไปอยู่อันดับ บนๆ
คุณสามรถ ลงส่วนขยายเพื่อเช็ค คะแนน SEO ด้วย
>>> SEO Quake เป็นส่วนขยายของ โคลม
** แต่เมื่อไหร่ ที่ นำ pixel ของ FB มาวางแหม่ะ แล้วด้วยนั้น สิ่งที่ FB ทำ คือ กระโดด มาแล้ว วิ่งตรวจ TEXT ก่อนเลย ตรวจทำไม
-- เพื่อ หา ชุดคำ ที่ ระบบ ไม่อนุญาติ *** เพื่อปิด - แบน และ สามารถ รุกราม ไปยัง เฟสส่วนตัว เพื่อปิด ในกรณี ที่สินค้า โหด ดำปี๋รี๋
** สรุปคือ google ชอบ keyword สว่น FB กระโดดมาเพื่อตรวจ
รู้ได้อย่างไร รองลง พวกโปรแกรม heatmap + hotja ดูนะ มันจะ วนๆ อยู๋ แถวคำนั้นๆ
** ก็เราขายของ คำที่คิด มันเลยกลายเป็น keyword แล้ว FB มันก็กระโดดมาตรวจง่ายเลย
*** วิธีแก้
1. เอาคำ ขาย ไป ใส่บนรูปให้หมดเลย
2.แยกเวป ซะ ถ้าสินค้า คุณ เทาๆ + ดำๆ ยิง FB แยก กับ google
*** โพสนี้ สำหรับ มือใหม่ หัด conv นะ / ทำง่ายๆ เข้าใจ ง่ายๆ ไปก่อน ถ้าจะ ลึกๆ ผมแนะนำ หา คนสอน ที่ เก๋าๆ เลย
***แต่ก็ อย่าไปมัว วิ่งหาเทคนิคเลย
ทำ vdo + รูป สื่อสารกับลูกค้า ให้ ้เฉียบ ไว้เถอะ
ขนาด ไลฟ์สด เค้ายังขายกัน ของหมดบ้าน
เอาเงินก่อน ค่อย เอาหน้าตา
** แนะนำแบบที่ผมทำ เบื้องต้นนะครัซ อันไหน เทคนิค ยิบย่อย ไม่จำเป็นมากก็ ข้ามๆไป

https://trend.wisesight.com ** ถ้ากลัวหาไม่เจอ ก็แชร์เก็บไว้นะครัซ
เวปสำหรับ เช็ต เทรนบนแพต ฟอร์มต่างๆ ว่า วันนี้ - มะวาน - 7 วันย้อนหลัง
โพสไหน - สื่อตัวไหน มี engegment + คนสนใจ มากที่สุด
** ต้อง ลอกอิน เฟส นะ
** เค้าให้ใช้ฟรี เพื่อแรก กับ ข้อมูล ของเรา
** ส่อง ให้เป็นไอเดีย นะฮะ ดูว่า เค้าทำสื่อแบบไหน วิเคราะห์ ตาม ทักษะ สกิล แล้ว ทำให้ดีกว่าเค้า เด้อ
ไป copy เค้า สื่อๆ หงายท้องเอานะ

WISESIGHT TREND อัพเดทโซเชียลร้อน ข่าวฮอตเรื่องฮิตทุกวัน เทรนด์ออนไลน์ 24 ชม เกาะติดข่าวร้อนออนอัพเดททุกความเคลื่อนไหวไปกับกระแสโซเชียล

โลกวันนี้:

1. Victoria's Secret UK ประกาศล้มละลายและปิดสาขา 250 แห่ง

2. Zara ปิดสาขา 1,200 แห่ง

3. La Chapelle ถอนร้านค้า 4,391 ร้าน

4. Michael Kors กำลังปิดสาขา 150 แห่ง

5. Hermes ถูกยกเลิกการผลิต

6. Patek Philippe หยุดการผลิต

7. Rolex หยุดการผลิต

8. อุตสาหกรรมหรูหราของโลกหยุดการผลิต

9. Nike มีมูลค่ารวม 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อเตรียมการปลดพนักงานขั้นที่สอง

10. ไม่จำเป็นต้องพูดเกี่ยวกับการเดินทาง

11. ผู้ก่อตั้ง AirBnb กล่าวว่าเนื่องจากการระบาดใหญ่ 12 ปีของความพยายามถูกทำลายใน 6 สัปดาห์

12. แม้แต่สตาร์บัคส์ก็ประกาศปิดร้านค้าอย่างถาวรถึง 400 ร้าน

ภายใต้น้ำหนักของการระบาดใหญ่ของ coronavirus ยักษ์ใหญ่หลายคนกำลังเผชิญกับวิกฤตความล้มเหลว ห้าเดือนของการระบาดใหญ่และเรามีหนี้สินและ บริษัท หลายหมื่นแห่งล้มละลาย

หากบริษัทของคุณยังอยู่ที่นั่นและไม่มีการตัดเงินเดือนหรือเลิกจ้างโปรดปฏิบัติกับ บริษัท ของคุณเป็นอย่างดี มนุษย์กำลังเผชิญกับการระบาดใหญ่ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ ช่วงครึ่งหลังของปี 2020 ได้เริ่มขึ้นแล้วและขณะนี้เป็นความท้าทายของความแข็งแกร่งขององค์กร

CR : บทความนี้ไม่ได้เขียนเอง เอาก็อปปี้มาจากเพื่อนอีกทีนะคะ เป็นความแปลต้นฉบับอังกฤษจากบทความนี้ ไม่ทราบแหล่งที่มานะคะ
CR.คุณแนน

1. Victoria's Secret UK has declared bankruptcy and is closing 250 stores.
2. Zara is closing 1,200 stores.
3. La Chapelle withdraws 4391 stores.
4. Michael Kors is closing 150 stores.
5.Hermes is discontinued production.
6. Patek Philippe discontinued production.
7. Rolex discontinued production.
8. The world's luxury industry has ceased production.
9. Nike has a total of $23 billion US dollars preparing for the second stage of layoffs.
10. Needless to say about the travel.
11. The founder of AirBnb said that because of pandemic, 12 years of efforts were destroyed in 6 weeks.
12. Even the Starbucks also announced to permanently close their 400 stores.

Under the weight of the new coronavirus pandemic, many giants are facing the crisis of failure. Five months of pandemic and we are in debt, and tens of thousands of companies have gone bankrupt

If your company is still there, and there are no pay cuts or layoffs, please treat your company well. Humans are facing a pandemic that still cannot be controlled. The second half of 2020 has started and is now the challenge of corporate strength.
⬆️ *This is serious. They are all giants falling down like dominoes.*